30 เม.ย. 2020 เวลา 10:30 • กีฬา
สาลิกาจะผงาด
ถ้าพูดถึง "นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด" แฟนบอลยุคใหม่ ๆ ก็คงรู้จักแค่ว่าเป็นทีมดิ้นรนหนีตกชั้นในทุก ๆ ปี แถมบางปีอาการย่ำแย่ถึงขั้นตกชั้นลงไปเลยก็มี
photo pixabay
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว "เจ้าสาลิกาดง"เคยมียุคที่รุ่งเรืองในช่วงยุค 90" ที่แย่งแชมป์กับ"แมนฯยูไนเต็ด"กันอย่างสูสี แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายก็จอดป้ายแค่รองแชมป์ 2 ปีติดต่อกัน แม้ทีมจะทุ่มซื้อดาวดังอย่าง อลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมก็ตาม
หลังจากนั้นทีมก็มีผลงานลุ่มลุ่มดอนดอน จนกระทั่งมาถึงยุคปู่บ็อบ "เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน" ที่พาทีมกลับไปติด Top 4 จนได้มีโอกาสไปเที่ยวเล่นเวทีระดับทวีปอย่าง "ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก" กับเขาบ้าง
แต่แล้วจุดตกต่ำของนิวคาสเซิ่ลก็มาถึง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงประธานสโมสรมาเป็น " ไมค์ แอชลีย์ " ในปี 2007
ไมค์ แอชลีย์
ช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเหมือนจะไปในทิศทางที่ดี มีการทุ่มซื้อนักเตะดี ๆ มามากมาย เช่น มาร์ค วิดูก้า, เจเรมี่ เอนจิตัป, โจอี้ บาร์ตัน,โฆเซ เอ็นริเก ฯลฯ แถมยังไปดึงกุนซือขวัญใจชาวทูนอาร์มี่อย่าง "เควิน คีแกน" กลับมารับตำแหน่ง เหล่ากองเชียร์ของสาลิกาดงต่างฝันหวานถึงความสำเร็จในวันวานแต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มต้นความฝัน ก็เหมือนมีฟ้าผ่าลงกลางกระบาลเมื่อ เควิน คีแกน ประกาศลาออกจากตำแหน่งแบบกะทันหัน ทั้งที่พึ่งคุมทีมได้ 9 เดือนเท่านั้นเอง เนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหารในนโยบายการซื้อตัวผู้เล่น
"ผมคิดว่าผูู้จัดการทีมควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการเลือกนักเตะที่จะเข้ามาสู่ทีม และสโมสรไม่ควรส่งนักเตะที่เขาไม่ต้องการมาให้" นี้คือสิ่งที่ คีแกนพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนลาออกจากตำแหน่ง
แล้วในฤดูกาลเดียวกันกับที่คีแกนโบกมืออำลา นิวคาสเซิ่ลก็มีอันต้องกระเด็นตกชั้นไป เป็นการตกชั้นครั้งแรกในยุคของ "ไมค์ แอชลีย์" ตอนนั้นแฟนบอลบางคนก็ยังมองในแง่ดี ว่าความผิดพลาดในการบริหารครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญของ ไมค์ แอชลีย์
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้นซักเท่าไรนัก แอชลีย์ ยังบริหารทีมโดยมุ่งเน้นผลกำไรเป็นหลักเหมือนเดิม เสาะแสวงหานักเตะฝีเท้าดีราคาถูกแล้วเอามาปั้นขายต่อในราคาแพง ๆ จากที่เคยเข้ามาเชียร์บอลกับแฟนบอลในช่วงแรก ๆ ก็ค่อย ๆ หายหน้าหายตาไปจากสนาม เขาเริ่มทำเหมือนนิวคาสเซิลเป็นแค่เครื่องมือทำกำไรให้เขา ไม่ได้จะสนใจใยดีซักเท่าไร จนสุดท้าย "สาลิกาดง" ก็ตกชั้นอีกครั้งในปี 2016
ถึงแม้ทีมจะกลับมาสู่ลีกสูงสุดได้ภายในปีเดียวเหมือนกับตอนตกชั้นครั้งแรก แต่แฟนบอลส่วนใหญ่ก็ให้เครดิตกับ "ราฟาเอล เบนิเตซ" กุนซือในขณะนั้นมากกว่า ทำให้ในที่สุด แอชลีย์ ก็ตัดสินใจประกาศขายทีมอย่างเป็นทางการในปี 2017 ส่วนสาเหตุที่ แอชลีย์ ตัดสินใจประกาศขายทีมคงเนื่องมาจากเขารู้ตัวเองแล้วว่าไม่เหมาะกับการทำทีมฟุตบอล ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาขนาดใหญ่ในอังกฤษอย่าง "sports direct"
แต่การบริหารทีมฟุตบอลมันไม่ง่ายขนาดนั้น ธุรกิจฟุตบอลมันมีจิตวิญญาณของแฟนบอล ที่ต้องการเห็นทีมประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่ธุรกิจที่จะเข้ามาทำกำไรอย่างเดียวแล้วจบกัน
อเมนด้า สเตเวลี่ย์ ผู้ที่ผลักดันให้เกิดดีลนี้ขึ้น
ถึงจะประกาศขายทีมแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเขี้ยวของ ไมค์ แอชลีย์ ที่ตั้งราคาขายสูง ๆ แถมมีเงื่อนไขเยอะแยะเต็มไปหมด หรือว่าคนที่สนใจซื้อไม่ได้ต้องการที่จะซื้อจริง ๆ เหมือนแค่ลองยื่นราคาไปเผื่อจะได้ในราคาถูก ทำให้นิวคาสเซิลมีแต่ข่าวซื้อ-ขายทีมอยู่ตลอดแต่ไม่ใกล้เคียงกับการเปลี่ยนมือซักที
เวลาผ่านไปเกือบ 3 ปี ในที่สุดแฟน ๆ ทูนอาร์มี่ก็เริ่มมีความหวังชัดเจนขึ้นมา เมื่อล่าสุดสำนักข่าวเมืองผู้ดีหลายเจ้ารายงานตรงกันว่า ไมค์ แอชลีย์ ได้ตัดสินใจขายทีมให้กับกลุ่มทุน PCP capital partners ของ"นาง อเมนด้า สเตเวลี่ย์ " ในราคาประมาณ 300 ล้านปอนด์ โดยที่จริงแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังดีลนี้จริง ๆ คือ เจ้าชายแห่งซาอุดีอาระเบีย "โมฮัมเหม็ด บิน ซามาล" ผู้ที่มีทรัพย์สินมากมายมหาศาลเกินกว่าเราจะจินตนาการได้ ส่วนนางอเมนด้าทำหน้าที่เป็นแค่นายหน้าเท่านั้นเพื่อแลกกับการถือหุ้นของนิวคาสเซิ่ล 10%
โมฮัมเหม็ด บิน ซามาล ว่าที่เจ้าของใหม่นิวคาสเซิ่ล
เท่ากับว่านิวคาสเซิ่ลจะมีมหาเศรษฐีเป็นเจ้าของทีมอารมณ์ คล้าย ๆ "ชีค มานซูร์" ของแมนฯซิตี้ แต่มีทรัพย์สินมากกว่าประมาณ 10 เท่า !!!
ถึงแม้ว่าดีลนี้ยังไม่สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีข่าวว่าถึงขั้นตอนยื่นเอกสารให้พรีเมียร์ลีกพิจารณาน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
แม้จะมีการขัดขานจากหลายฝ่ายทั้ง Amnesty ที่ไม่เเห็นด้วย โดยอ้างว่าจากกลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนบ่อยครั้ง หรือ Bein Sport เจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ ลีก จากประเทศกาตาร์ ที่ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ "ประเทศซาอุดิอาระเบีย"ที่แอบลักลอบสัญญาณจากตนไปอย่างผิดลิขสิทธิ์ ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับพรีเมียร์ ลีก เพราะ กลัวว่าอาจจะมีการละเมิดลิขสิทธิ์ที่มากขึ้นกว่าเดิมในแถบตะวันออกกลาง แต่ดูเหมือนทุกข้อกล่าวหายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหยุดยั้งดีลนี้ได้
ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยคราวนี้สาลิกาได้ลุ้นกลับมาบินสูงอีกครั้งแน่ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
โฆษณา