26 เม.ย. 2020 เวลา 20:01 • ประวัติศาสตร์
โจเซฟ พูลิทเซอร์ บรรณาธิการหัวเห็ด (ตอนที่ ๒๕)
แต่งงานเสร็จ พูลิทเซอร์ ก็พาภรรยาสาว กลับมาอยู่ที่เซนต์หลุยส์
และต้องรีบหาอะไรทำให้เร็วที่สุด เงินที่มีใกล้จะหมดเขาจะทำอะไร
หลังจาก โจเซฟ พูลิทเซอร์ แต่งงาน เคท ลูกสาว เวอธิงตัน เดวิส คหบดี
ของเมือวอชิงตัน ดี.ซี.ที่โบสถ์ เอพิสโคปาล ซึ่งเป็นโบสถ์ที่บิดามารดาของ
เจ้าสาวเคยใช้แต่งงานเมื่อ ๓๐ ปีก่อนแล้ว ทั้งสองก็เดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันที่ทวีปยุโรปอย่างมีความสุข
ระหว่างนั้น โจเซฟพบว่า เคทต่างจากเพื่อนที่เขาเคยพบมาก่อนอย่างมาก คนอื่น ๆ ที่เขาคบหามาล้วนแล้วแต่เป็นคนจริงจัง บางคนก็คงแก่เรียน อย่าง
เช่น โทมัส เดวิดสัน
การได้พบกับเคทจึงเป็นประสบการณ์ใหม่ เคทเป็นคนที่มีใจคอทั้งหนักแน่น และช่างเล่นอยู่ในตัวคน ๆ เดียวกัน มีพรสวรรค์ที่จะทำให้คนหัวเราะ เป็นนักฟังที่ดี ที่สำคัญเข้าใจเขาอย่างมาก
หลังจากฮันนีมูน โจเซฟพาเคทกลับมาอยู่ที่เซนต์หลุยส์ ในช่วงแรกเขายัง
ไม่มีงานทำ และเงินก็เริ่มร่อยหรอไปอย่างรวดเร็ว
แต่เคทกลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนด้วย กลับหัวเราะ เมื่อโจเซฟแสดงความวิตก
กังวลให้เห็น เธอปลอบใจเขาว่า
“บางทีคุณอาจไปพบสิทธิอะไรบางอย่าง สำหรับเอาไปขายต่อเข้าอีกก็ได้...”
คำพูดของเคท เหมือนเตือนความทรงจำเขาถึงเรื่องที่เคยซื้อขายหนังสือ
พิมพ์คราวโน้น ซึ่งเคทเห็นว่าเป็นเรื่องที่ขำมาก และนั่นก็เป็นเรื่องที่ทำให้
เธอภูมิใจในความฉลาดของเขา โจเซฟจึงนึกขึ้นได้ คิดว่าเขาน่าจะลองทำดู
ระหว่างที่เคท จัดบ้าน ด้วยการหาซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นจริง ๆ จะได้ไม่สิ้น
เปลืองเงินที่เหลือน้อยลงทุกที โจเซฟก็กลับเข้าสู่วงการหนังสือพิมพ์อีกครั้งไม่นานก็พบว่าโอกาสที่จะทำเหมือนคราวหนังสือพิมพ์ชตัท-ไซตุง จนได้
เขาทราบว่า หนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์ ดิสแพทช์ กำลังประสบมรสุมอย่าง
หนัก อุปกรณ์ที่มีอยู่ก็เก่าเกือบพัง เครดิตที่มีในธนาคารก็เกือบหมด
แต่ตึกที่ทำการยังดี พอใช้ได้อยู่ นอกจากนี้ยังมีเครื่องพิมพ์และตัวพิมพ์ แม้
จะเก่าคร่ำคร่าเต็มทน เจ้าของจึงประกาศขาย โจเซฟทราบมาว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ มีสิทธิได้ข่าวจากแอสโซซิเอตเตดเพรสอยู่ด้วย
โจเซฟคิดว่า หากซื้อมาแล้วเขาคงจะนำไปขายให้หนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์ โพสต์ ซึ่งยังไม่ได้สิทธิดังกล่าวพอได้กำไรบ้าง จึงตกลงที่จะซื้อจากหนังสือดิสแฟทช์ในราคาสองพันห้าร้อยเหรียญ
และตกลงเข้ารับช่วงสิทธิยึดครองทรัพย์สินของหนังสือพิมพ์อีกสามหมื่น
เหรียญ โจเซฟคิดว่าถ้าขายสิทธิให้คนหนึ่งได้ แล้วขายตึกสำนักงานให้กับ
อีกคนหนึ่งได้ ...เขาย่อมจะได้กำไรอย่างแน่นอน
ในวันเปิดประมูลขายหนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์ ดิสแฟทช์ ซึ่งจัดขึ้นบริเวณบันไดศาล เข้าวันที่ ๑ ธันวาคม ๑๘๗๘ นั้น โจเซฟเป็นคนเดียวที่เข้าประมูล
และใช้เวลาเพียงห้านาทีทุกอย่างก็เสร็จสิ้นลง
พูลิทเซอร์ได้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์อีกครั้งหนึ่ง แต่ที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากนั้นครู่เดียว ก็มีผู้ต้องการประมูลอีกสามคนพากันกระหืดกระหอบเพื่อมาร่วมประมูลด้วย
ภาพที่มีคนต้องการประมูลด้วย ทำให้พูลิทเซอร์ต้องครุ่นคิด พวกนี้คิดอย่างไรกับเซนต์หลุยส์ดิชแพช หรือ ? พวกนี้ต้องการสิทธิเพื่อเอาไปขายต่ออย่างที่เขากำลังทำ หรือต้องการซื้อเพื่อนำไปปรับปรุง แล้วคืนชีพให้ดิชแพชกลับมามีชีวิตใหม่อีก..
หลังประมูล โจเซฟไม่ได้เดินไปดูสมบัติชิ้นใหม่ของเขาในทันที เพราะเขาไม่ต้องการพบผู้ที่ต้องซื้อดิสแพทช์กลุ่มนั้น ซึ่งเขาเชื่อจะต้องมีคนที่ตั้งใจจะมาประมูลให้ราคาดีแก่เขา คิดว่าควรปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วกลับบ้านในที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ปน ๆ กัน คือมีทั้งความไม่เต็มใจ ความกังวล
และตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เขาออกไปดูตึกสำนักงานของดิสแพทซ์มองจากข้างนอกตัวตึก โอ่โถงพอใช้ เขาสอดลูกกุญแจเข้าไปที่ประตูและไขเปิดออก สายตาของเขาค่อย ๆ ชินกับความมืด
แล้วสิ่งที่โจเซฟเห็น ก็ทำให้เขาตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง นี่หรือคือสถานที่ที่
เขาลงทุนซื้อมาโดยไม่ทันได้มาดูเสียก่อน ?
มันสกปรกไปหมด ผนังห้องเลอะเทอะ มีที่กั้นบาง ๆ แบบเก่าทำเป็นฝากั้นแบ่งห้องบ้าง แบ่งเป็นช่องบ้าง หน้าต่างไม่ได้ทำความสะอาด โต๊ะเก้าอี้แสนง่อนแง่น
นั่นยังไม่เลวร้ายที่สุด โจเซฟย่ำไปบนกองขยะหนาปึกในห้องติดกัน เดินผ่านกองกระดาษหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ..ผ้าขี้ริ้ว และผ้าห่มขาด ๆ ที่ช่างเรียงพิมพ์จรจัดมาอาศัยหางานทำไปสองสามวันใช้ปูนอน
เขาเปิดประตูที่เหนียวเหนอะเข้าไปยังห้องไว้เครื่องพิมพ์ ซึ่งพื้นซีเมนต์เย็นเยือก มันเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ยังใช้การได้ แต่เมื่อเห็นเครื่องพิมพ์เขาแทบ
หมดกำลังใจ
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่เหนือศีรษะ จึงเดินไปที่ลิฟต์แล้วกดปุ่มเรียก แล้วยืนคอยอยู่ตรงนั้น...
“คุณพูลิทเซอร์หรือครับ ?” เสียงเสียงหนึ่งร้องเรียกลงมาจากหัวบันได “ลิฟต์ไม่ทำงานครับ คุณต้องเดินขึ้นมา” โจเซฟหันไปมองผู้เรียก
“ผมชื่อบริกกส์ “เขาแนะนำตัวแล้วว่า “ผมพิมพ์หนังสือออกมาทุกวันแหละ
ครับ แต่ผมไม่ทราบว่าคุณจะต้องการทำอย่างไรกับมันต่อไปครับ”
โจเซฟตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ..ที่นั่น คนงานหกคนของดิสแพทช์
เข้ามาล้อมรอบตัวเขา เอาหนังสือพิมพ์ฉบับที่วางเป็นรูปร่างดีแล้วมาให้ดู
เขาเบนหน้าหนีแววตาอ้อนวอนของบุคคลเหล่านั้น
เขารู้ดีว่า พวกนั้นกำลังอยากถามอะไรเขา จึงชิงตอบไปว่า “ทำต่อไปเถอะ แต่วันนี้เพียงวันเดียวนะ !” เขาตอบห้วน ๆ
โจเซฟเดินขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ขณะที่คิดใจก็คือว่า เขาจะต้องซ่อมแซมอะไร
บ้างหากจำเป็นต้องทำ... แต่แล้วเขาก็สดุ้งตื่นจากภวังค์ ย้อนถามตัวเองว่า...นี่เขากำลังคิดอะไรหรือ ?
แล้วเขาก็ได้คำตอบ ..เขาซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาเพื่อจะเอาสิทธิไปขายเอากำไรเร็ว ๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นแน่ ๆ .. เขาเตือนตัวเอง
กว่าเขาจะเดินตรงไปทั่วจนถึงชั้นบนสุด เขาก็ทราบว่าได้มีการเรียงพิมพ์ตัวพิมพ์สำหรับหนังสือในวันนั้นไว้พร้อมแล้ว
เขาเฝ้าดูคนงานค่อย ๆ บรรจงหยิบแบบที่จัดเรียงไว้ แล้วยกมันอย่างทนุ
ถนอมลงบันไดไปทีละขั้น คนหนึ่งเดินไปข้างหน้าแบบเพื่อคอยจับให้มันอยู่กับที่ ในขณะที่อีกสองคนคอนประคองมันมาจากข้างหลัง
“นั่นคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ ?” พูลิทเซอร์ร้องถามออกไปด้วยความประหวั่นใจ
เสียงแบบพิมพ์กระแทกกับขั้นบันไดดังกึง ๆ ระหว่างที่เคลื่อนลงไปทีละขั้น บริกกส์เป็นผู้ตอบว่า “ลิฟต์ครับ คุณพูลิทเซอร์ มันไม่ทำงานมานานแล้ว นี่
เป็นวิธีเดียวที่เราจะหอบลงไปให้ช่างพิมพ์เขาได้”
ภาพที่เห็นทำให้โจเซฟเกิดความรู้สึกบางอย่างทันที... นี่มันชักจะมากเกิน
กว่าจะทนได้เสียแล้ว เขากระแทกหมวกลงบนศีรษะ แล้วก้าวยาว ๆ ออกไป
เมื่อไปถึงบ้านเขาเล่าเรื่องนั้นให้เคทฟัง เหมือนคนที่กำลังมีอารมณ์โกรธ
“มันไม่น่าดูเลย... หนังสือพิมพ์เหมือนสิ่งที่มีชีวิตสำหรับฉัน... เขาช่างปล่อย
ให้มันเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกันนะ ! เหมือนกับเด็ก
หนังสือพิมพ์อาจป่วยหรือตาย แต่ไม่ควรถูกทอดทิ้งให้ตายไปอย่างแสนสกปรก ไม่มีการอาบน้ำชำระทำความสะอาดให้บ้างเลย “ แล้วเขาก็เอ่ยถึงพนัก
งานเก่าแก่คนหนึ่งให้เคทฟัง
“บริกกส์ก็รู้สึกเหมือนฉัน เขาอาย... ไม่กล้ามองหน้าฉัน เขาคงอยากขอ
โทษ ดูก็รู้ว่าเขารักหนังสือพิมพ์นี้มาก และรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นมันเป็นอย่าง
นั้น แต่แม้เขาเองก็เถอะ อย่างน้อยเขาก็ควรจะหาน้ำกับสบู่มาสักกระป๋อง
แล้วทำความสะอาดมันเสียบ้าง”
เคทนิ่งฟังอย่างใจเย็น เธอสังเกตเห็น... มือหนึ่งของโจเซฟ ดึงเนคไทที่ผูก
อยู่ อีกมือหนึ่งตะกุยไปลวก ๆ บนผมหยักศกเป็นคลื่นหนาของเขา อย่างขัด
ใจ อารมณ์อย่างหนึ่งจู่โจมเข้าจับใจเขา ชนิดที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก จนเธอก็ประหลาดใจเช่นกัน
“แต่มันเป็นเพียงตึกเท่านั้นนะคะที่รัก... คุณก็รู้มาแล้วว่ามันต้องเก่า ไม่งั้นคงไม่มีใครขายให้คุณถูก ๆ อย่างนั้น”
ทันใดนั้น ประกายตาของเธอก็ฉายแววอย่างหนึ่งออกมา “หรือว่า มันเป็น
แต่เพียงแค่ตึกหลังหนึ่งเท่านั้นนะหรือ สำหรับคุณ มันมีความหมายอะไรนอกเหนือไปจากนั้นหรือเปล่า ?”
“เปล่า...เปล่า ไม่มีหรอก” เขารีบปฏิเสธ แล้วขอโทษเธอ “ฉันเสียใจ เคท ฉันมาหัวเสียเอากับเธอ" เขานิ่งไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า "ไม่เป็นไร ฉันจะไปพบดิลลอน หนังสือพิมพ์เซนต์หลุยส์โพสต์พรุ่งนี้ และไปตกลงกัน... เขาจะซื้อทั้ง
สิทธิทั้งตึกก็ได้ ถ้าเขาต้องการ”
แต่คนที่โจเซฟคิดว่าจะไปหา ไม่รอถึงพรุ่งนี้ ดิลลอนมาหาโจเซฟในคืนวันนั้น และใช้เวลาในการคุยกันในเรื่องของหนังสือพิมพ์ดิสแพทช์ ในตอนแรกก็คุยกันอย่างระมัดระวัง
แต่เคทก็สามารถได้ยินเสียงพึมพำของเขาทั้งสองได้ว่า มีการต่อรองราคากันระหว่างนักธุรกิจทั้งสอง แล้วเสียงก็ค่อย ๆ ดังขึ้น เหมือนแย่งกันพูดด้วยความตื่นเต้น เหมือนกับต่างก็มีแผนอยู่ในใจทั้งคู่
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ ๆ บรรณาธิการโพสต์ก็ยิ้มแต้ออกมาจาก
ห้อง เขาหันมาขอบใจเจ้าของบ้านสาวและขอโทษที่เก็บสามีเธอไว้นาน
ก่อนจะกล่าวคำอำลา เมื่อเขาไปแล้วเคทหันมาทางสามี
“ว่าไงคะ”
“ว่าไง... เรื่องอะไร ?” โจเซฟแสร้งถาม แต่ท่าทางของเขาที่แสดงออกทำให้ เคทถามว่า
“เรื่องอะไรกันคะ ทำไมคุณจึงมีท่าพออกพอใจกับตัวเอง และมีท่าทางกล้าได้กล้าเสียอย่างนี้ด้วยล่ะคะ”
(โจเซฟตอบว่าไร รออ่านต่อพรุงนี้นะครับ)
ตึกสำนักงานที่โจเซฟ ประมูลได้
โฆษณา