"เงิน"
ที่บอกไว้ตอนต้นว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของชีวิต แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่า เงิน ไม่สำคัญ
ถ้าจะเปรียบการใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นเรือที่แล่นในน้ำ ชีวิตเราก็คงเป็นเรือ ส่วนการเงินก็คือน้ำ แต่เป็นน้ำที่สามารถวางแผนจัดการได้ เป็นอะไรที่สามารถอยู่ในการควบคุมของเราได้เสมอ
เริ่มแจกแจงเงินเดือนที่ได้รับ เพราะหลังจากลาออกเงินเดือนทั้งหมดของงานนี้จะถูกใช้จนกว่าจะได้งานใหม่ ตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะต้องเก็บ 10% ของเงินเดือนไม่ว่าจะด้วยเหตุใดด้วย ได้หลักการนี้มาจากความที่ชอบอ่านหนังสือเล่าเรื่อง แล้วบังเอิญไปเจอเล่มนึงชื่อ The richest man in Babylon
เห็นด้วยเป็นอย่างมากในการฝึกหัดเก็บเงิน ซึ่งเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าทำไมต้อง 10% นะ จนได้แนวคิดของตัวเองที่ว่า การรู้จักสะสมในจำนวนนึงคือการปลูกฝังจิตใจให้เกิดความชินที่จะเก็บเงิน พูดตามความจริงแล้ว 10% นี้อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากยามคับขัน แต่มันคือต้นกล้าเล็กที่จะนำไปสู่นิสัยเก็บออม และเท่าที่ได้เคยถอยมาพึ่งพาเงินก้อนเล็กๆนี้ ทำให้รู้ว่าถึงเงินนี้จะเป็นก้อนเล็กๆ แต่ก็เป็นกำลังใจให้เราได้ดีในวันที่เราจำเป็นต้องใช้ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ถอยมาจนถึงเลข 0 มันช่วยได้มากในแง่ของจิตใจ
10% ต่อมา แบ่งให้การเที่ยว เพราะชีวิตนี้ไม่ได้มุ่งหวังการทำงานที่รักโดยไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดการสัมผัสจากธรรมชาติ ต้นไม้ และภูเขา
5% แบ่งใช้จ่ายไปกับค่าเสื้อผ้าและเครื่องมือเสริมความมั่นใจ เมื่อก่อน จะเดินทางไปไหนมาไหนชุดเดียว เรียกได้ว่านอนกินเที่ยวชุดเดียวกัน
เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้หลายชุด จนมาพบว่า เรามีความมั่นใจเมื่อเราอยู่ในชุดที่เข้ารูป เหมาะกับโอกาสต่างกันไป แล้วทำไมเราจึงไม่เลือกลงทุนจุดนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความคิดของเรา
5% หนังสือ การที่ได้เรียนรู้แนวคิด วิธีแก้ปัญหา ทักษะต่างๆ ของผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้น เป็นเรื่องที่ดีมากที่เราได้เรียนรู้มันผ่านชีวิตเขา แล้วมาปรับใช้กับตัวเอง เป็นการประหยัดเวลาที่จะต้องไปเจอเองได้เยอะทีเดียว
5% ให้พ่อแม่ ก็เป็นอีกส่วนนึงที่สร้างความภูมิใจได้เสมอว่าในวันนี้เราได้ยืนอยู่ในจุดที่ถึงจะไม่แข็งแกร่งพอ แต่ก็ได้มองย้อนกลับไปข้างหลัง อย่างน้อยก็ทำให้คนที่บ้านได้กินของอร่อยๆ
รายจ่ายคงที่ หรือรายจ่ายที่ต้องจ่ายแน่นอน
อันนี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการดำเนินชีวิต ซึ่งถ้ามากไป ก็ถามตัวเองว่าลดส่วนไหนได้บ้าง หรือที่มันวิเศษก็คือ เราจะทำยังไงให้รายได้เราเพิ่มขึ้น
จุดนี้เองที่ทำให้ผมหันกลับมาสำรวจความสามารถลึกลับของตัวเอง แล้วก็พบว่าถึงมันจะเล็กน้อยแต่มันก็ช่วยพยุงการเงินพยุงรายจ่ายได้นะ
ที่เหลือประมาณ 30-40% เป็นโอกาสที่จะเอาไปลงทุน ใช่ คงไม่ชอบให้เงินนอนรอวันที่ค่าเงินเฟ้อจะเข้ามาทักทาย ดังนั้นจึงต้องเสี่ยง จึงต้องศึกษาให้มากเพื่อลดความเสี่ยง
ในจุดนี้สรุปสั้นๆคือผมเลิกโทษเศรษฐกิจแล้วหันมาโฟกัสที่ตัวเอง หาความสามารถแล้วใช้มันเพิ่มเงิน จัดการตัวเองให้อยู่หมัด วางแผนให้รัดกุมและยืดหยุ่นบ้างนั่นคือศิลปะของการเงิน