28 เม.ย. 2020 เวลา 15:07 • ไลฟ์สไตล์
เดือนเมษาเป็นเดือนนึงที่มักจะพาเรื่องราวที่ได้เคยตัดสินใจก้าวออกจากตัวเองในเดือนเมษาปีที่แล้วหรือปีก่อนๆมา และปีนี้ก็ได้ยืนอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเดินมาสำเร็จไปอีกก้าวนึงด้วยการวางแผนจากปีที่แล้ว
เป็นคนค่อนข้างมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงว่าถ้าจะทำอะไร จะต้องทำให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องทำให้เต็มที่ก่อน แล้วก็มีความเชื่อที่ล้มเลิกได้ยากว่าการวางแผนจะทำให้เราเดินทางไปถึงอนาคตได้ก่อนตัวเราในปัจจุบัน เรามีปัจจัยที่ควบคุมได้เสมอ อยู่ที่เราเลือกจะหยิบมันมาใช้หรือปล่อยมันไว้อย่างนั้น
ครั้งนึงตอนตัดสินใจออกจากอาชีพที่มุ่งหวังจะให้เป็นกองหน้าของอนาคต มีแผนรองรับมากมายที่มาคอยยืนยันว่าเราจะต้องทำได้ เพราะเลือกมองจากคนที่ไม่ได้ทำงานอยู่จุดนั้นแต่ก็สามารถมีความสุขได้
วินาทีที่ตัดสินใจทิ้งเอกสารสำคัญที่บ่งชี้ถึงอนาคตในอาชีพนั้นลงทะเล คือวินาทีที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นนกที่หลุดออกจากกรงที่กิ่งไม้ให้เกาะมีเพียงในความคิดมันเท่านั้น
ความกังวลมากมายเกิดขึ้นในความคิด ใช้เวลาปลุกพลังความคิดตัวเองในทุกชั่วโมง ตลอดเวลากลางทะเลความคิดปั่นป่วนเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ตัดสินใจเผาทางถอยไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องเดินหน้าต่อ
มีคำถามมากมายจากคนอื่นเกี่ยวกับตัวผม แต่มีคำถามนึงที่เตือนใจผมเสมอ คำถามง่ายๆนั้นคือ
"ถ้ามึงมีเงิน 100 ล้าน บาท มึงจะทำอะไร"
ใช่ มันคือคำถามสุดคลาสสิกที่ตัวผมเองในวันนั้นต้องกลับมาถามตัวเองว่าจริงๆแล้วต้องการอะไรกันแน่ ไม่นานก็มีคำตอบให้ตัวเอง แล้วก็ตอบตัวเองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ เงิน อีกต่อไป
เริ่มวางโครงสร้างของแผนตัวเอง โดยเอาเป้าหมายเป็นที่ตั้งว่าจริงๆแล้วในชีวิตนี้ต้องการอะไร แล้วทำไปเพื่ออะไร อาจจะเป็นการร่างแบบไม่มีแหล่งอ้างอิง เลยเข้าใจคำว่าความสำเร็จไม่มีสูตรตายตัว แล้วนั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นแล้วอยากจินตนาการเกี่ยวกับแผนการในอนาคตทั้งวัน
"ภาษา"
ครั้งแรกที่ตัดสินใจว่าจะใช้ความสามารถด้านภาษาบวกกับความชอบเป็นหลักในการเบิกทาง ก็ยังมีคำถามมากมายว่า จะเป็นวิศวกร หรือ นักอักษรศาสตร์ มีคนที่หวังดีมากมายบอกให้ลองคิดดูใหม่เกี่ยวกับความคิดนี้ อีกทางคือ เดินหน้าสอบใบ กว. ซะ
แต่เจ้ากรรม ดันมีความเชื่อว่าจะใช้ภาษานี่แหละเป็นใบเบิกทางเหมือนที่เคยทำได้
การเดินทางขั้นแรกมาถึง ช่วงนั้นเผชิญหน้ากับข้อสอบภาษาเยอะมากโดยที่ไม่มีที่ให้ซื้อหนังสือหรือคู่มือใดๆเลย มีแต่อินเตอร์เน็ตที่ไม่ได้มีทุกวัน อยากรู้เรื่องอะไรหรือไม่รู้เรื่องอะไรต้องจดใส่กระดาษไว้ รอผ่านเกาะหรือท่าเรือที่มีสัญญาณ
เพื่อจะได้โหลดข้อสอบชุดใหม่มาทำ หาเรื่องที่เจอจุดบอด ในเวลานั้นมันเป็นไปด้วยความไม่ราบเรียบ พบเจอความผิดหวังมากมายจากความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในข้อเดิม แต่ก็เชื่อว่าถ้าเจอความผิดหวังก็แปลว่าน่าจะมาถูกทางแล้ว
ผมพยายามทำไปเรื่อยๆ แล้วย้อนกลับมาเปรียบเทียบว่าทำไมถึงผิด ได้พบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนมักจะบอกเสมอว่า ดีแล้วที่ผิดพลาด เพราะความผิดพลาดนี่แหละเป็นสิ่งเดียวที่ยอมบอกเราว่าเรายังไม่รู้อะ สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ จงยอมรับความผิดพลาดแล้ววิเคราะห์มันซะ ผิดพลาดจนกว่าจะไม่มีทางให้ผิดพลาดแล้ว
"เงิน"
ที่บอกไว้ตอนต้นว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของชีวิต แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่า เงิน ไม่สำคัญ
ถ้าจะเปรียบการใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นเรือที่แล่นในน้ำ ชีวิตเราก็คงเป็นเรือ ส่วนการเงินก็คือน้ำ แต่เป็นน้ำที่สามารถวางแผนจัดการได้ เป็นอะไรที่สามารถอยู่ในการควบคุมของเราได้เสมอ
เริ่มแจกแจงเงินเดือนที่ได้รับ เพราะหลังจากลาออกเงินเดือนทั้งหมดของงานนี้จะถูกใช้จนกว่าจะได้งานใหม่ ตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะต้องเก็บ 10% ของเงินเดือนไม่ว่าจะด้วยเหตุใดด้วย ได้หลักการนี้มาจากความที่ชอบอ่านหนังสือเล่าเรื่อง แล้วบังเอิญไปเจอเล่มนึงชื่อ The richest man in Babylon
เห็นด้วยเป็นอย่างมากในการฝึกหัดเก็บเงิน ซึ่งเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าทำไมต้อง 10% นะ จนได้แนวคิดของตัวเองที่ว่า การรู้จักสะสมในจำนวนนึงคือการปลูกฝังจิตใจให้เกิดความชินที่จะเก็บเงิน พูดตามความจริงแล้ว 10% นี้อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากยามคับขัน แต่มันคือต้นกล้าเล็กที่จะนำไปสู่นิสัยเก็บออม และเท่าที่ได้เคยถอยมาพึ่งพาเงินก้อนเล็กๆนี้ ทำให้รู้ว่าถึงเงินนี้จะเป็นก้อนเล็กๆ แต่ก็เป็นกำลังใจให้เราได้ดีในวันที่เราจำเป็นต้องใช้ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ถอยมาจนถึงเลข 0 มันช่วยได้มากในแง่ของจิตใจ
10% ต่อมา แบ่งให้การเที่ยว เพราะชีวิตนี้ไม่ได้มุ่งหวังการทำงานที่รักโดยไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดการสัมผัสจากธรรมชาติ ต้นไม้ และภูเขา
5% แบ่งใช้จ่ายไปกับค่าเสื้อผ้าและเครื่องมือเสริมความมั่นใจ เมื่อก่อน จะเดินทางไปไหนมาไหนชุดเดียว เรียกได้ว่านอนกินเที่ยวชุดเดียวกัน
เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้หลายชุด จนมาพบว่า เรามีความมั่นใจเมื่อเราอยู่ในชุดที่เข้ารูป เหมาะกับโอกาสต่างกันไป แล้วทำไมเราจึงไม่เลือกลงทุนจุดนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความคิดของเรา
5% หนังสือ การที่ได้เรียนรู้แนวคิด วิธีแก้ปัญหา ทักษะต่างๆ ของผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้น เป็นเรื่องที่ดีมากที่เราได้เรียนรู้มันผ่านชีวิตเขา แล้วมาปรับใช้กับตัวเอง เป็นการประหยัดเวลาที่จะต้องไปเจอเองได้เยอะทีเดียว
5% ให้พ่อแม่ ก็เป็นอีกส่วนนึงที่สร้างความภูมิใจได้เสมอว่าในวันนี้เราได้ยืนอยู่ในจุดที่ถึงจะไม่แข็งแกร่งพอ แต่ก็ได้มองย้อนกลับไปข้างหลัง อย่างน้อยก็ทำให้คนที่บ้านได้กินของอร่อยๆ
รายจ่ายคงที่ หรือรายจ่ายที่ต้องจ่ายแน่นอน
อันนี้ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการดำเนินชีวิต ซึ่งถ้ามากไป ก็ถามตัวเองว่าลดส่วนไหนได้บ้าง หรือที่มันวิเศษก็คือ เราจะทำยังไงให้รายได้เราเพิ่มขึ้น
จุดนี้เองที่ทำให้ผมหันกลับมาสำรวจความสามารถลึกลับของตัวเอง แล้วก็พบว่าถึงมันจะเล็กน้อยแต่มันก็ช่วยพยุงการเงินพยุงรายจ่ายได้นะ
ที่เหลือประมาณ 30-40% เป็นโอกาสที่จะเอาไปลงทุน ใช่ คงไม่ชอบให้เงินนอนรอวันที่ค่าเงินเฟ้อจะเข้ามาทักทาย ดังนั้นจึงต้องเสี่ยง จึงต้องศึกษาให้มากเพื่อลดความเสี่ยง
ในจุดนี้สรุปสั้นๆคือผมเลิกโทษเศรษฐกิจแล้วหันมาโฟกัสที่ตัวเอง หาความสามารถแล้วใช้มันเพิ่มเงิน จัดการตัวเองให้อยู่หมัด วางแผนให้รัดกุมและยืดหยุ่นบ้างนั่นคือศิลปะของการเงิน
"เวลา"
คิดจะจัดการเงินก็เห็นว่ามีอีกสิ่งนึงที่มีตลอดในชีวิตประจำวัน ได้รับประจำโดยไม่ต้องขอ คนรวบคนจนมีเท่ากันคือ เวลา
ในสมุดโน๊ตที่ติดตัวประจำของผมจะมีการวางแผนเวบาในแต่ละวันอย่างชัดเจน เรียกได้ว่าละเอียดยิบ ไม่ใช่เพราะเป็นคนเป๊ะหรืออะไรหรอก แต่มันเขียนแล้วเกิดไอเดัยอยากทำนู้นนี่ให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลัก อยากใช้เวลาให้คุ้มค่าในการเพิ่มสามารถให้ตัวเองอยู่เสมอ มีทั้งเวลาทำงาน เวลาพักผ่อน ซึ่งเป็นเวบาคงตัวในแต่บะวัน แล้วก็จัดการเวลาที่เหลือให้ได้ทำสิ่งต่างๆที่อยากทำ แล้วก็พบว่าสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจได้ในแต่ละวันคือ การที่ผมได้ทำสิ่งที่ผมหวังไว้ทุกอย่างในเวลาที่ผมกำหนด ถึงจะรัดกุมไปบ้างแต่ผลลัพธ์คือความสบายใจไม่ค้างคากับสิ่งต่างๆก่อนหลับตานอนในแต่ละวัน พูดกับตัวเองได้เต็มปากว่า วันนี้เราทำดีที่สุดแล้วนะ นอนพักผ่อนได้แล้วคนเก่ง
วันนี้ในเดือนเมษายน ปี 2020
ผมยืนอยู่บนเส้นร่างแผนการที่ได้ร่างเอาไว้มานานนับปี ได้ยืนในจุดที่มีคนเชื่อใจ แล้วก็แอบภูมิใจนะที่วันนี้ที่ได้ลงสนามงานที่ระบบดีเยี่ยม สมใจในวัยเด็กแล้ว ที่สำคัญได้รู้ว่าสิ่งที่เรียนมามันเอามาใช้ได้จริงๆ ความรู้คือความได้เปรียบในการต่อรอง
มีความผิดพลาดเกิดเสมอระหว่างทาง แต่ผมยังคงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หลงทางเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ได้รับระหว่างทางมาคือกำไร
การเดินทางในปัจจุบันต้องใช้ GPS ที่มีระยะทางที่แน่นอน เส้นทางที่แน่นอน แถมบอกสภาพจราจรอีก แต่ต่างกับแผนที่เส้นทางชีวิตตรงที่เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันถูกหรือไม่ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ สะสมความรู้ให้มากในทางนั้นๆ เพราะเป็นเหมือนการลดความเสี่ยง แล้วการไม่รู้ว่าแผนการนั้นถูกไหมนั่นแหบะคือความสนุกเสมอ และผมเรียกมันว่าการใช้ชีวิต เพราะถ้ารู้ว่าทางนี้มันจะสำเร็จจริงๆ คงจะลดความตื่นเต้นลงไปเยอะเลยทีเดียว
ถ้ามีอะไรจะบอกตัวเองบ่อยๆ
คงจะบอกว่ามีเป้าหมายให้ชัดเจน วางแผนให้มีเป้าหมาย ระยะยาวเพื่อเป็นหลักชัยให้ไม่หลงทาง ระยะกลางเพื่อตรวจเช็คตำแหน่งเราเองว่ายังอยู่ในเส้นทางหรือไม่ ระยะสั้นเพื่อความสำเร็จในแง่จิตใจ เรียนรู้ให้มาก วางแผนการเงินให้ลื่นไหลอยู่เสมอจะได้ไม่รบกวนความคิดที่จะได้ใช้สร้างสรรค์งานที่ตัวเองรัก
ขอใช้มันเตือนตัวเองในทุกปีว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
"We bocome what we think about"
โฆษณา