30 เม.ย. 2020 เวลา 14:55 • การเมือง
4. ส่วน “ระบบรัฐสภา” นั้นเป็น “รูปการปกครอง” (Form of Government) ไม่ใช่
“หลักการปกครอง” (Principle of Government)
“ระบบ” (System) อันเป็นรูปการปกครองนั้น
เป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง “อำนาจนิติบัญญัติ” (Legislative Power) กับ “อำนาจบริหาร” (Administrative Power) โดยทั่วไปไม่ว่า “ระบอบประชาธิปไตย” (Democratic Regime) หรือจะเป็น “ระบอบเผด็จการ” (Dictatorial Regime) รูปใดๆ ก็ตาม มีรูปการปกครองใหญ่ๆ อยู่ 2 รูป คือ
1. ระบบรัฐสภา (Parliamentary System)
2. ระบบประธานาธิบดี (Presidential System)
ความแตกต่างระหว่าง 2 ระบบนี้ ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าอยู่ที่ปัญหาประมุขของรัฐนั้น เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก ระบบรัฐสภาอาจมีประธานาธิบดีเป็นประมุขก็ได้ และระบบ ประธานาธิบดีอาจมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐก็ได้ มักจะมีความเข้าใจผิดว่า ระบบรัฐสภาคือ ระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ และระบบประธานาธิบดีคือระบบที่มีประธานาธิบดีเป็น ประมุขแห่งรัฐ
ที่จริงทั้ง 2 ระบบไม่เกี่ยวกับปัญหาประมุขแห่งรัฐเลย เป็นปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง อำนาจนิติบัญญัติ กับ อำนาจบริหาร เท่านั้น
5. ความสัมพันธ์ระหว่าง อำนาจนิติบัญญัติ กับ อำนาจบริหาร มี 2 แบบ คือ
1) แบบรวมกัน เรียกว่า “ระบบรวมอำนาจ”
(Fusion of Powers)
2) แบบแยกกัน เรียกว่า “ระบบแยกอำนาจ”
(Separation of Powers)
ระบบรวมอำนาจ (Fusion of Powers) หมายความว่า อำนาจนิติบัญญัติทำหน้าที่อำนาจบริหารด้วย กล่าวคือ พรรคใดได้ที่นั่งข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเด็ดขาด (Absolute Majority) พรรคนั้นก็ เป็นฝ่ายรัฐบาลด้วย เช่นในประเทศอังกฤษ เป็นต้น
.....
ระบบแยกอำนาจ (Separation of Powers) หมายความว่า อำนาจนิติบัญญัติทำหน้าที่อำนาจบริหารไม่ได้ พรรคใดไม่ว่าจะมีเสียงข้างมากหรือข้างน้อยในสภา ผู้แทนราษฎรหรือในรัฐสภา
จะทำหน้าที่อำนาจบริหารมิได้ ผู้ทำหน้าที่อำนาจบริหารต้องไม่ทำหน้าที่อำนาจนิติบัญญัติ เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
.....
จากนี้ในระบบรวมอำนาจ สภาจึงล้มคณะรัฐมนตรีได้ และคณะรัฐมนตรีก็ยุบสภาได้ แต่ใน ระบบแยกอำนาจสภาล้มคณะรัฐมนตรีไม่ได้ และคณะรัฐมนตรีก็ยุบสภาไม่ได้
.....
ฉะนั้น “ระบบรวมอำนาจ” (Fusion of Powers) กับ “ระบบรัฐสภา” (Parliamentary System) จึงมีความหมายอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่ชื่อเรียกและ “ระบบแยกอำนาจ” กับ “ระบบประธานาธิบดี” (Presidential System)
จึงมีความหมายอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น ดังนั้นเราต้องไม่สับสน
6. “ระบบกึ่งประธานาธิบดี” (Semi-Presidential System)
ระบบกึ่งประธานาธิบดี หรือ “ระบบกึ่งแยกอำนาจ” (Semi-Separation of Powers) นั้น กำเนิด ขึ้นในปี 1958 ในฝรั่งเศส กล่าวคือ ภายหลัง “มหาปฏิวัติฝรั่งเศส” (Great French Revolution) ในปี 1789 แล้วฝรั่งเศสก็ยังใช้ “ระบบรัฐสภา” เป็น “รูปการปกครอง” มาโดยตลอด จนถึงปี ค.ศ. 1956-1958 ระบบรัฐสภาไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยในฝรั่งเศส ส่งผลให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ โดย 3 ปีต้องเปลี่ยนรัฐบาลถึง 25 ชุด
ต่อมานายพลเดอโกสส์ จึงได้ยกเลิกระบบรัฐสภาหรือระบบรวมอำนาจของฝรั่งเศส และก็ไม่ได้สถาปนาระบบประธานาธิบดีหรือระบบแยกอำนาจขึ้นแทน แต่ตั้งระบบใหม่ขึ้นเรียกว่า
“ระบบกึ่งประธานาธิบดี” (Semi-Presidential System) หรือ “ระบบกึ่งแยกอำนาจ” (Semi-Separation of Powers) ประธานาธิบดี เดอโกสส์ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสาธารณรัฐที่ 4 เป็นสาธารณรัฐที่ 5 ของ ฝรั่งเศส
ระบบนี้เป็น “ระบบแยกอำนาจ” แต่แยกเพียงครึ่งเดียว เช่น อำนาจนิติบัญญัติทำหน้าที่อำนาจบริหารไม่ได้ แต่สภายังล้มรัฐบาลได้ และรัฐบาลก็ยังยุบสภาได้ แต่ทำได้ยากขึ้นเท่านั้น ระบบนี้ช่วยให้ การเมืองของฝรั่งเศสมีเสถียรภาพตลอดมา
.....
7. หลักการของระบบรัฐสภา และระบบประธานาธิบดี
หลักการของระบบรัฐสภาในการควบคุมการบริหารมีเพียง 2 วิธี เท่านั้น คือ รัฐสภามีอำนาจ
ในทางนิติบัญญัติ และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้ ด้วยวิธีการดังนี้
.....
1. ตั้งกระทู้ถามรัฐบาล
2. เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ หรือเปิดอภิปรายทั่วไปโดยลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี
เป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ นี่คือหัวใจของ
ระบบรัฐสภา
.....
ส่วนระบบประธานาธิบดี หรือระบบแยกอำนาจนั้น หมายถึง แยกอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ กับ อำนาจบริหารออกจากกัน ด้วยการใช้วิธีการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) โดยสภาตั้ง คณะกรรมาธิการ ขึ้นมาทำหน้าที่นี้ นี่คือหัวใจของระบบประธานาธิบดี
.....
ฉะนั้น ในระบบรัฐสภา สภาจะสร้าง คณะกรรมาธิการ ใดๆ ขึ้นมามิได้ มิฉะนั้น จะผิดหลักการอย่างร้ายแรง เพราะจะทำให้รัฐสภามีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน และนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง อย่างร้ายแรง และแก้ไม่ตก
.....
หลักการของระบบรัฐสภา ศาสตราจารย์ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ ประพันธ์ ทรงประทานอรรถาธิบายไว้ว่า “เสถียรภาพของระบบรัฐสภา ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจอธิปไตยทั้งสาม โดยมีรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีอยู่ในฐานะที่คานกันและถ่วงดุลกัน และมีศาล เป็นอิสระโดยสิ้นเชิง จึงจะทำให้เกิดดุลยภาพและยังผลให้เกิดเสถียรภาพของระบบรัฐสภา ถ้าหลักการเหล่านี้ถูกทำลายลง ก็จะเป็นการทำลายเสถียรภาพของระบบรัฐสภา”
โฆษณา