1 พ.ค. 2020 เวลา 03:20 • ไลฟ์สไตล์
หนังสือ : ชีวิตดีขึ้นทุกๆด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว
ผู้เขียน : Marie Kondo (คนโด มาริเอะ)
ความยาว : 256 หน้า
ราคา : 180 บาท
ชีวิตดีขึ้นทุกๆด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว - ปกหน้า
ชีวิตดีขึ้นทุกๆด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว - ปกหลัง
“ฉันเชื่อว่าการครอบครองแต่สิ่งที่ตัวเองรักและสิ่งที่จำเป็น คือสภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุดของคนเรา การจัดบ้านให้เป็นระเบียบจะช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตในสภาพที่เป็นธรรมชาติสำหรับตัวเอง” คนโด มาริเอะ (ผู้เขียน)
เมื่อ “บ้าน” ไม่ได้เป็นแค่ที่ซุกหัวนอนสำหรับทุกๆคน แต่คำว่าบ้าน ยังมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น บ้านเป็นสถานที่แห่งการเกิดและการดับสูญ เป็นทั้งที่หลบภัย และเป็นอะไรที่สำคัญมากๆในชีวิต
นอกจากการเลือกซื้อและออกแบบบ้านให้เหมาะกับ lifestyle ผู้อยู่อาศัยแล้ว สิ่งที่สำคัญมากๆที่หลายคนอาจมองข้ามไป นั่นก็คือ “การจัดบ้านให้น่าอยู่และเหมาะกับตนเอง” ถึงกระนั้นหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้หมายรวมถึงการตกแต่งบ้านให้สวยงามแต่อย่างใด
อีกทั้งผู้เขียนเองที่เรียกตัวเองว่า “นักจัดบ้าน” ก็ไม่ได้มองข้าวของภายในบ้านเป็นแค่ของตกแต่ง หรือเครื่องอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่กลับให้ความสำคัญกับ “พลังบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้จากข้าวของเครื่องใช้ทุกๆชิ้น ภายในบ้าน”
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่หนังสือ How to ธรรมดาเลยจริมๆ หากแต่เป็นหนังสือที่ทรงพลังสำหรับตัวกระผมมากๆเลยขอรับ
ผู้เขียนเองก็มีหลักจิตวิทยาที่ใช้ได้ผล ที่ได้นำมาประยุกต์ใช้กับแนวทางการจัดบ้านของเธอเอง รวมถึงมีการกล่าวเชื่อมโยงถึงหลักการทางฮวงจุ้ยที่สอดคล้องกันกับการจัดบ้านแบบเล็กๆน้อยๆอีกด้วย
เริ่มต้นด้วยการทิ้ง
สิ่งสำคัญของการเริ่มจัดบ้าน คือการตัดใจ “ทิ้ง” สิ่งเดิมที่มีอยู่นั่นเอง สิ่งของแต่ละอย่างนั้น ผู้เขียนได้กล่าวถึงมันราวกับว่ามันมีชีวิตจิตใจขึ้นมาจริงๆ และตัวมันเองก็มีหน้าที่หรือจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งให้สิ่งนี้ได้เกิดมาเพื่อให้เราได้ใช้งานมันในช่วงเวลาหนึ่ง
ดังนั้นเราจึง “ทิ้ง” เมื่อของสิ่งนั้นได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว เพราะตัวเองก็หมดจุดประสงค์ที่จะใช้งานของสิ่งนั้นแล้วจริงๆ
นับว่าผู้เขียนมีประสบการณ์อย่างมาก และแนะนำได้ตรงจุดสุดๆ
เพราะปัญหาของคนทั่วไปที่บ้านรกก็คงเป็นเพราะสิ่งนี้ . . .
“การตัดใจทิ้ง”
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ หรือแม้แต่เรื่องราวเบื้องหลังของการได้ของสิ่งนั้นมา
ซึ่งเรื่องราวที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความประทับใจ การระลึกถึงผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกสุข อาวรณ์ หรือเสียดาย ซึ่งทั้งหมดนี้จัดว่าเป็นเรื่องนามธรรมทั้งสิ้น
การทิ้งข้าวของมีรูปแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งเมื่อสิ่งนั้นใช้การไม่ได้แล้ว อาจพังจนซ่อมไม่ได้แล้ว หรือทิ้งเมื่อเป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปแล้ว เช่น เสื้อผ้า
สรุปว่า “ถ้ามีเหตุผลที่ชัดเจน การทิ้งจะเป็นเรื่องง่าย” แต่ในทางกลับกันถ้าเราไม่มีเหตุผลที่แน่ชัด หรือว่ายังสับสนอยู่ว่าจะทิ้งดีไหม การทิ้งก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยาก ทั้งนี้ก็จะตัดใจทิ้งไม่ลงไปโดยปริยาย
“การทิ้ง” ที่แปรผันตาม ความเชื่อมโยงระหว่างตัวเรากับสิ่งของ หรือแม้กระทั่ง...กับใครบางคน
หากมีของชิ้นใดที่ตัดใจทิ้งไม่ลง ให้ลองไตร่ตรองถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของมันที่มีต่อชีวิตคุณ แล้วคุณจะแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองได้ครอบครองข้าวของที่ทำหน้าที่ของมันเสร็จสมบูรณ์แล้วไว้มากมายแค่ไหน
การมองให้เห็นว่าข้าวของชิ้นใดปฏิบัติภาระกิจเสร็จสิ้นแล้ว และปล่อยมันไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ จะช่วยให้คุณจัดระเบียบสิ่งของที่มีอยู่ รวมถึงชีวิตคุณ ได้ดีขึ้น และท้ายที่สุดก็จะเหลือแต่ข้าวของที่มีความสำคัญต่อคุณอย่างแท้จริง
จะว่าไปแล้ว วัตถุสิ่งของแต่ละชิ้นล้วนมีบทบาทแตกต่างกันไป ใช่ว่าเสื้อผ้าทุกชุดที่เราได้มาจะต้องถูกใส่จนเก่าทรุดโทรม ...มนุษย์เราก็เช่นกัน ใช่ว่าทุกคนที่เราพบเจอในชีวิตจะกลายเป็นเพื่อนสนิทหรือคนรักของเรา
บางคนก็เข้ากับเราไม่ได้ หรือมีนิสัยแย่จนทำให้เราทำใจรับไม่ลง แต่คนเหล่านี้ต่างก็มอบบทเรียนอันล้ำค่า และสอนให้รู้ว่าเราชอบคนแบบไหน ส่งผลให้เราเห็นคุณค่าของคนพิเศษในชีวิตมากยิ่งขึ้น
หากเพื่อนๆต้องการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าไปกับสิ่งของที่มีความหมายต่อชีวิตของเพื่อนๆอย่างแท้จริง เพื่อนๆก็ต้องเริ่มจากการทิ้งข้าวของที่ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้วไปเสียก่อน
“คุณกล้าพูดไหมว่า ข้าวของที่ถูกหมกไว้ในลิ้นชักหรือซอกหลืบของตู้เสียนานจนคุณลืมไปว่าสิ่งนั้นเป็นของรักของคุณ”
หรือคุณลืมไปแล้ว...แม้กระทั่งว่ามัน “เคยเป็น” สิ่งที่คุณรักมาก ถ้าสิ่งๆนั้นมีจิตใจ มันคงเสียใจมากแน่ๆ
พออ่านมาถึงตอนนี้ มีเพลงนึงดังขึ้นมาในหัวกระผมเลยขอรับ T T
นั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่คุณต้องปลอบประโลมสิ่งที่คุณแค่ “เคย” รัก แล้วทิ้งมันไปด้วยความขอบคุณอย่างจริงใจ แล้วใช้ชีวิตตั้งแต่นี้ต่อไปกับของที่คุณรักมันจริงๆในตอนนี้
เช่น ทิ้งเสื้อผ้าที่ดูดีแต่ไม่เหมาะกับคุณ หรือพอใส่แล้วครั้งสองครั้งก็ไม่ได้กลับมาใส่อีก แล้วหันมามองตัวเองในแง่บวก (เช่น มองว่าเพื่อนๆดูดีซะจนใส่อะไรก็ดูดี) แล้วเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เพื่อนๆชอบจริงๆจากหัวใจ
ส่วนประโยคที่ตัวกระผมนั้นชอบมากที่สุดในหนังสือเล่มนี้นั่นก็คือ ถ้าลองขุดให้ลึกลงไป เหตุผลที่แท้จริง(ของการตัดสินใจทิ้ง) จะเหลืออยู่แค่ 2 ข้อเท่านั้น คือ
"การยึดติดอยู่กับอดีต และความกังวลเกี่ยวกับอนาคต” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าสำหรับตัวกระผมนั้น เป็นความจริงที่ตัวกระผมได้มองข้ามไปมาตลอดทั้งชีวิตเลยขอรับ
จัดเก็บข้าวของเพื่อชีวิตที่เปล่งประกาย
วิธีที่ดีที่สุดคือ “จัดตามหมวดหมู่” โดยเก็บข้าวของที่อยู่ในหมวดเดียวกันมาไว้ด้วยกัน และข้อต้องห้ามที่สำคัญมากๆเลยก็คือ
“อย่ามีพื้นที่เก็บของที่กระจัดกระจายไปทั่วบ้าน”
ซึ่งนั่นจะทำให้เพื่อนๆติดกับดักตัวเองเข้าได้ โดยการเก็บของอย่างเดียวกันไว้ต่างที่ หรือลืมไปแล้วว่าเคยมีแต่ก็ยังซื้อใหม่ และหาที่เก็บที่ใหม่วนไปเรื่อยๆ
ลองพิจารณาดูนะขอรับ “การถามว่าอยากเป็นเจ้าของสิ่งใด” หรือ “ตนเองนั้นอยากมีอะไรไว้ในครอบครอง” ทั้งสองคำถามที่คล้ายกันนี้จะเป็นตัวพิสูจน์ว่า “เพื่อนๆอยากใช้ชีวิตอย่างไร?”
ความเชื่อมโยงของการจัดบ้านกับแนวคิดแห่งการเปลี่ยนวิธีคิด
ตัวกระผมได้อ่านมาจนถึงหัวข้อ “การทิ้งของที่มีคุณค่าทางจิตใจ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวว่า “ทิ้งได้ยากที่สุด”
เพราะการมีอยู่ของสิ่งๆนั้น มันช่วยให้เรานึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้รับจากของชิ้นนั้น เมื่อคิดว่าจะต้องทิ้งมันด้วยตัวเอง ก็กลายเป็นว่าตัดใจทิ้งไม่ลงขึ้นมาทันที
ความกลัวว่า...ความทรงจำอันแสนมีค่าที่ถาโถมเข้ามาในขณะนั้นจะหายไปในชั่วพริบตาทันทีที่เราทิ้งมันไป ตอนที่เรากำลังจะ“ตัดใจทิ้งดีไหมนะ” เป็นอะไรที่หน่วงสุดๆเลยขอรับ
แต่ผู้เขียนกลับให้การเตือนสติเราที่ดีมากๆอยู่ประโยคหนึ่ง นั่นก็คือ “ความทรงจำที่มีค่าจริงๆย่อมไม่มีวันจางหาย แม้ว่าเราจะทิ้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำเหล่านั้นไว้ก็ตาม” และ“ ไม่ว่าเรื่องราวตอนนั้นจะยอดเยี่ยมสักแค่ไหน เราก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับอดีตได้ ”
แล้วหลังจากนั้นให้ตั้งคำถามว่า สิ่งของชิ้นดังกล่าวยังคงปลุกเร้าความสุขในใจของเราในตอนนี้อยู่ไหม? และถ้าได้คำตอบแล้วก็สามารถตัดสินใจทิ้งอย่างขอบคุณ หรือเก็บมันไว้เพื่อให้มันทำหน้าที่ของมันต่อไปก็ได้
จนกระทั่ง เพื่อนๆจะได้พบว่า จริงๆแล้วการจัดบ้านก็คือ
“การเริ่มสร้างนิสัยแห่งการตัดสินใจ”
โดยการเพิ่มความมั่นใจภายในขึ้นมาอย่างแท้จริง นับเป็นผลลัพธ์ทางจิตวิทยาที่ดีอีกอย่างหนึ่งเลยนะขอรับ ต้องลองหาอ่านดูแล้วลงมือปฏิบัติจริง
เพื่อนๆจะสังเกตเห็นสภาวะของความคิดที่ถูกบ่มเพาะทีละเล็ก ทีละน้อยในการจัดข้าวของแต่ละครั้งเลยทีเดียวขอรับกระผม
การลดจำนวนสิ่งของด้วยการเลือกเก็บแต่ของที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง
การลดจำนวนข้าวของลงให้อยู่ในระดับที่เพื่อนๆสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง
คือการพลิกฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวเพื่อนๆเองกับสิ่งของพวกนั้น
กระบวนการคัดเลือกข้าวของที่จะเก็บเอาไว้ แล้วตั้งสถานะให้กับสิ่งเหล่านั้นว่า “เป็นของที่จะให้ความสุขกับเพื่อนๆอย่างแท้จริงตั้งแต่ตอนนี้ และต่อๆไป” จะเป็นอะไรที่เปี่ยมสุขในใจอย่างบอกไม่ถูกแน่นอนขอรับ เพราะในขณะนั้น เพื่อนๆรู้แล้วว่า “อะไรคือสิ่งที่เพื่อนๆต้องการอย่างแท้จริง” นั่นเอง
จุดนี้หากคิดดีๆแล้ว เราก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการ “คัดคน” ที่เข้ามาในชีวิตเราได้เช่นกัน
คนที่มีนิสัยแบบที่เราเข้ากับเขาไม่ได้จริงๆ หรือความสัมพันธ์ที่ทำให้เป็นทุกข์เรื้อรังมานาน ลองพิจารณาดูสิขอรับ ว่าจะมีทางไหนบ้างที่เราจะสามารถ “คัดเลือกคนที่เราต้องการจริงๆ” ให้มาอยู่ในชีวิตของเรา
หรืออย่างน้อยก็แค่ตัดคนแบบที่เราไม่ต้องการในชีวิตออกไป ถึงอย่างนั้น “การทิ้งคน มันไม่เหมือนกับการทิ้งสิ่งของ” เพราะการเลือกที่จะออกมาจากความสัมพันธ์แบบหนึ่ง หรือสังคมหนึ่ง เป็นเรื่องที่ตัดใจยาก
แต่ท้ายที่สุด การที่ได้มีคนที่เพื่อนๆต้องการอย่างแท้จริง มาอยู่รอบๆตัวเต็มไปหมด นั่นเป็นผลลัพธ์ที่ดีของการ “คัดคน” ที่เข้ามาในชีวิตที่เรา ซึ่งได้นำมาประยุกต์ใช้จาก “เทคนิคของการจัดบ้าน” ดังกล่าวในหนังสือเล่มนี้
ทั้งนี้ ยังมีหลักทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ และวิธีการเล่าเรื่องพร้อมยกตัวอย่างที่เรียกได้ว่า เป็นเรื่องราวที่ใกล้ตัวเรามากๆให้ได้อ่าน
เนื้อหาส่วนใหญ่สามารถนำไปใช้ได้ ถึงแม้ว่าคนไทยกับคนญี่ปุ่นจะมีแนวคิดเรื่องการจัดบ้านที่จริงจังกันคนละระดับ และมีขนาดของพื้นที่ใช้สอยในบ้านที่แตกต่างกัน แต่เนื้อหาแทบทั้งหมด ก็เป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์จริงๆขอรับ
ตัวข้าน้อยแนะนำให้หาซื้อมาอ่านกันจากใจจริงเลยขอรับ ^ ^
Rating
ความคุ้มค่า (เนื้อหา V/S ราคา) 🌕🌕🌕🌕🌑
การนำไปใช้ประโยชน์ 🌕🌕🌕🌕🌕
ภาพรวมเนื้อหา 🌕🌕🌕🌕🌑
อ่านสบายตา 🌕🌕🌕🌕🌑
อ่านสนุก 🌕🌕🌕🌑🌑
(อาจจะดูน่าเบื่อบ้างนิดหน่อยสำหรับผู้ชาย หรือสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือแนวนี้ ซึ่งถ้าอ่านเฉพาะตรงที่เป็นข้อความตัวหนาก็พออ่านรู้เรื่องและจับประเด็นเพื่อนำไปใช้ได้นะขอรับ)
ขอบพระคุณที่สละเวลาอ่านนะขอรับ
โฆษณา