1 พ.ค. 2020 เวลา 07:45
ช่วงปลายปีที่แล้ว ผมได้รับมอบหมายภารกิจจาก ททท. ให้ออกสำรวจหาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติใหม่ๆ ในภาคใต้ และในภารกิจนี้ก็ได้เจอสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจจนอยากเอามาบอกเล่า
 
จริงๆ แล้วธรรมชาตินั้นไม่มีสิ่งใหม่ๆ หรอก แทบทุกอย่างเกิดขึ้นและอยู่กับโลกของเรามานานแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราค้นมันเจอหรือไม่ และเรามองสิ่งเหล่านั้นในมุมอย่างไร สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่ไม่เคยถูกมนุษย์ค้นพบมาก่อนก็แทบไม่มี เพราะมนุษย์เรานั้นมีความสามารถในการบุกเบิกค่อนข้างสูง
 
ถ้ำคลังก็เช่นกัน ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ แต่ก็ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักในวงกว้างมากนัก ถ้าฟังชื่อครั้งแรกคงเดาว่าเป็นถ้ำที่มีใครซักคนเอาสมบัติมีค่ามาเก็บซ่อน แต่เมื่อได้ฟังจากคำบอกเล่าของชาวบ้านอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ก็ได้ความว่าชื่อนี้มาจาก ‘ปลากลั้ง’ ที่เคยเจออยู่ในถ้ำนี้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ‘ถ้ำกลั้ง’ และภายหลังมีการบันทึกชื่อสถานที่นี้เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Tham Klang’ และตั้งแต่นั้น ชื่อภาษาไทยก็เพี้ยนวรรณยุกต์กลายเป็นชื่อปัจจุบันนี้
 
เมื่อมีปลา ก็แสดงว่ามีลำธารอยู่ในถ้ำ.. ถ้ำคลังจึงดูน่าสนใจขึ้นมาทันที แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะกระบวนการเกิดถ้ำแทบทั้งหลายนั้นมาจากน้ำทั้งสิ้น
ถ้ำส่วนใหญ่เกิดในภูเขาหินปูน และในภูเขาหินปูนมักมีทางน้ำใต้ดิน เพราะหินปูนกับน้ำนั้นก็เป็นเหมือนทั้งมิตรและปรปักษ์ซึ่งกันและกัน น้ำมีคุณสมบัติในการละลายธาตุแคลเซียมคาร์บอเนตอย่างหินปูน น้ำฝนที่หล่นบนภูเขาจึงพากันแทรกซึมไปตามซอกเล็กซอกน้อยในภูเขา มารวมเข้าด้วยกันเป็นโพรงใหญ่ ทางน้ำไหลไปทางไหน นานวันเข้าก็เซาะร่องเล็กๆ จนกลายเป็นทางน้ำขนาดใหญ่ ถ้ำบางแห่งยังมีลำธารในถ้ำให้เห็น และถึงแม้บางถ้ำจะไม่มีทางน้ำให้เห็นแล้วก็ตาม แต่โพรงถ้ำทุกแห่งนั้นล้วนเคยเป็นลำธารในถ้ำมาก่อนทั้งสิ้น
 
ทุกวันนี้ชุมชนท่องเที่ยวอำเภออ่าวลึกทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการท่องเที่ยวที่ถ้ำคลัง และเป็นคนนำทางเข้าถ้ำทุกครั้ง เพราะถ้ำคลังเป็นถ้ำมืดสนิทและซับซ้อน เมื่อก่อนนี้เคยมีการติดไฟให้แสงสว่างในถ้ำ แต่นานวันเข้าชาวบ้านก็ได้เข้าใจแล้วว่าการติดหลอดไฟบางชนิดนั้นสร้างความร้อน และความร้อนก็มีส่วนในการทำลายหินงอกหินย้อย ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันรื้อถอนระบบให้แสงสว่างแล้วปล่อยให้ถ้ำคลังมีสภาพเดิมๆ และสร้างกฏเกณฑ์ในการเข้าชมถ้ำหลายๆ อย่าง รวมทั้งการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมไม่ให้เกิน 8 คนต่อกลุ่ม และวันละไม่เกิน 60 คนเท่านั้น
 
ถ้ำคลังมีสองถ้ำ อีกถ้ำหนึ่งที่เราไม่ได้เข้าไปคือถ้ำที่ต้องดำน้ำแบบสคูบ้าโดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง กับอีกถ้ำหนึ่งที่คนทั่วๆ ไปก็เที่ยวได้สบาย แม้จะจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย แต่คนทั่วไปก็ใช้เวลาเดินชมราวๆ 3-4 ชั่วโมง ไม่ต้องไปให้สุดทางก็ได้เห็นสิ่งที่ควรเห็นครบถ้วน ทั้งม่านหินงอกหินย้อย น้ำตกหิน ทำนบถ้ำ(ที่นี่ตั้งชื่อว่ากำแพงเมืองจีน) และไข่มุกถ้ำ
 
ผมสนใจถ้ำแรกนี้เป็นพิเศษตรงที่ชาวบ้านเล่าว่ามีสระน้ำสองแห่งอยู่ในถ้ำ และผมอยากถ่ายภาพสระน้ำสองแห่งนี้ให้สวยเหมือนที่คิดเอาไว้ เพราะขึ้นชื่อว่าสระน้ำในถ้ำแล้วย่อมต้องใสสะอาด เพราะน้ำที่มีแร่ธาตุแคลเซียมคาร์บอเนตจะมีคุณสมบัติในการตกตะกอนอย่างดี ดังนั้นก่อนเดินผมจึงจัดเตรียมอุปกรณ์ให้แสงสว่างมาเต็มอัตรา ทั้งไฟ LED สำหรับถ่ายภาพสองดวง และที่สำคัญที่สุดคือไฟฉายใต้น้ำซึ่งปกติแล้วผมเอาไว้ใช้ถ่ายวีดีโอใต้น้ำ แต่น่าจะเอามาใช้ในภารกิจนี้ได้ดี
ถ้ำคลังเป็นถ้ำที่มีสภาพทางธรณีวิทยาถ้ำที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งหินงอกหินย้อย ทำนบถ้ำ(ภาพที่ 3) ไข่มุกถ้ำ และยังมีสระน้ำมรกตที่เป็นจุดเด่นของถ้ำ เป็นถ้ำที่สามารถเที่ยวได้สะดวกสบาย แม้จะจัดได้ว่าเป็นถ้ำที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย แต่ก็สามารถใช้เวลาเดินเที่ยวชมประมาณ 3-4 ชั่วโมง โดยมีผู้นำทางของชุมชนท่องเที่ยวถ้ำคลัง
ถ้ำส่วนใหญ่เกิดในภูเขาหินปูน และในภูเขาหินปูนมักมีทางน้ำใต้ดิน เพราะหินปูนกับน้ำนั้นก็เป็นเหมือนทั้งมิตรและปรปักษ์ซึ่งกันและกัน น้ำมีคุณสมบัติในการละลายธาตุแคลเซียมคาร์บอเนตอย่างหินปูน น้ำฝนที่หล่นบนภูเขาจึงพากันแทรกซึมไปตามซอกเล็กซอกน้อยในภูเขา มารวมเข้าด้วยกันเป็นโพรงใหญ่ ทางน้ำไหลไปทางไหน นานวันเข้าก็เซาะร่องเล็กๆ จนกลายเป็นทางน้ำขนาดใหญ่ ถ้ำบางแห่งยังมีลำธารในถ้ำให้เห็น และถึงแม้บางถ้ำจะไม่มีทางน้ำให้เห็นแล้วก็ตาม แต่โพรงถ้ำทุกแห่งนั้นล้วนเคยเป็นลำธารในถ้ำมาก่อนทั้งสิ้น
 
ทุกวันนี้ชุมชนท่องเที่ยวอำเภออ่าวลึกทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการท่องเที่ยวที่ถ้ำคลัง และเป็นคนนำทางเข้าถ้ำทุกครั้ง เพราะถ้ำคลังเป็นถ้ำมืดสนิทและซับซ้อน เมื่อก่อนนี้เคยมีการติดไฟให้แสงสว่างในถ้ำ แต่นานวันเข้าชาวบ้านก็ได้เข้าใจแล้วว่าการติดหลอดไฟบางชนิดนั้นสร้างความร้อน และความร้อนก็มีส่วนในการทำลายหินงอกหินย้อย ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันรื้อถอนระบบให้แสงสว่างแล้วปล่อยให้ถ้ำคลังมีสภาพเดิมๆ และสร้างกฏเกณฑ์ในการเข้าชมถ้ำหลายๆ อย่าง รวมทั้งการจำกัดจำนวนผู้เข้าชมไม่ให้เกิน 8 คนต่อกลุ่ม และวันละไม่เกิน 60 คนเท่านั้น
 
ถ้ำคลังมีสองถ้ำ อีกถ้ำหนึ่งที่เราไม่ได้เข้าไปคือถ้ำที่ต้องดำน้ำแบบสคูบ้าโดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง กับอีกถ้ำหนึ่งที่คนทั่วๆ ไปก็เที่ยวได้สบาย แม้จะจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่ยาวที่สุดในประเทศไทย แต่คนทั่วไปก็ใช้เวลาเดินชมราวๆ 3-4 ชั่วโมง ไม่ต้องไปให้สุดทางก็ได้เห็นสิ่งที่ควรเห็นครบถ้วน ทั้งม่านหินงอกหินย้อย น้ำตกหิน ทำนบถ้ำ(ที่นี่ตั้งชื่อว่ากำแพงเมืองจีน) และไข่มุกถ้ำ
 
ผมสนใจถ้ำแรกนี้เป็นพิเศษตรงที่ชาวบ้านเล่าว่ามีสระน้ำสองแห่งอยู่ในถ้ำ และผมอยากถ่ายภาพสระน้ำสองแห่งนี้ให้สวยเหมือนที่คิดเอาไว้ เพราะขึ้นชื่อว่าสระน้ำในถ้ำแล้วย่อมต้องใสสะอาด เพราะน้ำที่มีแร่ธาตุแคลเซียมคาร์บอเนตจะมีคุณสมบัติในการตกตะกอนอย่างดี ดังนั้นก่อนเดินผมจึงจัดเตรียมอุปกรณ์ให้แสงสว่างมาเต็มอัตรา ทั้งไฟ LED สำหรับถ่ายภาพสองดวง และที่สำคัญที่สุดคือไฟฉายใต้น้ำซึ่งปกติแล้วผมเอาไว้ใช้ถ่ายวีดีโอใต้น้ำ แต่น่าจะเอามาใช้ในภารกิจนี้ได้ดี
สระน้ำมรกตในถ้ำคลังมี 2 แห่ง หนึ่งในนั้นคือสระที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำ ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นสระน้ำขนาดเล็กที่มีเสาหินขวางกลางสระอยู่มากมาย ​ ภาพนี้มีการใช้ไฟส่องสว่างในการจัดแสง แต่ไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษในการถ่ายทำ ผู้ที่ไปเที่ยวชมก็สามารถเห็นภาพที่สวยงามตระการตาเช่นนี้ได้เช่นกัน
เราใช้เวลาเดินกันประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ถึงสระน้ำมรกต ซึ่งเป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่ อยู่ในคูหาเล็กๆ ประมาณด้วยสายตาคงเทียบเท่าห้องนอนขนาดกลางๆ หนึ่งห้อง ตอนที่มาถึง ผมได้ยินเสียงน้ำหยดดังจ๋อมๆ ช้าๆ ซึ่งเสียงนี้บอกชัดเจนว่าหินงอกและหินย้อยในถ้ำนี้ยังไม่ตาย น้ำที่ซึมจากรอยแตกมากมายบนภูเขายังหยดลงมาพอกพูนหินย้อยให้งอกงามตลอดเวลา
 
เราช่วยกันจัดวางแสงไฟตามมุมต่างๆ ของถ้ำ สิ่งนี้คือส่ิงสำคัญมาก เพราะโถงถ้ำก็เหมือนห้องหับในบ้าน แม้จะถูกสร้างมาอย่างสวยแค่ไหน แต่การจัดแสงที่เหมาะสมจะทำให้ห้องหับเหล่านี้มีความน่าอยู่มากขึ้น
 
ไฟดวงที่สำคัญที่สุดคือไฟใต้น้ำ ผมวางไฟลงในพื้นน้ำทีละดวงแล้วกดสวิทซ์เปิด แล้วเสียงร้องโหฮาก็ดังขึ้น.. เสียงนั้นคือเสียงของผู้นำทางของเรานี่แหละ คนที่เคยมาที่นี่ทุกวัน แต่เค้าบอกว่าไม่เคยเห็นถ้ำหน้าบ้านตัวเองสวยเท่านี้มาก่อน
 
น้ำใสๆ ในสระเล็กๆ เมื่อต้องแสงไฟก็กลายเป็นสีเขียวมรกต ยิ่งเมื่อสะท้อนผ่านผิวน้ำไหวๆ เบาๆ ที่เกิดจากหยดน้ำจากหินย้อย แสงพรายพลิ้วที่สะท้อนไปกระทบผนังถ้ำก็ยิ่งดูวิจิตรพิศดารเข้าไปใหญ่
 
กลางสระน้ำเล็กๆ นี้มีเสาหินต้นใหญ่ปักอยู่ ดูด้วยตาคงเดาได้ว่ามันเกิดจากหินย้อยที่ย้อยลงมาบรรจบกับหินงอกในน้ำ ทำให้สระน้ำเล็กๆ นี้ดูลึกลับ เป็นห้องหับอันรโหฐานที่น่าลงไปแหวกว่ายเหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะชุมชนได้กำหนดข้อตกลงกันแล้วว่าจะไม่อนุญาติให้ใครลงไปในสระน้ำมรกต เพื่อรักษาสภาพเอาไว้ให้คงเดิมที่สุด
 
เราเดินกลับออกมาที่โถงถ้ำแรกเพื่อถ่ายภาพสระน้ำมรกตอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสระนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก และจุดที่เราถ่ายภาพนั้นอยู่สูง และอยู่ไกลกว่าตัวสระน้ำมากๆ มากจนคิดว่าไม่มีไฟดวงไหนจะให้แสงสว่างได้ไกลขนาดนั้น จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือคนนำทางให้ลงไปช่วยวางไฟตามตำแหน่งต่างๆ
 
ถ้าไม่มีความมืดมิดแล้ว เราจะไม่เข้าใจความสวยงามของแสงสว่าง
 
ขณะเรากำลังจัดไฟ โลกทั้งโลกใต้พิภพนั้นอยู่ภายใต้ความมืด แต่เมื่อไฟดวงใหญ่ทั้งสองดวงถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง มันดูเหมือนเรากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งชั้น Box Seat ของโรงอุปรากรแล้วเห็นไฟส่องสว่างบนเวทีช้าๆ เผยให้เห็นสระน้ำที่สวยงามอย่างกับฉากสระนางนโนราห์บนสวรรค์ และฉากหลังที่มีหินย้อยสวยงามเหมือนม่านภูษาอันพริ้วไหว
 
ตอนนั้นหัวใจผมเต้นแรง ไม่ใช่เพียงเพราะภาพตรงนั้นมันสวยมาก แต่เพราะแบตเตอรี่ของไฟทั้งสี่ดวงกำลังจะหมดลง และผมกลัวว่าจะไม่ได้ภาพนั้นกลับมา
สระน้ำมรกตอีกแห่งหนึ่งอยู่ในโถงแห่งแรกของถ้ำ และมีขนาดใหญ่กว่า ดูคล้ายโรงละครที่มีฉากหลังเป็นม่านระย้า ประดับประดาอย่างสวยงาม
โฆษณา