Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
3Bullets
•
ติดตาม
1 พ.ค. 2020 เวลา 14:37
[Ep.21 - 3Bullets Daily - 1 May 2020]
“SMART vs Stretch goal” - การตั้งเป้าหมายที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร?
● “SMART”
Specific/Measurable/Achievable/ Realistic/Timely
หลายๆคนน่าจะเคยได้ยิน หรือเคยเรียนรู้วิธีการตั้งเป้าหมายสุดคลาสสิคแบบนี้กันมาแล้ว
การตั้งเป้าหมายแบบนี้ เป็นวิธีที่ดีมากในการเปลี่ยนเป้าหมายลอยๆ ให้กลายเป็นเป้าหมายที่ไปถึงได้จริง
ซ้ำยังช่วยให้เราเห็นศักยภาพของตัวเองมากขึ้นอีกด้วย
เพราะเมื่อเราจะสามารถแตกเป้าหมายออกตาม SMART ได้ ก็ต่อเมื่อเราเห็นขั้นตอน และวิธีการที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายนั้นได้จริง
กระบวนการในการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และมองเห็นว่าสามารถทำสำเร็จได้จริง มันทำให้เราได้คิดวิธีในแต่ละขั้นตอนเพื่อไปสู่เป้าหมาย
รวมถึงการมีวิธีวัดผล และระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ทำให้เราต้องคอยวัดสิ่งที่ทำเทียบกับเป้าหมาย ว่าเราได้ขยับเข้าใกล้ความสำเร็จริงๆ
แต่ “จุดอ่อน” ของ SMART goal ก็คือ เราไม่ได้หยุดคิดก่อนว่านี่ใช่เป้าหมายที่เราอยากได้ หรือมันเชื่อมโยงกับเป้าหมายสำคัญ หรือภาพใหญ่ในชีวิตของเราหรือไม่
บางครั้งอาจทำให้เราติดอยู่กับกับดักในการเอาชนะเป้าหมายในระยะสั้นที่วัดผลได้จริง จนลืมเป้าหมายระยะยาวที่คลุมเครือกว่าไปได้
● “Stretch”
เราจึงต้องเรียนรู้วิธีการสร้างเป้าหมายอีกรูปแบบนึงด้วย ซึ่งก็คือการตั้งเป้าหมายแบบ Stretch หรือการตั้งเป้าหมายที่ยากจนเราไม่มั่นใจว่าจะไปถึงได้
การตั้งเป้าหมายแบบนี้จะสามารถทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และการคิดนอกกรอบที่อาจจะเพิ่มผลผลิตอย่างมหาศาล แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ใน Google เองเรียกวิธีนี้ว่า “10X” หรือการสร้างนวัตกรรมที่สร้างการเติบโตในกับบริษัท 10 เท่า หรือ 1,000%
แต่อย่างไรก็ตามการตั้งเป้าหมายแบบนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก
ความเสี่ยงที่ว่าก็คือเป้าหมายในลักษณะนี้มักจะไม่ชัดเจน และดูจะเป็นไปได้ยาก ทำให้ผู้ที่ต้องหาทางไปสู่เป้าหมายนั้น ถอดใจ
เพราะความแตกต่างระหว่างเป้าหมายที่สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้เราไขว่คว้า กับเป้าหมายที่บ้าบอเกินไปจนเรารู้สึกว่ามันไม่มีทางเลยที่จะเป็นไปได้
มันต่างกันนิดเดียว
● “SMART x Stretch”
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการตั้งเป้าหมายของเราก็คือการพาสองวิธีนี้มาเจอกัน
Stretch จะต้องร่วมมือกับ SMART เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
โดยจะมี 6 ขั้นตอนดังนี้
1. Stretch goal ของคุณคืออะไร? เช่น การวิ่งมาราธอน สำหรับบางคนแค่จินตนการว่าตัวเองได้วิ่งจบครบตามระยะของมาราธอน ยังเป็นไปได้ยาก ถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมากๆ
2. Specific sub-goal ของคุณละ? - วิ่งให้ได้ 10KM โดยไม่หยุด ในเวลา 3 เดือน จึงเป็นเป้าหมายระยะสั้นลงที่จะพาไปสู่เป้าหมายใหญ่ โดยดูมีความเป็นไปได้ และไม่น่ากลัวจนเกินไป
3. Measure - คุณจะวัดผลมันยังไง? - ถ้าวิ่งได้รอบสวนลุม 4 รอบ โดยไม่เดินถือว่าผ่าน
4. Achievable - เป็นไปได้มั้ย? - เป็นไปได้ ถ้าเราวิ่งได้สัก 3 วันต่อสัปดาห์ ร่างกายเราก็น่าจะพัฒนาจนวิ่ง 10KM หรือสวนลุม 4 รอบได้
5. Realistic - มันทำได้จริงหรือไม่? - ทำได้จริง เพียงต้องไปวิ่งทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ซึ่งเราจัดเวลาไปทำได้ไม่ยากนัก
6. Timeline - แล้วคุณจะวิ่งได้ 10KM ภายในเมื่อไหร่? - 3 เดือน เดือนแรกจะวิ่งให้ได้ 2 รอบสวนลุม เดือนที่ 2 จะวิ่งให้ได้ 3 รอบ และเดือนที่ 3 ก็จะวิ่งได้ 4 รอบ
นี่เป็นตัวอย่างวิธีการตั้งเป้าหมายแบบง่ายๆ ที่จะรวมสองการตั้งเป้าหมายเข้าด้วยกัน
สิ่งสำคัญก็คือ “Proximal goals” หรือเป้าหมายที่จะเชื่อมเราไปสู่เป้าหมายสุดท้าย
การแบ่งเป้าหมายที่ใหญ่จนเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เช่น การวิ่งมาราธอน ให้เป็นเป้าหมายที่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้นก่อน
แล้วค่อยๆสร้างหนทางไปสู่เป้าหมายใหญ่ จะช่วยทำให้เรามีกำลังใจ และมีทิศทางที่ถูกต้องในการดำเนินงาน
และสุดท้ายเป้าหมายที่เหมือนไกลจนมองไม่เห็น ก็จะขยับเข้าใกล้เรามากขึ้นทีละนิด จนมันเป็นเป้าหมายที่สามารถขว้าเอาไว้ได้
.
.
.
3 bullets a day, get you smarter everyday.
#3Bullets
ขอขอบคุณ หนังสือ Smarter Faster Better เขียนโดย Charles Duhigg
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย