3 พ.ค. 2020 เวลา 15:14
หลักฐานของความขี้ขลาด
ขลาดเขลา นับเป็นหนึ่งในคำที่ถูกใช้แบ่งแยกผู้คนออกจากกันมาหลายทศวรรษ ในยุควรรณกรรมต่างๆมักจะพบผู้คนที่มีความขลาดเขลาปรากฏขึ้นอยู่เสมอๆ สิ่งที่คนเหล่านี้มีบทบาทในแต่ละยุคสมัยนั้นมีจุดที่คล้ายคลึงกันหลายส่วน หนึ่งในนั้นคือจุดจบที่ไม่ค่อยจะดี และเป็นสัญลักษณ์ของความน่าสมเพช
จริงๆแล้วเรานั้นก็ล้วนแต่มีความขลาดเขลาอยู่ภายในตัว มันฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของเราทุกช่วงเวลา และเราก็มักใช้มันเป็นข้ออ้างสำหรับการกระทำที่น่าสมเพชจริงๆ
ผมเคยพบชายคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่สดใสร่าเริง ทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่คุณเชื่อไหมว่า ทุกครั้งที่หัวหน้าของเขาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเขามักสลดหดหู่ลงไปทุกที
มีครั้งหนึ่งผมเห็นเขากำลังนั่งดูทีวีซีรี่ย์จากต่างประเทศอย่างมีความสุข เบื้องหน้าเต็มไปด้วยของกินมากมาย ดูแล้วมันช่างเป็นการพักผ่อนที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่ามันใช่การพักผ่อน วันนั้นเป็นวันทำงาน และเพื่อนของผมแค่ทำมันที่บ้าน จริงๆแล้วการที่เขาจะว่างและผ่อนคลายไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเขาทำงานในส่วนที่ต้องทำไปหมดสิ้นแล้ว แต่แล้วในขณะเวลานั้น เพื่อนของผมนี้ได้รับข้อความไลน์จากหัวหน้างานของเขา คุณรู้ไหมว่าคำถามที่เขาได้รับคืออะไร?
มันเป็นคำถามง่ายๆที่ว่า “ช่วยตรวจสอบข้อมูลตรงนี้ให้หน่อยครับ ที่ส่งมามันแปลกๆ ไม่เหมือนที่ผมรู้เลย” แต่ปฏิกริยาของเพื่อนผมเปลี่ยนไป เขากระวนกระวาย ดูซีรี่ย์ด้วยความไม่เป็นสุข กลอไปให้จบๆ แววตาของเขาดูเหมือนเต็มไปด้วยความทุกข์ใจสุดแสน
น่าแปลกนะที่การถามคำถามง่ายๆแค่หนึ่งคำถามทำร้ายคนได้มากมายขนาดนี้
เขาเลือกที่จะเพิกเฉย เลือกที่จะหายไป พยายามหาอะไรที่ตัวเองชอบมาทำ แต่สุดท้ายก็ทำแบบหวาดระแวง กว่าจะตอบคำถามหัวหน้าตัวเองก็ต้องให้ถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง
ผมพยายามตั้งคำถาม ตั้งสมมุติฐาน ไม่ชอบงาน? เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้? งานมันยาก?
แต่ทุกเรื่องที่ผมคิดขึ้นมาล้วแล้วแต่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องของปัญหาที่เกิดขึ้น ใช่ ที่ว่ามันเป็นส่วนหนึ่ง แต่โดยทางปฏิบัติแล้วมันเป็น “ผลของรากที่แท้จริง” เสียมากกว่า จริงๆแล้วเพื่อนของผมคนนี้ “แพ้” ให้กับสิ่งที่เรียกว่าความคิดอันโงเขลาของตัวเอง ระยะเวลาที่สะสมมาตลอดการทำงาน มันเปลี่ยนความพ่ายแพ้เหล่านั้นให้กลายเป็น ความขลาดเขลา เป็นบุคคลที่ในพงศาวดารสามก๊กกล่าวหาว่าเป็นพวกชั้นต่ำ
มันเกิดขึ้นเพราะตัวของเพื่อนผมเอง ในตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทำงานด้วยความเบื่อหน่าย และทำงานด้วยความไร้รับผิดชอบจนถึงที่สุด การทำงานมักง่ายเหล่านี้มันได้สร้างค่านิยม สร้างบุคลิคภาพ และหล่อหลอมเป็นความล้มเหลว เพื่อนของผมทำงานออกมาหลายครั้งมักจะถูกตำหนิ งานออกมาไม่ดีเอาเสียเลย
เขาไม่เก็บมันไปพัฒนา ไม่ปรับปรุง ไม่สู้ มีแต่สาบานโง่ๆกับตัวเองว่าจะไม่ให้เป็นแบบนั้นอีก แต่ไร้ซึ่งการกระทำที่แท้จริง
ความคิดในการปรับปรุงตัวของเขามันเป็นเพียงแค่ยุทธวิธีที่ไหลอยู่ในหัวสมอง
เวลาผ่านไป สังคมก็เริ่มเปลี่ยน ความไร้รับผิดชอบของเขากลายเป็นที่เบื่อหน่ายสำหรับทุกคน การทำงานของเขากลายเป็นที่จับตาของเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเห็นหัว ไม่มีใครยกยอ
คุณค่าของเขากลายเป็นขยะลงไปเรื่อยๆ ขยะที่ได้แต่โทษตัวเอง ฮึดสู้ขึ้นมาแล้วก็ต้องแพ้พ่าย
เขาเป็นนักวิ่งมาราทอนที่ตั้งเป้าหมายจะวิ่งทุกวัน วันละห้ากิโล แต่สุดท้าย เขาก็กลายเป็นชายอ้วนที่ออกวิ่งปีละครั้ง ครั้งละสองกิโล
ขี้แพ้
แม้แต่สิ่งที่ตัวเองตั้งขึ้น คิดขึ้น กำหนดขึ้น ยังหน้าโง่แพ้ให้กับมันเลย
กติกาที่ตัวเองกำหนดขึ้นมา แค่ออกไปวิ่ง แค่ทำงานใส่ใจมากขึ้น กติกาที่ตัวเองกำหนดขึ้นมาสำหรับการแข่งขันครั้งนี้ ยังเสือกแพ้
เบาปัญญา โง่เขลา และเขลาขลาดจริงๆ
และเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นอีก สิ่งที่ผมเล่ามาข้างต้น ก็จะติดตัว ฝังเข้าไปในกมลสันดานของเขาในที่สุด สุดท้าย เขาจะรู้สึกว่าไม่มีพื้นที่บนโลกใบนี้ให้เขาอยู่ โลกที่มีคนเจ็ดพันล้านคนอาศัย โลกที่มีชีวิตนับล้านล้าน แต่สำหรับมนุษย์คนหนึ่งอย่างเพื่อนผม สักวันเขาก็คงไม่มีที่อยู่ แม้แต่จะหายใจ
ผมเข้าใจเขา มันน่าเศร้าที่เราเองก็รู้ว่ารากของปัญหาคือตัวเรา เราไม่ได้ต้องการคำแนะนำ เราไม่ต้องการให้ใครสงเคราะห์ และสงสาร เรารู้ตัวเราดีที่สุด เราแค่เหนื่อย
เราแค่ไม่ไหวกับความรู้สึกที่มันกัดกินเราอยู่แบบนี้
เราเองก็อยากยิ้ม อยากหัวร่อ อยากไปเดินอยู่ในแสงสว่างนั้น
เราต้องการคนที่อยู่กับเรา ไม่ต้องพูดอะไร แค่อยู่กับเราจนเราแข็งแรงขึ้น เราต้องการเพื่อน เพื่อนจริงๆ เพื่อนที่แท้จริง
นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเข้าใจ หลักฐานของความขี้ขลาดนะ มันคือ?
ผมคงบอกไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนของผมคนนี้ ไม่ได้เป็นคนที่ขลาดเขลา ไม่ได้เป็นคนที่ขี้ขลาดเลย
เขาอาจจะพลาด เขาอาจจะผิดที่ทำให้เรื่องมันบานปลายมาจนฝังรากลึกถึงเพียงนี้
แต่ผมคิดว่า เขาแข็งแกร่งมากเลยนะ ผมยังจินตนาการไม่ออกเลยว่า การมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกแบบนั้น มันทรานมากมายแค่ไหนกัน
โฆษณา