Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Travel uncle | เที่ยวแบบลุง รุง[รัง]
•
ติดตาม
6 พ.ค. 2020 เวลา 08:50 • ท่องเที่ยว
..........ผมยืนอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง ในบริเวณด้านทิศตะวันออกของตัวเมืองเชียงใหม่ ถนนที่เคยมีความรุ่งเรืองทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นแหล่งเรียนรู้ถึงสิ่งที่ผ่านมาในช่วงเวลาหนึ่งถึงรอยอดีตที่วันนี้อาจจะค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา....
บ้านเก่าๆริมถนนเลียบริมน้ำปิง
....อากาศช่วงบ่ายในบริเวณถนนเลียบริมแม่น้ำปิงค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่ก็ทำให้ผมมั่นใจว่าวันนี้คงจะไม่มีฝนตกลงมาอย่างแน่นอน เท้าผมค่อยๆก้าวเดินไปตามถนน ถึงแม้ว่าจะเป็นถนนที่อยู่ในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ แต่รถยนต์ก็ไม่ค่อยพลุกพล่านนักในเวลานี้ คำถามเกิดขึ้นในหัวผมขึ้นมาแวบหนึ่งว่าเพราะอะไรผมถึงอยากรู้จักถนนเส้นนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะบทความหนึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ที่กล่าวถึงเมืองเชียงใหม่ในยุคของ “เจ้าแก้วนวรัฐ” เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์สุดท้าย ที่ในหนังสือได้บรรยายถึง ถนนเส้นนี้ไว้เพียงไม่กี่บรรทัด แต่มันก็เป็นสิ่งกระตุ้นเพียงพอที่ทำให้ผมอยากรู้จักชุมชนที่มีอดีตอันรุ่งเรืองเป็นแหล่งค้าขายทั้งของชาวจีนและชาวต่างชาติในสมัยนั้น “ชุมชนย่านวัดเกต” คือชุมชนที่เป็นการอยู่อาศัยร่วมกันทั้งชาวจีน ชาวขมุ ชาวซิกข์และชาวอิสลามไว้ด้วยกัน และยังเป็นแหล่งการค้าทางน้ำแหล่งสุดท้ายของ”นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่”อีกด้วย.........................................................................................ถนนที่ไม่กว้างมากนัก บ้านเรือนหลายหลังที่เจ้าของยังคงรักษาไว้ในสภาพที่ใช้งานได้อยู่ มันทำให้ถนนเส้นนี้ดูมีเสน่ห์และรายละเอียดที่เห็นเป็นร่องรอยของกาลเวลาที่เกิดขึ้น ไว้อวดโฉมถึงสิ่งที่ผ่านมา และมาเล่าให้ผมฟังโดยเพียงแค่หลับตาและจินตนาการย้อนกลับไปในอดีต..........................
บ้านเก่าใกล้ตลาดสันป่าข่อย ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของชุมชนวัดเกต
ขัวนวรัฐ(สะพานนวรัฐ)
...ผมเปิดฉากแรกที่สะพานนวรัฐ สะพานที่อยู่คู่เมืองเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน สะพานนวรัฐแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2510 สะพานแห่งนี้ในช่วง เทศกาลยี่เป็ง จะมีนักท่องเที่ยวมาลอยโคม และทุกๆปี ผมก็ชอบมาใช้เวลาอยู่ที่นี่ในช่วงเทศกาล และผมชอบที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองยังบนท้องฟ้า มองดูโคมที่ลอยขึ้นไปเหมือนดวงดาวเต็มไปหมด เสียงแตรจากรถยนต์ทำให้ผมหยุดความคิดนั้น ผมมองสุดตาไปจากสะพาน ต้นก้ามปูพลิ้วไหวไปตามแรงลมจากฤดูฝน ทำให้ผมพอจำได้ในภาพถ่ายเก่าเมื่อ 100กว่าปีก่อน ผมก็เห็นต้นก้ามปูต้นนี้แล้ว ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าปู่ต้นก้ามปูต้นนี้พูดได้ ผมคงจะได้ฟังเรื่องเล่าต่างๆมากมายที่คุณปู่ต้นก้ามปูได้พบเห็น ทั้งการเปลี่ยนแปลงและการได้รับรู้ของคุณปู่ต้นไม้..
ต้นก้ามปู(ต้นจามจุรี)อายุ 100กว่าปี พร้อมต้อนรับทุกท่านที่มาเยือนเมืองเชียงใหม่ครับ
ผมเดินต่อไปเลี้ยวขวาไปทางโรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียน “โบสถ์”ทีมีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเป็นแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่ก็ตั้งตระหง่านท้าทายกาลเวลาผ่านมาถึง 129 ปี ไม้สักทองถูกนำมาเรียงร้อยด้วยกันภายใต้ศิลปะแบบโกธิค ประวัติรายนามและสกุลเงินที่บริจาคเงินสร้างโบสถ์แห่งนี้ ที่ทำให้ผมนึกถึงสกุลเงินที่ชาวเชียงใหม่ใช้ในยุคนั้นคือ สกุลเงิน”รูปีอินเดีย” จากคำบันทึกของหมอแมคกิลวารี มิชชันนารีคนแรกของเชียงใหม่ ผมยืนมองรายละเอียดของโบสถ์แห่งนี้ ซักพัก ผมจึงเดินต่อมาอีกไม่ไกลนัก เพื่อจะมาที่นี่ครับ..
โบสถ์คริสเตียน
ฝั่งตรงข้างโบสถ์จะเห็นวิวแม่น้ำปิง
ความสวยงามที่อยู่ร่วมสมัยมาจนถึงวันนี้...
โรงแรมศรีประกาศ โรงแรมที่มีเพียงไม่กี่แห่งในสมัยก่อน ซึ่งเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2490 เป็นโรงแรมยุคแรกของเชียงใหม่ที่ยังมีตัวตนอยู่ให้เราได้สัมผัสของจริง ไม่ใช่แค่ในภาพถ่าย ผมเดินเข้าไปภายในอาคาร สิ่งแรกที่ผมเห็นคือตัวอาคารยังอยู่ในสภาพใช้การได้ ผมยืนอยู่กับที่เพื่อให้ตาของผมปรับสภาพของแสงได้ก่อน ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเข้ามาในจิตใจผม ผมเริ่มเดินสำรวจอาคาร 2ชั้น จากที่ผมเห็นเหมือนอาคารแห่งนี้มีการใช้งานอยู่ ผมแอบดีใจเล็กๆที่อาคารแห่งนี้จะถูกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรต่อ ก็มีรอยยิ้มส่งมาให้จากผู้หญิงคนหนึ่ง นั่นเลยทำให้ผมรู้เรื่องจากเพื่อนใหม่ของผมว่า ในปัจจุบันที่นี่ถูกใช้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น และผู้หญิงที่ยิ้มให้ผมเธอก็เป็นคนญี่ปุ่นที่มาอยู่อาศัยเมืองเชียงใหม่ และจึงทำร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นมาที่นี่
ผมเดินจากออกมาพร้อมกับความรู้สึกดีๆที่รู้ว่า อดีตโรงแรมแห่งนี้จะมีชีวิตและไม่ต้องเหงาอีกต่อไป....
โรงแรมศรีประกาศ เปิดให้บริการในปี 2490
ผมก้าวเท้าข้ามถนนเพื่อมาอีกยังถนนอีกด้านนึง และเดินต่อไปไม่ไกล ขัวเหล็ก(ขัวในภาษาล้านนาแปลว่าสะพาน) สะพานเหล็กสุดคลาสสิคก็ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของผม ผมเดินช้าๆไปยังกลางสะพานเพื่อรับลม และอยากจะหามุมยืนชมสะพานแห่งนี้ ผมปล่อยอารมณ์ตัวเองไป แล้วนึกถึงยุคสมัยพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับที่ 7 ในยุคสมัยนั้น แม่น้ำปิงถูกใช้เป็นเส้นทางสัญจรขนส่งสินค้าและเดินทางติดต่อระหว่างเมืองเชียงใหม่และสยาม และในยุคนั้นผมคงจะเห็น”เรือหางแมงป่อง”ล่องขึ้นไปทางวัดเกต เพื่อไปลงสินค้าบริเวณท่าน้ำแถวนั้นแน่เลย
ขัวเหล็ก(สะพานเหล็ก)
ท้าแดด ท้าฝนมานาน
ถนนวิ่งเป็นวันเวย์นะครับ
ผมเดินตามถนนไปเรื่อยๆ มุ่งไปทางทิศเหนือ เพื่อที่จะเข้าสู่ชุมชนวัดเกต สิ่งแรกที่ผมพบเห็นก่อนเลยคือ บ้านเรือนอายุหลายปีที่ยังถ่ายทอดอารมณ์ศิลปะของศิลปินสล่า(ช่าง) ในยุคนั้นได้ถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทำให้ผมคิดจินตนาการถึงบ้านเรือนและความเป็นอยู่ของชาวเชียงใหม่ในยุคนั้นได้ไม่ยาก
ชุมชนวัดเกต
ชุมชนวัดเกต
ชุมชนวัดเกต
ซอยเล็กๆที่ตรงลงไปยังท่าน้ำแม่น้ำปิงได้
ชุมชนวัดเกต
ชุมชนวัดเกต
ผมมุ่งตรงไปยังจุดสุดท้ายที่ผมได้ตั้งใจไว้แต่แรก “วัดเกตการาม” ที่ๆเป็นศูนย์รวมใจของทุกคนในชุมชนแห่งนี้ เสียงระฆังที่แขวนอยู่บนหลังคาวิหารดังขึ้น ผมยกมือไหว้พระประทานองค์ใหญ่ และเดินดูสิ่งก่อสร้างบริเวณวัดแห่งนี้
วัดเกตการาม
วัดเกตการาม
อาคารโรงเรียนนักธรรม
อาคารโรงเรียนนักธรรม
อาคารโรงเรียนนักธรรม
อาคารโรงเรียนนักธรรม
วิหารวัดเกตการาม
พิพิธภัณฑ์วัดเกตการาม
...ผมทิ้งตัวลงลงนั่งใต้ต้นไม้บริเวณวัด ปล่อยตามองไปยังของเก่าๆที่อยู่ในวัด ค่อยๆนึกถึงบรรยากาศในอดีตที่มีมา ความรุ่งเรืองในช่วงหนึ่งที่เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของเมืองเชียงใหม่ วันนี้ก็ถูกเก็บไว้เพื่อเป็นร่องรอยถึงความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าจนก่อตั้งชุมชนเล็กๆริมนำ้ ......
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้นะครับ “ขอบคุณจ๊าดนักครับ”
2 บันทึก
4
4
2
4
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย