ราเวล มอร์ริสัน เด็กเทพพเนจร
ในโลกของฟุตบอลมีดาวรุ่งมากมาย พลัดเปลี่ยนหมุดเวียนแจ้งเกิดขึ้นมาให้เราได้รู้จักกับพวกเขา ครั้งแรกๆ ที่เราได้เห็นดาวรุ่งเหล่านั้น มันทำให้ชวนคิดฝันถึงอนาคตในวันข้างหน้าของพวกเขา ว่าจะต้องเติบโตมาเป็นยอดนักเตะได้ “ตอนเด็กยังเก่งขนาดนี้ โตขึ้นจะเก่งขนาดไหน” ความคิดของเราเมื่อเห็นฝีเท้าของดาวรุ่งเหล่านั้น
แน่นอนว่านักเตะบางคนเป็นได้อย่างที่เราคิด แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านสิ่งต่างๆ ในชีวิต และพัฒนาขึ้นมาเป็นยอดนักเตะได้ มีหลายปัจจัยมากมายที่หยุดพวกเขาไว้ เราจะพาทุกท่านไปพบ ราเวล มอร์ริสัน หนึ่งในดาวรุ่งที่ว่ากันว่า เก่งยิ่งกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง พอล ป็อกบา แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าในเส้นทางค้าแข้ง
ความเก่งกาจในวัยเด็ก
“ผมจะจ่ายเงินเพื่อดูเขาซ้อม และดูเขาเล่นคนเดียวในการแข่งขัน” ริโอ เฟอร์ดินาน กล่าว
“เขาซ้อมกับทีมชุดใหญ่เมื่ออายุประมาณ 16 ปี ดาเรน เฟรชเชอร์ พูดกับผมว่า ‘เขาวิ่งไปกับลูกบอล เขาวิ่งไปกับมัน และเขาก็มองมาที่ฉันในขณะที่เขากำลังวิ่งกับลูกบอล และรอให้ฉันเคลื่อนไหว จากนั้นเขาก็พาบอลหนีไป’ ผู้เล่นชั้นนำสามารถทำอย่างนั้นได้ พวกเขาจะมีปฎิกิริยาต่อการเคลื่อนไหวของกองหลัง” เฟอร์ดินานเล่าถึงความสามารถของ ราเวล มอร์ริสัน
อีกทั้งเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ในเวลานั้นยังชื่นชอบ ราเวล มอร์ริสัน เป็นอย่างมาก และมั่นใจว่าดาวรุ่งคนนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญให้กับทัพปีศาจแดง ได้ในอนาคต
“เฟอร์กูสันมักจะเรียกผม และวาซซ่า (รูนีย์) มาดูเขาซ้อมแล้วพูดว่า ‘ดูเด็กคนนี้ เขาดีกว่าคุณรูนีย์เมื่อคุณเป็นเด็ก เขาดีกว่าคุณริโอ ดีกว่าไรอันกิกส์เมื่อพวกคุณเป็นเด็ก นี่คือเด็กที่เก่งที่สุดที่คุณเคยเห็น’ เฟอร์กูสันพูดกับผม” คำบอกเล่าของเฟอร์ดินาน ถึงความรู้สึกของท่านเซอร์ที่มีต่อ ราเวล มอร์ริสัน
คำบอกเล่าทั้งหมดคือคำตอบที่แสดงให้เห็นว่า ราเวล มอร์ริสัน ในวัยเด็กนั้นเก่งกาจสังเพียงไหน เขาได้รับการจับตามองในการขึ้นมาเป็นอนาคตของแมนฯ ยูไนเต็ต เคียงคู่กับ พอล ป็อกบา
ซึ่งในตอนนั้น ราเวล ดูจะโดดเด่นกว่าป็อกบา ซะด้วยซ้ำไป ด้วยตำแหน่งตัวทำเกม เขาสรรค์สร้างเกมบุกให้กับแมนฯ ยู เรียกได้ว่าคือหัวใจในเกมรุกของทีม ด้วยความอัจฉริยะในการไปกับบอล เทคนิค เบสิค การยิงประตู เขามีพร้อมทุกอย่าง เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน
เขาควรจะพัฒนาไปเป็นยอดนักเตะเหมือนอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ , เดวิด เบ็คแฮม , พอล สโคลส์ และคนอื่นๆ ที่โตมาจากอคาเดมีของแมนฯ ยูไนเต็ต แต่ทว่าเมื่อชีวิตนอกสนามของ ราเวล มอร์ริสัน นั้นเต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวตั้งแต่ คดีทำร้ายร่างกาย มีส่วนพัวพันกับคดีปล้น คดีข่มขู่
เรื่องราวต่างๆ มากมายที่เขาก่อขึ้นมาแต่ในทางลบ ทำให้เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสันเลือกที่จะไม่เก็บเขาไว้ และจำใจปล่อยดาวรุ่งอนาคตไกลคนนี้ออกจากทีม
“น่าเศร้าที่มีผู้เล่นอย่าง กิ๊กส์ หรือ คริสเตียโน โรนัลโด ที่มีภูมิหลังไม่ต่างจากเขาเป็นแบบอย่าง แต่เขาถึงแม้จะมีพรสวรรค์ แต่เขาไม่ได้มีอารมณ์ หรือจิตใจที่แข็งแกร่งพอ ที่จะเอาชนะความเจ็บปวดในวัยเด็ก และปีศาจภายในตัวเขาได้” เฟอร์กูสัน เล่าถึงเหตุผลที่ปล่อยมอร์ริสันออกจากทีม
“ราเวล มอร์ริสัน อาจเป็นกรณีที่น่าเศร้าที่สุด เขามีความสามารถมากเท่ากับเด็กหนุ่มที่เราเซ็นสัญญา แต่เขายังคงมีปัญหา มันเจ็บปวดที่จะขายเขาให้กับเวสต์แฮมในเดือนมกราคม 2012 เพราะเขาน่าจะเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาที่เกิดขึ้นนอกสนามยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเราจึงมีทางเลือกน้อย และต้องตัดปัญหานี้” เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน พูดในหนังสือของเขาถึงความจำเป็นที่ต้องขาย ราเวล มอร์ริสัน ออกจากทีม
เป็นเวสต์แฮมภายใต้การคุมทีมของ แซม อัลลาร์ไดซ์ ที่ได้ ราเวล มอร์ริสัน ในวัย 19 ปี ไปร่วมทีม แน่นอนว่าอัลลาร์ไดซ์ รู้จักฝีเท้าของดาวรุ่งรายนี้ดีว่าเขาเก่งแค่ไหน แต่ทว่าเรื่องนอกสนามคือสิ่งที่ต้องหวังว่า มอร์ริสัน จะกลับมาอยู่ในร่องในรอย อย่างที่ควรจะเป็น
“ผมหวังว่าคุณจะสามารถแยกเขาออกได้ เพราะถ้าเป็นไปได้เขาจะเป็นอัจฉริยะ” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แนะนำ แซม อัลลาร์ไดซ์ โดยหวังว่า อัลลาร์ไดร์ จะสามารถดึงมอร์ริสันออกจากปัญหานอกสนามได้ เพื่อที่เขาจะสามารถก้าวไปเป็นยอดนักเตะในวันข้างหน้า
อัลลาร์ไดซ์ จัดการปล่อยตัวมอร์ริสัน ให้กับ เบอร์มิงแฮม ซิตี ยืมไปใช้งาน เพื่อโอกาสในการลงสนาม และสั่งสมประสบการณ์ มอร์ริสันเล่นกับเบอร์มิงแฮม จนหมดสัญญายืมตัวก่อนจะกลับมาเวสต์แฮม
แต่เขายังไม่สามารถฉายแววความเก่งอย่างตอนเล่นในระดับเยาวชนออกมาได้ พร้อมทั้งยังมีปัญหานอกสนามมาให้ปวดหัวอยู่ตลอด และถูกปล่อยทีมอื่นยืมอีกถึงสองครั้งกับ ควีนส์ปาร์คเรนเจอร์ และ คาร์ดิฟฟ์ซิตี้
และท้ายที่สุดเขาก็ถูกเวสต์แฮมยกเลิกสัญญาไป สามปีแรกในการเริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งในอังกฤษ เขายังไม่สามารถแสดงผลงานการเป็นยอดนักเตะออกมาได้ เขาไม่ได้มีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งยังสร้างแต่ปัญหาจนถูกยกเลิกสัญญา เป็นการเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลที่ไม่สวยเอาซะเลย เขาไม่สามารถควบคุมปีศาจที่อยู่ในตัวเขาได้ และต้องรับผลกับสิ่งที่เขาก่อขึ้นมาเองทั้งนั้น
ออกเดินทาง
เมื่อล้มเหลวไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ในอังกฤษ จึงทำให้เขาเลือกที่จะออกเดินทาง และจุดหมายในการเริ่มต้นใหม่ของเขาคือ ลาซิโอ้ การมาที่อิตาลีทำให้เขาต้องปรับตัวในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องฟุตบอล การใช้ชีวิตนอกสนาม ภาษา และอีกมากมาย แต่สิ่งที่มอร์ริสันแสดงออกมานั้นมันตรงกันข้าม เขาไม่ได้พยายามที่จะปรับตัวใดๆ แม้แต่การเรียนภาษาอิตาลี เพื่อจะได้สื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมได้ดีขึ้น เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะทำ
“มอร์ริสันต้องทำงานหนักขึ้น” สเตฟาโน่ ปิโอลี่ กุนซือลาซิโอ้กล่าว “เขายังไม่สามารถพูดภาษาอิตาลีได้ และสิ่งนี้ทำให้การพัฒนาการร่วมกับทีมของเขาช้าลง” มอร์ริสัน ได้ลงเล่นในสีเสื้อลาซิโอ้เพียง 4 เกม ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้ ควีนส์ปาร์คเรนเจอร์ ยืมไปใช้งานอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มอร์ริสัน ได้ลงเล่นเพียง 5 เกมเท่านั้น
ในฤดูกาลถัดมา ลาซิโอ้ที่ไม่มีมอร์ริสันในแผนการทำทีมอีกต่อไปแล้ว ก็ปล่อยให้ทีมอื่นยืมมอร์ริสันไปใช้งานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาต้องไปไกลถึงเม็กซิโกกับทีมอัตลาส เอฟซี แม้ลีกเม็กซิโกจะไม่ใช่ลีกใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่ถ้าวัดในเรื่องความคลั่งไคล้ฟุตบอลที่นี่ไม่เป็นรองใครแน่นอน นับเป็นโอกาสที่ดี ที่มอร์ริสันจะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ และได้สนุกกับฟุตบอลอีกครั้งที่นั่น
ที่เม็กซิโกเขาได้ลงสนามมากขึ้น สนุกกับการเล่นฟุตบอลมากขึ้น “ มันดีในเม็กซิโก ผมชอบเมื่อลูกบอลอยู่บนพื้น และไม่ได้เล่นลูกโด่งกันมากนัก ผมสนุกกับมันที่นี่” มอร์ริสันกล่าวถึงการเล่นฟุตบอลในลีกเม็กซิโก
เมื่อครบสัญญายืมตัวในเม็กซิโก ลาซิโอที่เอือมระอาในตัวเขาเต็มที จึงจัดการปล่อย มอร์ริสันให้กับ ออสเตอร์ซุนด์ ทีมในลีกสวีเดน แต่มอร์ริสันก็อยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ก่อนจะตกลงยกเลิกสัญญากันไปในที่สุด
กลับบ้านอีกครั้ง
เมื่อพจญภัยในต่างแดนมาสักพักใหญ่โดยไม่ได้มีอะไรดีขึ้นกว่าตอนที่เขาจากบ้านไป การกลับบ้านคงเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก มอร์ริสันไปซ้อมเพื่อเรียกความฟิต และทดสอบฝีเท้ากับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เพื่อหวังจะได้รับโอกาสอีกครั้ง
แฟนๆ เชฟฟิลด์ ต่างตื่นเต้นกับการมาของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปถึงจุดสูงสุดในอาชีพนักเตะ แต่เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่แมนฯ ยูไนเต็ด เขาเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุด และแฟนๆ เชฟฟิลด์ ต่างก็หวังว่าเขาจะสามารถกลับไปเป็นได้อย่างตอนนั้น
คริส ไวล์เดอร์ กุนซือเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ให้โอกาสนั้นกับเขาอีกครั้ง ตกลงที่จะเซ็นสัญญากับมอร์ริสันระยะสั้น พร้อมบวกออปชั่นเซ็นยาวหากเขาทำผลงานได้เข้าตา
แต่ทว่าฟอร์มเด็กเทพคนเดินไม่เคยกับมา มอร์สันได้ลงสนามกับเชฟฟิลด์ในพรีเมียร์ลีกเพียง 14 นาทีเท่านั้น และถูกปล่อยให้กับมิดเดิ้ลสโบรช์ ยืมไปใช้งานในครึ่งฤดูกาลหลัง
เป็นอีกครั้งที่เขาต้องเริ่มต้นใหม่ พร้อมกับความหวังของใครหลายต่อหลายคน ที่หวังว่าเขาจะดีขึ้นได้ ทั้งในการใช้ชีวิตจริงและในเส้นทางฟุตบอล ครั้งนี้เขาได้พบกับโจนาธาน วู้ดเกต ที่ให้ความเชื่อมันในตัวเขาอีกครั้ง
“ผู้คนบอกว่าเขามีปัญหา แต่ใครกันไม่มีปัญหา เขาเป็นเด็กที่เก่ง และดีมากๆ บางครั้งสื่อก็พูดถึงคุณแต่ในทางที่ผิด และผมคิดว่ามันเกิดขึ้นกับราเวล พวกเราทุกคนทำผิดผมเองก็ทำเอง แต่เขาเป็นเด็กดี เขาจะดีพอในห้องแต่งตัวของเรา และผมยินดีมากที่ได้เขามา” โจนาธาน วู้ดเกต กุนซือมิดเดิ้ลสโบรช์ พูดถึงลูกทีมคนใหม่ของเขา และยังเชื่อว่ามอร์ริสันจะกลับมาดีกว่าเดิมได้
ณ ตอนนี้ ราเวล มอร์ริสัน อายุเพียง 27 ปี เขายังมีเวลาอีกพอสมควรในเส้นทางฟุตบอล เขาอาจจะไม่ได้เป็นยอดนักเตะอย่างที่หลายๆ คนคาดหวังเอาไว้ แต่เวลาที่เหลือมันเพียงพอที่จะให้เขาได้อยู่กับสิ่งที่เขารัก ทุกอย่างมันอยู่ที่เขาเองแล้วจากนี้ว่า เขาจะหยุดเส้นทางฟุตบอลด้วยระยะเวลาอันสั้น จากสิ่งที่ตัวเขาเป็น หรือจะเปลี่ยนตัวเอง และรักษาโลกฟุตบอลของเขาเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด
Writer : ฐกฤต กล่ำพันธ์ดี
#ฟุตบอล
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
