6 พ.ค. 2020 เวลา 15:33 • สุขภาพ
วันนี้จะพาไปกินของอร่อยๆในเมืองเชียงใหม่ แบบฉบับพลุงพลุ้ย
จะเป็นอะไรนั้นไปดูกันเลย Go Go Gooo
ตื่นมาหิวๆคงมีคำถามเกิดขึ้นในใจทุกคน "วันนี้เราจะกินอะไรดี???"
คำตอบมักจะเข้ามาในหัว ผัดกระเพรา หมูกะเทียม ผัดพริกแกง ไข่เจียว ผัดสุกี้ ข้าวผัด ถูกต้องอาหารพวกนี้จะถูกเรียกว่า อาหารสิ้นคิด555
ใช่แล้ว วันนี้เราจะพาไปกิน ข้าวผัดปะปะปะปู ที่เราคิดว่าอร่อยที่สุด
ในเชียงใหม่กัน ว่าแล้วก็อาบน้ำ สตาสรถไปกันเลยยยย Go Go Gooo
ถึงแล้ววววววว ที่นี้ !! ข้าวผัดปูโกอัน ในสถานการณ์ปัจจุบันเราต้องเว้นระยะ
ห่าง social distancing เพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบ
เสร็จแล้วก็สั่งกันเลยยยลุยย สั่งมา 3 อย่าง
1.ข้าวผัดปู 2.สุกี้แห้ง 3.ไข่เจียวปู ทีเด็ดของร้านทั้ง3อย่าง
อาหารมาแล้ว ข้าวผัดปู
เสียงตอนผัดอย่างกับเสียงควบม้า
ข้าวผัด เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน ซึ่งเกิดจากการนำเอาข้าวเย็นเหลือข้ามคืนผัดรวมกับส่วนผสมอื่นๆ จนทำให้เกิดเป็นอาหารเมนูใหม่ขึ้นมา จากนั้นข้าวผัดก็แพร่หลายไปพร้อมๆกับชาวจีน ที่อพยพย้ายถิ่นกระจายกันไปทั่วโลก แต่ละประเทศต่างก็ปรับเมนูข้าวผัดให้เข้ากับลิ้นของคนท้องถิ่น และวัตถุดิบที่มีอยู่แต่ละบ้าน
ส่วนประกอบหลักๆของข้าวผัด นอกจากข้าวแล้วก็จะประกอบไปด้วย
เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ หมูแดง กุ้ง เนื้อปู หรือเต้าหู้ ไข่
ซีอิ๊วขาว หรือซอสปรุงรส ช่วยให้ข้าวผัดมีสีสวยน่ารับประทาน
อาาาาโหล่ยยยยย
จานที่ 2 ตามมาติดติด สุกี้แห้ง(ทางร้านใช้วุ่นเส้นแบนเหนียวนุ่มอร่อยมาก)
หน้าตาดูดีไฮโซ
สุกี้ยากี้กำเนิดขึ้นในโลกตั้งแต่ยุคกลางของญี่ปุ่น โดยมีเรื่องเล่าเชิง
ประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ครั้งหนึ่งนักรบในยุคกลางของญี่ปุ่น ได้ออกล่าเนื้อสัตว์ (ยากิ) และนำเนื้อมาให้ชาวบ้านใช้พลั่ว (ซูกิ) ปรุงอาหารให้ นับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา เมนูที่ชื่อว่า ซูกิยากิ ก็คลอดออกมาให้คนญี่ปุ่นในช่วงยุคกลางรู้จักกัน จนกระทั่งญี่ปุ่นเปิดประเทศออกสู่สากล ในปี ค.ศ. 1890
เมนูซูกิยากิก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยที่ในช่วงนั้นก็มีการพัฒนาพลั่วที่ใช้เป็นหม้อต้มให้ใช้งานง่าย และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนั้นด้วย
ส่วนในไทยนั้นเราเริ่มรู้จักสุกี้ยากี้กันเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีร้านอาหารเล็ก ๆ ชื่อสุกี้โคคาเป็นผู้นำอาหารเสิร์ฟ ในหม้อเข้ามาเป็นเจ้าแรก โดยเปิดเป็น
ร้านเล็ก ๆ ย่านสยามสแควร์
อย่างไรก็ดี สุกี้ยากี้ในแบบที่เรารู้จักและคุ้นเคยในปัจจุบันก็ถูกดัดแปลงไปเรื่อย ๆ ให้ถูกปากคนในแต่ยุคสมัย โดยนอกจากผักและเนื้อสัตว์อย่างหมู รวมทั้งเนื้อวัว ก็ยังมีอาหารทะเล และอาหารชนิดอื่น ๆ มาให้เลือกกินหลากหลายมากขึ้น
ตักโชววุ่นเส้นแบบแบนอร่อยมาก
อร่อยมากผัดหอมกลิ่นกะทะ
จานที่3 ไข่เจียวปู
ไข่เจียวแบบฉบับคนไทย ที่เรากินๆกันทุกวันนี้ ได้ส่งผ่านกันมารุ่นสู่รุ่นไม่ต่ำกว่า 200 ปีเข้าไปแล้ว หลักฐานที่กล่าวถึงไข่เจียวที่เก่าที่สุดคือ
จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี หรือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุ กรมหลวงนรินทรเทวี หรือเจ้าครอกวัดโพธิ์ ซึ่งเป็นพระน้องนางเธอต่างพระชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โดยมีเนื้อหาระบุว่าได้มีการใช้ไข่เจียว จัดเป็นสำรับคาว ไว้ในพระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่า ไข่เจียวน่าจะมีแพร่หลายมาระยะหนึ่งก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ก็ไม่แน่ชัดว่าไข่ที่ใช้นั้น
เป็นไข่เป็ด หรือไข่ไก่ และมีรูปลักษณ์อย่างไร ใช่แบบเดียวกับที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้หรือเปล่า จึงต้องดูบริบทของคำว่าเจียวเสียก่อน แน่นอนว่าการเจียวนั้นคือการทำให้สุกด้วยน้ำมันในปริมาณหนึ่ง แต่ไม่มากเท่าทอด
เอาสิ่งไหนมาเจียวก็จะเรียกสิ่งนั้นแล้วตามด้วยคำว่าเจียวเพื่อขยายความ
อย่าง ไข่เจียว หอมเจียว ส่วนไข่วัตถุดิบหลักนี้ ไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่า เราใช้ไข่มาประกอบอาหารกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่พอจะคาดเดาได้ ก็น่าราวๆสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราช ที่มีการใช้ไข่มาทำขนมหวานอย่างเท้าทองกีบม้า
ซึ่งเป็นไข่เป็ดเสียส่วนมาก
อนึ่งไข่เป็ดก็มักใช้ในอาหารคาวหลายๆอย่างด้วย ตามที่พอจะเห็นได้จากตำรับอาหารไทยเก่าๆ หลายๆอย่างมักใช้ไข่เป็ดเสมอ ในจดหมายเหตุจึงมีน้ำหนักค่อนไปทางไข่เป็ดเสียมากกว่า อีกอย่างหนึ่งไก่ไข่เอง คนไทยก็เพิ่งจะมาเลี้ยงกันเป็นเรื่องเป็นราวน่าจะประมาณปี พ.ศ. 2489 เพราะได้มีการ
ส่งเสริมให้เลี้ยงไก่ไข่โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงเพิ่งจะทำให้เราเข้าถึง
ไข่ไก่ได้มากขึ้นในตอนนั้น ส่วนไก่ที่เลี้ยงๆกันมาแต่ก่อน เห็นว่าจะเลี้ยงเพื่อ
ไว้กินเนื้อเสียมากกว่า
ส่วนรูปลักษณ์ไข่เจียวนั้นเป็นแบบไหน ใครคิดค้น ใครสืบต่อมา อันนี้ไม่มีหลักฐานไหนว่าไว้แน่ชัด เห็นเขาว่าน่าจะมาจากออมเล็ตแบบฝรั่ง นั้นก็มีเค้าโครงอยู่มาก เพราะมีการตีผสมไข่ให้เข้ากันแบบเดียวกับเรา แต่การเจียว
และวิธีปรุงให้สุกนี่ไม่เหมือนเท่าไหร่ เพราะทางนั้น
เขาใช้น้ำมันน้อย เราใช้มาก เขาคนเพื่อให้สุกพอดีๆแล้วพับ ม้วนเป็นลูก
ลักบี้ แต่เราเจียวแผ่เป็นแผ่นกลม อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ในปัจจุบัน
หน้าตาของอาหารทั้ง 3 อย่าง
ค่าเสียหาย 450 บาทรวมโค็ก 1 ขวด
ถูกใจกันมั้ยพากินแบบฉบับพลุงพลุ้ย
พรุ่งนี้จะพาไปกินพาไปเที่ยวที่ไหนกดติดตามกันได้เลยจ้า
credit ข้อมูลประวัติอาหาร
โฆษณา