8 พ.ค. 2020 เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
ทัดดอกชบา
ดอกชบา นั้น ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยช่วงสมัยสุโขทัยหรือก่อนหน้านั้น
โดยผ่านจากประเทศอินเดีย เพราะชื่อ ชบา มาจากภาษาสันสฤตคำว่า ชปา
โดยมีหลักฐานได้ถูกการกล่าวถึงใน ไตรภูมิพระร่วง
นอกจากจะเอาชื่อมาแล้ว ไทยยังรับความเชื่อเกี่ยวกับดอกชบามาจากอินเดียด้วย
ทางอินเดียตอนใต้มักใช้ดอกชบาบูชา เจ้าแม่กาลี
และใช้ทำเป็นพวงมาลัยสวมคอหรือทัดหูให้นักโทษประหาร
ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ได้นำดอกชบามาปรับใช้กับกฎหมายตราสามดวง
ทรงโปรดให้ใช้ดอกชบาในพระไอยการ ลักษณะผัวเมีย ข้อ ๙๐ ว่า
“หญิงคนเดียวมันทำชู้ด้วยชายคนหนึ่งก่อน แล้วหญิงคนนั้นมาทำชู้ด้วยชายอีกคนหนึ่งเล่า ชู้ก่อนมันฟันแทงชู้หลังตายก็ดี ชู้หลังมันฟันแทงชู้ก่อนตายก็ดี ท่านว่าเป็นหญิงร้าย ให้ทวนมัน ๓๐ ที แล้วให้โกนศีรษะหญิงนั้นเป็นตะแลงแกง ทัดดอกชบาสองหู ขึ้นขาหย่าง ประจาร ๓ วัน”
ดอกชบาจึงใช้ในการประจาน ผู้หญิงอันร้าย หรือ ผู้หญิงแพศยา คบชู้สู่ชาย ตั้งแต่ตอนนั้น
รูปจากละคร
เอาว่านั้นคือ โบราณนานมาแล้ว ปัจจุบันไม่ว่าจะอย่างไร กฎหมายนั้นยังศักดิ์สิทธิ์ เมื่อผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิดนั้น
ดอกชบาเองนั้น ปัจจุบันก็ปลูกกันทั่วไป เพราะปลูกง่าย แถมมีหลากสี สวยงาม ยุคสมัยเปลี่ยนไป การจะลงโทษใครให้เป็นที่น่าอับอาย ก็ต้องดูกฎหมายเป็นสำคัญ ถึงเขาคนนั้นจะกระทำผิดก็ตาม เพราะปัจจุบัน ไม่ต้องใช้ดอกชบา หรืออื่นใดมาเป็นเครื่องบอกกล่าวว่าคนนั้นผิด คนนี้ไม่ดีแล้ว
เพราะแค่คุณทำผิดกฎหมาย เรื่องยังไม่ถึงตำรวจ คุณก็อาจถูกตัดสินจากโฃเชียลปัจจุบัน แบบกรรมตามทันเร็วไม่เกินข้ามวัน ยอดไลค์ (ด่า) ยอดแชร์ (ประจาน) เราก็เห็นข่าวกันอยู่เกือบทุกวัน
ฉะนั้น เป็นคนดี ทำความดีกันเยอะๆ นะครับ
โฆษณา