8 พ.ค. 2020 เวลา 04:50 • กีฬา
กำเนิดมูรินโญ่
ลีลาการยืมคุมทีมข้างสนามที่ยียวนกวนประสาท ตะโกนสั่งตะโกนด่าลูกทีมตลอดเวลา มีเรื่องกับกุนซือฝ่ายตรงข้าม ท่าทางเวลาดีใจที่ดูโคตรสะใจ ‘หัวร้อน’ง่ายไม่ยอมหักยอมงอให้ใครหน้าไหน วิธีการตอบคำถามสื่อที่มักจะเป็นประเด็น สนใจเพียงแค่ผลการแข่งขัน‘แค่ชนะก็จบ’ เชื่อมั่นในแนวทางของตัวเอง
1
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ชายผู้นี้แสดงออกมาให้เห็น ผู้อ่านคงพอจะเดาได้บ้างว่าชายผู้นี้คือใคร แต่กว่าที่เขาผู้นี้จะกายมาเป็นยอดกุนซือที่ประสบควาสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง เราจะพาทุกท่านย้อนไปยังจุดกำเนิด สู่เส้นทางการเป็นยอดโค้ชของ โชเซ่ มูรินโญ่ เชิญติดตามได้เลยครับ
ณ เมืองเซตูบัล เป็นเมืองที่อยู่ติดทะเล ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการประมงของโปรตุเกส ที่นี่คือบ้านเกิดของ โชเซ่ มูรินโญ่ เขาเป็นลูกชายของ เฟลิกซ์ มูรินโญ่ ผู้รักษาประตูของทีมวิตอเรีย เซตูบัล และทีมเบเลเนนส์ ทีมในลีกโปรตุเกส โชเซ่ มูรินโญ่ เกิดมาทันในช่วงที่พ่อของเขายังค้าแข้งอยู่ ทำให้เขาได้รู้จักและสัมผัสกับโลกของฟุตบอลตั้งแต่เด็กๆ
เมื่อเฟลิกซ์พ่อของเขาแขวนสตั๊ด แต่ยังคงเดินทางในเส้นทางฟุตบอลต่อไป ด้วยการเป็นโค้ชให้กับอีกหลายๆ ทีมในโปรตุเกส ทำให้โชเซ่ มูรินโญ่ได้เติบมาพร้อมๆ กับเส้นทางอาชีพของเฟลิกซ์ผู้เป็นพ่อ ทั้งในฐานะนักเตะ และฐานะโค้ช ชีวิตของโชเซ่ มูรินโญ่ จึงมีแต่เรื่องราวของฟุตบอลอยู่รอบตัวเขาอยู่เสมอ
แต่ฟุตบอลไม่ใช่ทางเลือกเดียวของ มูรินโญ่ เมื่อพ่อของเขาต้องไปทำงานต่างถิ่นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ทั้งคู่อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันมากนัก ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ของเขา เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของผู้เป็นแม่ ซึ่งสิ่งที่แม่ของเขาอยากให้เขาเป็นนั้น มันไม่ใช่เส้นทางฟุตบอล แต่เป็นเส้นทางการเป็นนักธุรกิจอย่างที่คุณตาของเขา
แม่ของเขาจัดแจงลงทะเบียนเพื่อให้มูรินโญ่ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนธุรกิจ แต่เพียงแค่วันเดียวเท่านั้นที่มูรินโญ่ไปเรียนที่นั่น เขารู้ใจตัวเองดีว่าเขาอยากจะทำสิ่งใด และจะไม่ลังเลที่จะทำในสิ่งที่รัก แม้จะต้องขัดใจแม่ก็จะยอม เขาเลือกที่จะเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อมุ่งมั่นที่จะได้ทำสิ่งที่รัก และเล่นฟุตบอลต่อไป
สำหรับโชเซ่ มูรินโญ่ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องลังเลในเส้นทางชีวิต เมื่อสิ่งๆนั้นอยู่รอบตัวเขามาเป็นเวลายาวนาน เขาก็ย่อมรู้จักสิ่งนั้นดีพอ ว่าเขาจะรักมันมากๆ อยากจะทำสิ่งนั้นไปตลอดชีวิต หรือ อาจจะเกลียดมันมากๆ จะไม่มีทางทำสิ่งนี้อย่างแน่นอน
ซึ่งเขามีคำตอบเดียวในใจ ว่าเขารักฟุตบอลมากๆ และฟุตบอลจะอยู่ในเส้นทางชีวิตเขาตลอดไป เขาเลือกที่จะเดินตามรอยพ่อของเขา ทั้งการเป็นนักเตะและโค้ช เพราะฟุตบอลมันถูกกลืนกินไปในสายเลือดของเขาแล้ว
เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กฝึกของทีมเบเลเนนส์ ทีมเก่าของพ่อของเขา และเข้าสู้เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพกับทีมริโอ อาฟ ซึ่งพ่อของเขาเป็นโค้ชอยู่ขณะนั้น มูรินโญ่ย้ายไปในหลายๆ ทีมในลีกรองของโปรตุเกส เขาไม่ได้มีความสำเร็จใดๆ ในฐานะนักเตะ เขาเป็นเพียงนักฟุตบอลธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่วงเวียนเล่นกับทีมในลีกรองของโปรตุเกส ซึ่งเขารู้ดีว่าฝีเท้าของตัวเองนั้นคงจะไปไม่ได้ไกลกว่านี้
มูรินโญ่ในวัย 24 ปี จึงเลือกหันหลังให้กับเส้นทางนักฟุตบอล จากนั้นเขาไปทำงานเป็นครูพละศึกษา พร้อมกับเล่าเรียนวิชาโค้ช เพื่อเตรียมความพร้อมเดินหน้าสู่อีกหนึ่งความฝันกับเส้นทางโค้ช
“เมื่อเขาอายุ 15 หรือ 16 ปี เขาบอกกับผมว่าเขาอยากเป็นผู้จัดการทีม เขาเริ่มดูทีมของเราเล่น และเตรียมรายงานให้กับผม และมันช่วยผมได้มาก” คำบอกเล่าของเฟลิกซ์ผู้เป็นพ่อ ถึงลูกชายในวัยเด็ก ที่แสดงเจตนารมณ์ต้องการเติบโตไปเป็นโค้ชตามรอยเขา
หลังจากมีวิชาโค้ชที่เรียนมาเขาได้เริ่มทำงานในการเป็นโค้ชของทีมเยาวชนของ วิตอเรีย เซตูบัล , เป็นผู้ช่วยโค้ชของทีม เอสเตรลา และเป็นสเก๊าท์ให้กับทีม โอวาเรนเซ่
แต่สิ่งที่นำพามูรินโญ่มาได้ถึงทุกวันนี้คือ งานที่เขาได้รับหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษาให้กับเซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่มารับงานในโปรตุเกสกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แม้จะเป็นงานล่ามที่คอยช่วยเหลือให้ร็อบสันทำงานได้ง่ายขึ้นในโปรตุเกส แต่สำหรับมูรินโญ่มันเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้เรียนรู้จากยอดกุนซือผู้นี้อย่างใกล้ชิด
มูรินโญ่ไม่เพียงแค่ทำหน้าที่แปลภาษาให้กับร็อบสันอย่างเดียว แต่เขากล้าที่จะแสดงความสามารถ ในการพูดคุยเรื่องแทคติคกับร็อบสันอีกด้วย ซึ่งทำให้ร็อบสันได้รู้จักกับความสามารถด้านฟุตบอลของล่ามคนนี้ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ร็อบสันเองก็เปิดใจรับฟัง และให้โอกาสกับมูรินโญ่ได้ออกความเห็นเรื่องฟุตบอลกับเขา
เมื่อบ็อบบี้ ร็อบสันถูกปลดจากตำแห่งผู้จัดการทีมที่ลิสบอน และได้งานในโปรตุเกสต่อที่ปอร์โต้ ทำให้ร็อบสัน ได้ชวนมูรินโญ่ไปเป็นผู้ช่วยของเขาที่นั่นด้วย ทั้งคู่ประสบความสำเร็จที่ปอร์โต้พาทีมคว้าแชมป์ลีกสองสมัย และมีจุดหมายต่อไปที่บาร์เซโลน่า
ร็อบสันชวนมูรินโญ่ไปทำงานที่บาร์เซโลน่าด้วยกัน มันเป็นงานที่ท้าทายสำหรับเขา และจะทำให้เขาได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นไปอีกขั้น กับการได้ทำงานร่วมกันกับนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ที่รายล้อมอยู่เต็มทีม มันเป็นงานที่ยากที่โค้ชโนเนมอย่างเขา จะต้องมาคุมนักเตะระดับสตาร์เหล่านั้น แต่งานยากครั้งนี้นี่แหละที่จะทำให้เขาได้เรียนรู้ กับประสบการณ์ที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
พวกเขาพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์บอลถ้วยสามรายการแต่ทว่า มันไม่เพียงพอที่จะทำให้เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ได้อยู่ที่บาร์เซโลน่าต่อในถ้านะผู้จัดการทีม ร็อบสันถูกแทนที่ด้วยยอดกุนซือชาวดัตช์อย่าง หลุย ฟาน กัล
มูรินโญ่ ยังต้องการทำงานที่บาร์เซโลน่าต่อไป เขาจึงเข้าไปพูดคุยกับเจ้านายคนใหม่ เพื่อบอกถึงความต้องการของเขาที่ต้องการอยู่ที่นั่นต่อ เพื่อที่จะได้เรียนรู้จากกุนซือชาวดัตช์ผู้นี้ ซึ่งฟาน กัล ก็ไม่ปฏิเสธความตั้งใจของมูรินโญ่ และไปพูดคุยกับฝ่ายบริหารเพื่อให้มูรินโญ่ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยเขาต่อที่บาร์เซโลน่า
แม้มูรินโญ่จะทำงานร่วมกับบ็อบบี้ ร็อบสันมานาน แต่เขาก็ใจกว้างพอในการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ การได้ร่วมงานกับเจ้านายคนใหม่ ล้วนแล้วแต่จะส่งผลดีต่อตัวเขาในอนาคต เขาเปิดรับและศึกษาฟุตบอลในแบบของกุนซือชาวดัตช์ และแลกเปลี่ยนความคิดฟุตบอลในแบบของเขากับเจ้านายคนใหม่
“โชเซ่ค่อนข้างหยิ่ง แต่ผมก็ชอบเขา ผมชอบคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองสูง” ฟาน กัล กล่าวถึงความเย่อหยิ่งของมูรินโญ่ แต่มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับทั้งคู่ เขาชอบที่มูรินโญ่โต้แย้งกับเขา ชอบที่มูรินโญ่ไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูดในสิ่งที่เขาคิด ไม่ใช่ว่าจะพูดแต่สิ่งที่คิดว่า ฟาน กัล ต้องการได้ยิน เขาไม่กลัวที่จะโต้แย้งเจ้านายของเขา
ภาพจำสำหรับมูรินโญ่ในทุกวันนี้ที่เป็นคนหยิ่งยโส ไม่ยอมหักยอมงอให้ใคร แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่ปรับตัวเข้าหาสิ่งใหม่ได้ดี เขาไม่เคยมีปัญหากับใครที่บาร์เซโลน่า ทั้งกับนักเตะสตาร์ในทีมเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนที่นั่น
“ฟาน กัล ดุเรามาก ทุกที่ ในการฝึกซ้อม, ในการแข่งขัน แต่มูรินโญ่เขาผ่อนคลายมาก เขาชอบทำเรื่องตลกอยู่เสมอ เขาเป็นคนที่ใส่ใจนักเตะมาก” ซีเมา ซาบรอซา เล่าถึงตอนที่เขาร่วมงานกับมูรินโญ่ ที่บาร์เซโลน่า
ในขณะที่มูรินโญ่ เป็นผู้ช่วย ฟาน กัล เขาได้รับการติดต่อจากเบนฟิก้า ให้ไปเป็นผู้ช่วยที่นั่น มูรินโญ่ปรึกษาเรื่องนี้กับ ฟาน กัล และได้คำตอบกลับมาว่า
“คุณไม่มีความจำเป็นต้องไป หากพวกเขาต้องการให้คุณเป็นผู้ช่วยโค้ช แต่หากพวกเขาต้องการให้คุณเป็นเฮดโค้ชผมจะให้ไป” ฟาน กัล เชื่อว่ามูรินโญ่เป็นได้มากกว่าผู้ช่วย เขาเชื่อว่ามูรินโญ่พร้อมแล้วในการก้าวไปเป็นกุนซือตัวจริงเสียที
มูรินโญ่ ร่วมงานกับหลุย ฟานกัล ที่บาร์เซโลน่าถึงฤดูกาล 1999-2000 ก่อนจะลาออกจากการเป็นผู้ช่วยที่บาร์เซโลน่า เพื่อรอโอกาสในการเป็นเฮดโค้ชเต็มตัวเสียที และโอกาสที่เขารอคอยก็มาถึง เมื่อเบนฟิก้าที่เพิ่งปลดโค้ชอย่าง จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ออกจากตำแหน่ง หลังจากทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ ได้ติดต่อมูรินโญ่มาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ในฐานะผู้ช่วยอีกต่อไป เขาจะได้แสดงฝีมือของตัวเองในฐานะหัวหน้าโค้ชที่เขาฝันมานานเสียที
“ผู้ช่วยโค้ชที่ยอดเยี่ยมของเราเพิ่งจบอาชีพของเขา ... และโค้ชที่ยอดเยี่ยมเพิ่งเริ่มต้นอาชีพของเขา” หลุย ฟาน กัล พูดกับลูกทีมบาร์เซโลน่า กับการเดินทางครั้งใหม่ของมูรินโญ่
เขาเซ็นสัญญาระยะสั้นเป็นเวลา 6 เดือนกับเบนฟิก้า เนื่องจากกำลังจะมีการเลือกตั้งประธานสโมสรคนใหม่ วาเล่ อาเซเวโด้ ที่ดำรงตำแห่งประธานสโมสรเบฟิก้าอยู่ในขณะนั้น ได้รับปากกับมูรินโญ่ว่าจะต่อสัญญาออกไปให้อีก 2 ปี หากเขาได้รับเลือกอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อการเลือกตั้งประธานสโมสรจบลง อาเซเวโด้ ที่เลือกมูรินโญ่มากลับไม่ชนะการเลือกตั้ง เป็น มานูเอล วิลารินโญ่ ที่ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานสโมสรคนใหม่ของเบนฟิก้า
มูรินโญ่ที่กำลังเริ่มพาเบนฟิก้าทำผลงานได้ดี เขาไม่รีรอที่จะเข้าไปพูดคุยถึงสัญญาฉบับใหม่ของเขาในทันที แต่ทว่าประธานคนใหม่ผู้นี้มีกุนซือในใจอยู่แล้ว บวกกับนักเตะบางคนที่ไม่ชอบสไตล์การทำงานของเขา วิลารินโญ่ประธารคนใหม่จึงยังไม่มอบสัญญาฉบับใหม่ให้กับเขา เมื่อต้องทำงานโดยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร มูรินโญ่จึงไม่รอให้ครบสัญญา และประกาศลาออกจากทีมในทันทีหลับคุมทีมได้เพียง 11 เกม
ในฤดูกาลต่อมาเขาได้งานคุมทีมยูดี เลยเรีย ทีมระดับกลางในลีกโปรตุเกส เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะได้รับการติดต่อจากปอร์โต้ ทีมที่เขาและบ็อบบี้ ร็อบสัน ประสบความสำเร็จมากมายที่นั่น และที่ปอร์โต้นี่เองคือจุดเริ่มต้น ของความสำเร็จมากมายของโชเซ่ มูรินโญ่ และก้ามขึ้นมาเป็นยอดโค้ชจนถึงปัจจุบันนี้
Writer : ฐกฤต กล่ำพันธ์ดี
#ฟุตบอล
โฆษณา