ก่อนลงพื้นที่ครั้งแรกกลางปี ๒๕๕๙ หอมไกลไปให้แพทย์ฉีดสารคุ้มกันจึงไม่แพ้พิษเหล็กใน ถูกผึ้งต่อยเธอล้วงยาพกติดกระเป๋า ล้างแผล ทายา กินยาแก้ปวดทันที คืนนี้ล้มตัวนอนชั่วโมงกว่าๆ ยังหลับๆ ตื่นๆ ปวดหนุบๆ รอบรอยแผล
ภายในห้องปรับอากาศเย็นสบายและเงียบ ช่างน่าแปลกนัก หญิงสาวเคลิ้มฝันถึงชาร์ลส์ ดาร์วิน, มอริส มาแตร์แล็งก์ ฝันถึงอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์--- นักธรรมชาติวิทยา กวี นักเขียนบทละคร ฝันถึงนักฟิสิกส์เรียงหน้าเข้ามาตามลำดับ แทนที่จะพูดเรื่องที่ตังเองค้นคว้า ทุกท่านพูดถึงผึ้งเหมือนกันหมด--- เป็นเพราะพิษเหล็กในหรืออาการไข้หวัดเข้าแทรก
วาทะของปราชญ์สามท่านเป็นแรงผลักดันให้เธอตัดสินใจเสนอหัวข้อวิจัยขอทุนจากสำนักวิจัย แม้ไม่เคยเล่าเรียนทางกีฏวิทยาหรือชีววิทยาก็ตาม
คำพูดได้ยินขณะกึ่งหลับกึ่งฝันผุดออกมาจากความทรงจำ เธออ่านวาทะของปราชญ์ทั้งสามหลายครั้งหลายครา หรือว่ากังวลเพราะใกล้เวลาส่งงานเข้ามาทุกขณะ
ในฝันคุณทวดดาร์วิน โน้มตัวกระซิบเบาๆ ข้างหู
'ในอังกฤษของเรา ถ้าผึ้งมีขนตัวใหญ่ๆ หายไป หลังจากนั้นต้นแพนซีป่ากับนกพิราบแดงจะหายาก ประชากรของปศุสัตว์ขึ้นต่อประชากรแมว ห่วงโซ่ของสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวตามฤดูกาล ผึ้งมีขนทำรังตามพื้นดิน น้ำผึ้งเป็นอาหารพวกหนู แมวจะไล่จับหนูทำให้ผึ้งมีชีวิตต่อไปได้'
คุณปู่แมแตร์แลงค์ยืนอยู่ข้างประตู ยิ้มอย่างอ่อนโยน 'เรื่องความศิวิไลซ์เรายังเป็นหนี้ค้างชำระผึ้ง หากผึ้งสูญพันธุ์จะนำไปสู่การล่มสลายของความเจริญ มีคนไม่กี่คนเคยเห็นผึ้งกระพือปีกในพุ่มไม้ตอนตระเวนหาน้ำหวานจากดอกไม้ แต่ตกอกตกใจทันทีที่เห็นมันเกาะขอบประตู หรือทำรังบนต้นไม้หน้าบ้าน'
คุณลุงไอน์สไตน์ยืนแลบลิ้นล้อเล่นอยู่ปลายเตียง
'หนูจำไว้ให้ดีล่ะ...ถ้าเราเอาผึ้งออกจากผิวโลก เท่ากับเราเอาพืชพรรณหนึ่งแสนชนิดออกไปด้วย เพราะพืชเหล่านั้นไม่สามารถมีชีวิตอยู่อีกต่อไป วันใดผึ้งหมดจากโลก มนุษย์จะเหลือเวลาดำรงชีวิตอีก ๔ ปีเท่านั้น'
หญิงสาวตื่นขยับตัว อัจฉริยะทั้งสามเหมือนเพิ่งออกไป เธอได้กลิ่นหอมดอกไม้ ห้องนี้เจ้าของงดฉีดพ่นน้ำหอมปรับอากาศทุกชนิด ดอกประยงค์หรือกลิ่นน้ำผึ้ง เธอสูดหายใจลึกอีกครั้ง หอมกว่าเดิม หอมเสื้อ หอมผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน หมอน หอมอากาศรอบๆ ตัว
ก่อนนอนเธอเก็บขวดน้ำผึ้งไว้ในตู้ ไม่ได้ยินเสียงตกหรือขวดล้ม ในความมืดเธอลืมตา หึ่งห้อยเจ็ดแปดตัวบินใต้เพดาน อีกหลายตัวบินวนเวียนภายในห้อง ตึกสูงอย่างนี้หิ่งห้อยบินขึ้นมาหาอะไร พวกมันเข้ามาทางไหน
ครู่ต่อมาสายตาปรับเข้ากับความมืด ดอกไม้...ดอกไม้ต่างหาก ดอกประยงค์กระจายออกจากช่อลอยเข้ามานี่เอง เธอขยี้ตาให้แน่ใจ ลุกจากที่นอนเปิดม่านดูต้นประยงค์ ลมพัดหอบกลิ่นหอมฟุ้งแทรกบานเกร็ดเข้ามา ดอกประยงค์ยังเต็มช่อ ดอกไม้นั่นเอง ดอกไม้เปล่งแสงเรืองอร่ามบินได้ ดอกไม้หอมหวานบินได้ ดอกไม้ดอกหนึ่งบินตกบนไหล่ หญิงสาวจับเบาๆ กลีบดอกไม้นุ่มเนียน "ดอกไม้...ดอกไม้ประหลาด...”
หญิงสาวเดินเร็วๆ ไปที่ชั้นเก็บขวดลูกผึ้ง ขวดยังวางบนโต๊ะ ฝาขวดลืมปิดวางอยู่ข้างขวด เธอลืมเก็บเข้าตู้ ดอกไม้ดอกสุดท้ายโผบินออกจากขวดขึ้นไปรวมกลุ่มใต้เพดาน แสงสว่างวาบไหวเป็นสาย วินาทีนั้นหอมไกลคิดถึงธรรมชาติป่าเขา ดอกไม้อยากบินกลับไปที่นั่น เธอเปิดประตูห้อง ก้าวออกไปยืนที่ระเบียง ดอกไม้บินได้กลายร่างเป็นผึ้งบินตามกันเป็นสาย ลำแสงเหลืองอร่ามราวสายธารทองคำไหลข้ามตึกสูง อาคารบ้านเรือนหลากรูปทรง หลากสีสันนับพันนับหมื่น มุ่งตรงไปหาแสงวับๆแวมๆ กลางแนวป่ามักกะสันอันมหึมา
หญิงสาวมองลำแสงยาวเหยียดจนสุดสายตา ส่งยิ้มในความมืด หันหลังกลับเข้าห้องปิดประตู ค่อยๆ สูดกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้นานาพรรณ หอมราวดอกไม้ทั้งป่ามาเบ่งบานพร้อมกัน--- น่าแปลกใจ หอมไกลมองไม่เห็นเถาหรือลำต้น