9 พ.ค. 2020 เวลา 14:08 • การศึกษา

มองคนผ่าน Immigration Museum เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย

ท่ามกลางข่าวสารสงครามและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างจำกัดเฉพาะพื้นที่ในภูมิภาคหนึ่ง ๆ อย่างเมียนมาก็ดี หรือซีเรียก็ดี ตลอดช่วงเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมานี้ จากปมพื้นเพของปัญหาภายในประเทศนั้นเอง ไปจนถึงความเกี่ยวโยงพัวพันกับบรรดาเหล่าประเทศมหาอำนาจ มิตรสหายหรือศัตรูบนเวทีโลก เหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการเลือกของรัฐบาลที่จะตัดสินใจดำเนินนโยบายและ take action อย่างใดอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่าผลกระทบของการเลือกหรือไม่เลือก ไม่ว่าจะมีการประเมิน/คาดการณ์ผลลัพธ์และผลข้างเคียงไว้บ้างแล้วหรือไม่ ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ "ความรุนแรง" ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้คนที่อยู่รายล้อมเหตุการณ์สู้รบเหล่านั้น การหนีภัยเสี่ยงตายเป็นตัวเลือกหลักที่เหลืออยู่ เป็นสภาวะบังคับและความจำเป็นของการออกเดินทางแสวงหาที่ปลอดภัยกว่าสำหรับตัวเองและครอบครัว
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ "สากล" สำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะพื้นฐานที่สุด ใคร ๆ ก็อยากมีชีวิตรอด ปลอดภัย และมีชีวิตที่ดี
แต่การไหลทะลักของคนบนเหตุผลของการหนีตาย กลับกลายเป็นปัญหาวิกฤติมนุษยธรรม (Humanitarian Crisis) ที่นานาประเทศต้องตัดสินใจ ทั้งสำหรับตัวเองและการตัดสินใจร่วมกับประเทศอื่น ๆ ต้องเอาทุกอย่างที่ควรจะคำนึงมากางบนหน้าตัก หาความสมดุลของเหตุและผลว่าควรจะ "เลือก" หรือ "ไม่เลือก" ทำอะไร และอะไรคือหลักการหรือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับรัฐ ณ ห้วงเวลานั้น
แม้แต่หลักการบางช่วงบางตอนก็ปรับเปลี่ยนได้เมื่อเวลาเดินไปข้างหน้า แม้แต่หลักการบางช่วงบางตอนก็มีวาระเงื่อนงำที่แท้จริงซ่อนอยู่ ตราบเท่าที่มีคำว่า "ผลประโยชน์" จากหลากหลายกลุ่มให้ต้องทบทวนซ้ำไปซ้ำมา
แม้แต่หลักการบางช่วงบางตอนที่เป็นภาพฉายความเป็นสิทธิมนุษยชน ก็อาจเป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์ทดเลขสมการการให้ความช่วยเหลือ สิทธิประโยชน์ที่รัฐอาจให้ได้ในบางส่วน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของรัฐที่เต็มส่วน นำไปจัดสรรทรัพยากรเพื่อปกป้องคนในประเทศตัวเองมากกว่า แล้วแต่จะพิจารณาความสมดุลของ "ความมั่นคง" กับ "สิทธิมนุษยชน" หรืออะไรที่ควรจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาก่อนได้ย้ำว่าไม่ใช่คนทุกคนจะได้รับการยอมรับและต้อนรับอย่างเท่าเทียม เหมือนที่คำว่า "เชื้อชาติ" เคยเป็นหรืออาจจะยังเป็นสิ่งที่กีดกั้น 'คน' การได้รับ 'การปฏิบัติ' และยังเป็นสาเหตุหลักของการปฏิเสธไม่ให้คนเข้าเมือง เหมือนว่ามันเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของผู้ที่เดินทางจากมาเสียอย่างนั้น
อย่างไรก็ดี เราคงหวังได้ว่า สังคมจะไม่หยุดเรียนรู้จากบทเรียนและความผิดพลาด แม้จะต้องใช้เวลายาวนานร่วมหลักสิบปีหรือมากกว่านั้น เพราะวันหนึ่งเมื่อ mindset เดิมเปลี่ยนไป เหตุผลที่เคยเอาไปสนับสนุนนโยบายหนึ่งเพื่อกีดกัน ขีดกั้น หรือผสมกลืนกลาย (assimilation) ทั้งในแง่ของคนและพรมแดน ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย
วันหนึ่ง "หลักความรู้ความสามารถ" ก็ได้กลายเป็นของที่นานาประเทศพึงใจอยากให้สิทธิประโยชน์มากมายไว้ดึงดูดและแย่งชิงทรัพยากรมนุษย์จากทั่วทุกมุมโลก มาช่วยให้ประเทศตัวเองสามารถเดินหน้านำประเทศอื่น ๆ ไปได้
โดยที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไปพร้อมกับ "การอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน" (migration) ในฐานะประวัติศาสตร์วิถีชีวิตของคนเสมอมา ดำเนินต่อไปไม่ขาดหาย ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังเป็นความท้าทายในการบริหารจัดการของทุกที่ทุกแห่งหนที่เป็นเป้าหมาย ปลายทาง ทางผ่าน และต้นทาง เป็นการต่อสู้ทางอัตลักษณ์ (identity) และความคิดของตัวผู้ที่ออกเดินทางเอง เมื่อย่างก้าวถึงสังคมที่หมายด้วย
มองคนผ่านพิพิธภัณฑ์คนเข้าเมือง
ประเด็นที่เราจะชวนเล่าสู่กันฟังในวันนี้ คือเรื่องของ "ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน" (migrants) ด้วยความที่ออสเตรเลียเป็นประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก และค่อนข้างจะใกล้ตัว เป็นดินแดนใหม่ที่เริ่มต้นสร้างประเทศจากการเปิดรับให้ผู้คนอพยพ
โยกย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากมากว่า 200 ปีแล้ว ทำให้มีประวัติศาสตร์ การเรียนรู้ และพัฒนานโยบาย/กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องคนเข้าเมืองมาโดยตลอดหน้าประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศของเลยก็ว่าได้
สิ่งที่น่าประทับใจคือ ออสเตรเลียสามารถนำมาเรียบเรียงตามรายปี เล่าเป็นเรื่องราวได้เป็นฉาก ๆ ใน Immigration Musuem (พิพิธภัณฑ์คนเข้าเมือง) ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เห็นมุมของรัฐ และผลพวงจากสภาพการเมืองระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ มุมของการใช้ชีวิตและสิ่งที่คน ๆ หนึ่งต้องเผชิญด้วย มันจึงทำให้ผู้ที่เข้าชมได้รับรู้และสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของคน ๆ หนึ่งได้ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป และยังทำให้เข้าใจประเด็นเหล่านี้ได้มากขึ้น
พิพิธภัณฑ์คนเข้าเมืองเล่าอะไรให้เราฟัง
ภาพหน้าอาคาร Immigration Museum, Melbourne, Australia (2014)
ไม่ว่าคนที่เดินทางจะมาคนเดียว หรือมาเป็นครอบครัว บางคนอาจจะมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ขณะที่บางคนมีกระเป๋าเดินทาง แน่นอนว่าสำหรับการเดินทางครั้งนี้ มีสาเหตุของการเดินทางที่หลากหลายตามแต่ละสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา มีได้ทั้ง...
• การเดินทางกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว โดยระยะแรก ๆ อาจเป็นการกลับไป reunion กับเจเนอเรชั่นสมาชิกครอบครัวที่มาตั้งรกรากแล้วอยู่ก่อนหน้า
• โอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า ออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก่อร่างสร้างตัว มีทรัพย์สิน มีบ้าน มีงาน มีรายได้
• เสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรีโดย ได้รับความคุ้มครองและการยอมรับในสังคมที่มีขันติธรรมกับความแตกต่าง สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเลือกตั้งเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของตนเองและสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสังคมที่ตัวเองอยู่ เสรีภาพในการเลือกเคารพศาสนาและสิ่งที่ตัวเองเชื่อโดยไม่มีใครบังคับ โดยทั้งหมดนี้เปรียบเทียบกับเสรีภาพที่มีในประเทศที่จากมา
• สภาพอากาศ บางทีคนก็เลือกที่จะจากบ้านอย่างถาวรเพียงเพราะสภาพอากาศบ้านเกิดที่ร้อนไปบ้าง หรือหนาวไปบ้าง ไม่ถูกจริตกับความชอบส่วนตัวของตัวเอง
• สงครามและความขัดแย้ง, การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ, ภัยพิบัติทางธรรมชาติ, ความอดอยากและการบาดเจ็บล้มตาย ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รุนแรง ฉับพลัน และสาหัส กระทบชีวิตและความเป็นอยู่ของทุกผู้ทุกคนให้ต้องหนีภัยอย่างกระซ่านกระเซ็น หลีกเลี่ยงไม่ได้
คนกลุ่มนี้มักจะได้รับการกล่าวถึง รวมไปถึงการกำหนดมาตรการที่พิเศษ เฉพาะเจาะจง และแตกต่างกว่ากลุ่มที่เดินทางมาด้วยสาเหตุอื่น ๆ คนที่มีพื้นเพมาด้วยสาเหตุข้อนี้ ส่วนใหญ่มักจะไม่ใช้คำว่า migrants หรือ expat หรือ foreign worker หรือ oversea worker เวลาอ้างถึง แต่พวกเขามักถูกจัดสถานะแรกเริ่มเป็น "ผู้ลี้ภัย" (refugee) และ "ผู้แสวงหาที่พักพิง" (asylum seeker)
ภาพจาก Immigration Museum, Melbourne, Australia (2014)
หมายเหตุ:
เท่าที่มีเวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ยังไม่เห็นว่ามีการใช้คำว่า "คนที่เปราะบาง" แต่ในความหมายนั้น สำหรับผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิง เป็นหนึ่งใน "ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานที่เปราะบาง" (vulnerable migrants) ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมถึงคนประเภทอื่น ๆ ด้วย เช่น เหยื่อจากการค้ามนุษย์ เด็กที่ลี้ภัยหรือเดินทางมาคนเดียวไม่มีผู้ปกครองดูแล (unaccompanied minors) เป็นต้น ทั้งยังถือว่าเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะคร่อมเส้นระหว่างประเด็น "มนุษยธรรม" และ "อาชญากรรม" อยู่บ้าง
ในพิพิธภัณฑ์มีเพียงกล่าวถึงในแง่ผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย (illegal migrants) ขณะที่มีนโยบายการเปิดรับคนเข้าเมืองเท่านั้น ไม่ได้มีการพูดถึงประเด็นอาชญากรรมอื่น (เช่น การลักลอบขนคน ขนของต่าง ๆ)
วิธีการเดินทาง
ตามจริง มีผู้เริ่มอพยพมาออสเตรเลียตั้งแต่ช่วงปี 1788 (พ.ศ. 2331) ได้แก่ กลุ่มนักโทษชาวอังกฤษและผู้คุมนักโทษ ถือว่าเป็นการถ่ายเทคนล้นเกินกว่าที่พื้นที่จะรับไหวมายังดินแดนที่ยังว่างเปล่าเพื่อให้อยู่อาศัย แต่หากจะเริ่มนับจากช่วงที่เป็นการเดินทางไปตั้งรกรากโดยสมัครใจ (free settlers) ก็สามารถเริ่มนับได้ตั้งแต่ช่วงประมาณปี 1830 (พ.ศ. 2373) เป็นต้นมา
โดยการเดินทางตั้งแต่ก่อนปี 1830 จนถึงปัจจุบัน แรกเริ่มจากเรือประเภทต่าง ๆ ตามหน้าวิวัฒนาการของเรือ (เรือสำเภา เรือจักรไอน้ำ ฯลฯ) จนกระทั่งมาสู่ยุคของการเดินทางโดยเครื่องบิน อย่างที่เราทราบกันดีว่ามันเป็นความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดที่สามารถย่นระยะเวลาการเดินทางได้จากแรมปี แรมเดือน แรมวัน มาเป็นการเดินทางถึงที่หมายได้ในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง
มันได้ทำให้โลกเชื่อมโยงถึงกันได้รวดเร็วและง่ายมากขึ้น และด้วยอานิสงค์ของการมีเครื่องบินนี้เอง ก็ได้ทำให้ประเด็นเรื่องการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานนี้ รุดหน้า และกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ผู้ออกเดินทางจดจำจากวิธีการรวมถึงเส้นทางที่เดินทางไป คือประสบการณ์ระหว่างทางจากบ้านจนถึงที่หมาย อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ ตื่นเต้น หวาดกลัว หมดหวัง มีความหวัง หรือโล่งใจ... ที่มันคงจะพิเศษกว่าความรู้สึกของการเดินทางในฐานะนักท่องเที่ยวทั่วไป
ภาพจาก Immigration Museum, Melbourne, Australia (2014)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา