10 พ.ค. 2020 เวลา 07:47 • บันเทิง
คนกลางคืน
ตอน นักร้องคาเฟ่
โดย อนรรฆ
มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า
คำนี้คงจะคุ้นหูกันดี บางคนอาจจะเติมอีกประโยคว่า เสียงดัง ตังค์มา ก็ได้เชิญตามอัธยาศัย ก็แล้วกัน ชีวิตคนเราเลือกเกิดได้ที่ไหนล่ะแต่เลือกที่จะเป็นได้นี่นา
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน อาชีพที่ต้องดิ้นรน
เพื่อหารายได้ไปต่อลมหายใจให้ตนเองและครอบครัว อีกอาชีพที่การทำมาหากินต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมดินฟ้าอากาศ ไม่ว่าจะเป็น นักร้องตามวงดนตรีที่เดินสายโชว์ตามงานต่างๆทั่วประเทศ ลิเก หมอลำ ตลกตามวงดนตรี นักร้องวงอีเล็กโทน มายากล ฯลฯ
การทำงานกลางแจ้งในช่วงฤดูฝนถือได้ว่าเป็น อุปสรรค ในการทำมาหากิน
จึงมีกลุ่มนักลงทุนหัวใส ที่เล็งเห็นความเป็นไปได้ที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เข้ากระเป๋า จากกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้ จากร้านขายอาหารธรรมดา ก็ติดแอร์ ติดเครื่องเสียง ร้านเล็กๆก็จ้างได้ประมาณอีเล็กโทน กับนักดนตรี นักร้อง
สมัยนั้นมาทำงานค่าแรงเริ่มต้นที่ 70 บาทต่อคืน บางคนก็ไม่ได้ค่าแรงแต่ขอทำงานเพื่อได้ทิปจากแขกแล้วแบ่งให้ทางร้านหักหัวคิวไป จากการขายพวงมาลัยพลาสติก ที่ทางร้านจัดเตรียมไว้
ผลประโยชน์ต่างตอบแทน เป็นเรื่องธรรมดา ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เรื่องจริง
ทุกองค์กรจะมีการจัดตั้งหัวโขนขึ้นมาเพื่อปกครอง คนในหน่วยงาน บริษัท ห้างร้านของตน มีผู้จัดการสั่งงานออกกฏ มากดหัวนักร้องผ่านหัวหน้านักร้องอีกที เพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับไปสู่นายทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าหัวหน้านักร้องคนนั้นบ้าจี้ทำตามหมดไม่มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงาน งานนี้ล่ะบันเทิงแน่
ค่าแรงก็ต่ำ ทำงานก็หนัก ต้องตอกบัตรเข้างานตั้งแต่หกโมงเย็น มาสายนาทีแรกตัดเงิน ห้าบาท นาทีต่อไปนาทีละสองบาท จัดคิวร้องคิวละเพลงวนไปจนครบรอบ จนกว่าจะเลิกงานตีห้า สิ้นเดือนเงินเดือนไม่เหลือพอค่าเช่าห้องพัก ต้องเชียร์แขกซื้อดริ๊ง ซื้อพวงมาลัยคล้องให้อีกพวงละยี่สิบ
มีบังคับด้วยว่าในคืนนึงแต่ล่ะคนต้องได้สิบพวงขึ้นไป ส่วนแขกใจใหญ่คล้องมาลัยติดแบงค์ โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย ของร้านอีกร้อยละยี่สิบ ( หักหัวคิวนี่แล่ะ )ต้องนั่งดื่มเอาใจแขก บางคนต้องยอมอ๊อฟออกไปข้างนอกกับแขก เป็นเพื่อนเที่ยว เพื่อน...จะได้ล้วงกระเป๋าแขกที่เข้ามาให้ได้มากที่สุดทุกวิถีทาง ให้แขกกลับมาเที่ยวได้ทุกคืน
จนมีคำสบประมาท ดูถูกเหยียดหยามนักร้องคาเฟ่สมัยนั้นว่า กะหรี่ แมงดา ถือโน้ต ( ขออภัยที่ใช้คำแรงตรงไปตรงมา ) ทำให้คนอาชีพนักร้อง ที่ไม่ได้ทำตัวแบบนั้นพลอยเสียหายไร้เกียรติไปด้วย เมื่อเงินมา ผ้าก็หลุด เมื่อสุรามา สติสัมปชัญญะก็เตลิด ผิดถูกไม่รู้ รู้แต่ถูกใจ คิดต่อเอาเองละกัน...เฮ้อ
นักร้องคาเฟ่เล็ก นั่งวิน มอเตอไซค์ นักร้องคาเฟ่ใหญ่ๆขับรถเก๋งมาโชว์ เป็นแบบนั้นจริงๆนะ จะไม่รวยได้ไง พวงมาลัยคืนนึงอย่างไม่ได้นี่คืนละห้าพันถึงหมื่นเลยนะ
( ไม่ได้โม้ ) ยิ่งดาวน์คาเฟ่นี่ คืนนึงหลายหมื่น
จัดวันเกิดที ( เกิดจริงบ้าง อุปโหลก บ้าง )คืนเดียวหาได้หลายแสน บางคนเป็นล้าน
แต่อย่างว่า เงินที่ได้มา มันเป็นเงินร้อน ได้มาง่ายก็จ่ายไปง่าย บางคนหาเลี้ยงผัวเลี้ยงเมียเด็ก มันก็เอาไปเลี้ยงเด็กมันอีกต่อนึงก็เพราะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันในเวลากลางคืนกว่าจะเลิกงานกลับบ้านก็ตีห้า หกโมงเช้า เมากลับ หลับทั้งชุดนักร้องที่ปักเลื่อมเป็นลิเกหลงโรง หน้าไม่ล้างน้ำไม่อาบ ทั้งอวก เหม็นคลุ้งห้องเช่า กว่าจะตื่นก็เกือบค่ำเตรียมทำงานอีกละ คนที่มันอยู่ด้วยมันก็บอกว่าเหงา
ออกไปหากินข้างนอกดีกว่า ลงเอยที่สวมเขาให้แถมผลาญเงินที่หาได้จากการทุ่มเททั้งชีวิต คิดว่าเจอคนดี สุดท้าย ดีแตก หมดตัว เลิกรากันไป กรรมเวรแท้ๆ
ที่เล่ามาเป็นประสบการณ์ตรง
ไม่ได้นั่งทางในเขียนมา ยังมีอีกหลายแง่มุม
ที่เหตุเกิดจากคาเฟ่ ไม่ว่าเรื่องชู้สาว เรื่องฆาตกรรม ความรุนแรงต่างๆที่เกิดขึ้น สังคมแห่งผลประโยชน์ การเอารัดเอาเปรียบ นักเลง การพนัน ยาเสพติด อิจฉาริษยา แสดงออกชัดเจนไม่ต้องสวมหน้ากากเหมือนสาขาอาชีพอื่นๆ
ในดีมีเสีย ในเสียก็มีสิ่งดี ซ่อนอยู่ เพียงแค่เราจะนำสิ่งใดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า
ขอบคุณเจ้าของคาเฟ่ทุกแห่ง ที่เคยร่วมงานกัน ขอบคุณเพื่อนพี่น้อง ร่วมสายอาชีพ ที่เราได้รู้จัก คบหา ทั้งเพื่อนแท้ และ มิตรเทียม
ไม่ว่าคุณจะทำงานสาขาอาชีพอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ คุณรักในงานของคุณหรือเปล่า คุณซื่อสัตย์กับงาน กับคนที่คุณรักหรือไม่ นั่นต่างหากที่นำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง
ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ผิดพลั้งได้ แต่อย่าลืมกลับมาแก้ไขที่ตัวเราเอง ปิดคนอื่นได้แต่ใจคุณนั่นแล่ะเจ็บเอง ถ้าทำผิดมา
วันนี้คาเฟ่ ล่มสลาย ไปแล้ว
แต่ความทรงจำยังคงทำงานอยู่ สู้ๆต่อไปนะทุกคน ขอเป็นกำลังใจ ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันโดยเร็ววัน
รักคุณผู้อ่านทุกท่าน
ขอบพระคุณที่ติดตาม
อนรรฆ
อาทิตย์ ที่ 10พ.ค.2563
โฆษณา