11 พ.ค. 2020 เวลา 15:10 • สุขภาพ
ฉันเดินกลับบ้านหลังจากทำงานเสร็จ พูดกับตัวเองเสียงดังไปพร้อมๆกับมองคนรอบข้าง พยายามอธิบายสิ่งที่เห็นด้วยภาษาต่างดาวที่คนส่วนมากไม่น่าจะเข้าใจ ... ภาษาที่ไม่ได้ติดตัวมาแต่เด็ก แต่เป็นภาษาที่สามารถสะท้อนความรู้สึก และอารมณ์ได้ดีอย่างประหลาด จังหวะขึ้น ลง สอดรับกับเสียงสูงต่ำ ที่ประสานเป็นปี่ขลุ่ยกับเสียงรถราที่จอดเรียงรายติดกันอยู่ข้างถนน
'รถติดสิน่ะ... ฮึฮึ' ฉันกระหยิ่มใจว่าโชคดีที่เดินกลับบ้านได้
'ถ้านั่งรถกลับ คงถึงช้ากว่านี้แน่' คิดพลาง ปากก็ขยับ ขมุบขมิบไปพลาง พร้อมกับพร่ำบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่วิ่งวนอยู่ในหัว
ข่าวหนังสือพิมพ์ติดหราไม่กี่วันที่ผ่านมา บอกว่าสินค้าออร์แกนิกที่ถูกจัดเรียงยู่บนชั้นขายของในห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่ง ถูกตรวจพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินกว่าค่ามาตราฐานออร์แกนิกที่ถูกอ้างถึง หลายคนเอามาทำเป็นประเด็นถกเถียงกันซ่ะใหญ่โต ไม่ว่าจะเป็นทางสื่อต่างๆ วิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือมือถือจอขนาดเล็ก
'ฮึ...ฮึ...' ฉันกระหยิ่ม
และสะบัดเสียงพูดไปอย่างไม่ยี่หร่ะว่า อ่าว เพิ่งรู้กันหรอกหรือ คิดพลาง ปากเจ้ากรรม ก็เหมือนจะแสยะยิ้ม เย้ย ให้กับค่าความเป็น "ออร์แกนิก" ที่ถูกแอบอ้าง
น่าขันที่ว่าทำไมฉันถึงทำตัวเหมือนรู้ล่วงหน้า จริงๆแล้วถ้าจะว่าไปมันคงเป็นการคิดไปถึงสาเหตุตั้งต้นของความออร์แกนิก
ในความคิดฉัน ความเป็นออร์แกนิกที่แท้จริงนั้นมันตั้งต้นด้วยปรัชญา ปรัชญาของออร์แกนิกมันคือการหวนกลับไปสู่ความเป็นธรรมชาติดั้งเดิมให้มากที่สุด ย้อนกลับไปดูว่าคนโบราณเค้าปลูกพืชอย่างไร ทำอย่างไรให้ดินสมบูรณ์ตามธรรมชาติของมัน
ในโลกที่สารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้ายังไม่เป็นที่รู้จัก การหาเมล็ดพันธุ์ที่เป็นพันธุ์พื้นบ้านที่เหมาะสมกับสภาพดินฟ้าอากาศเป็นการเพาะปลูกที่พึ่งพาธรรมชาติล้วนๆ การสร้างบรรยากาศให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช เรื่องราวของการปลูก การหว่าน หรือเป็นเรื่องราวของนก ของหนูที่วิ่งไปมากินผลไม้และปล่อยเอาเมล็ดพันธุ์ให้กระจายไปยังที่ต่างๆ
เรื่องราวของผู้คนที่ผ่านเข้ามาทำในวงจรการปลูกเรื่องราวเหล่านี้ มันหายไปนานแล้ว ตั้งแต่การเข้ามามีส่วนร่วมของพ่อค้าคนกลาง การตัดตอน ต่อ เติม เรื่องราวเพื่อเน้นค้ากำไร ทำให้ผู้บริโภคสมัยแดกด่วนหันมาพึ่งมาตราฐานเหล่านี้แทน
เพราะไม่แน่ใจในความสัตย์ของพ่อค้าคนกลาง
เพราะไม่ได้ฟังเรื่องราวการปลูกจากปากของผู้ผลิต
เพราะไม่เห็นสีหน้าความจริงใจของคนปลูก
เพราะสังคมแห่งความหวาดกลัวทำให้ความเชื่อใจระหว่างผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และ ผู้บริโภค ขาดหายไป
กระนั้นก็ตาม มาตราฐานความเป็นออร์แกนิก ก็ถูกฉีกออก ด้วยน้ำเงินที่หลั่งไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมออร์แกนิกที่เนื้อหอมยิ่งกว่าหมู่ภมรที่รุมตอมเกสรดอกไม้
ว่าแล้ว ฉันก็คิดไปถึงตอนเด็กที่ฉันมีหน้าที่ไปจ่ายตลาดกับแม่ทุกวันเสาร์ ที่ตลาดสดแถวบ้านที่ต่างจังหวัด แม่มักอุดหนุนชาวเขา ที่ขับรถกระบะคันโตขนผักผลไม้ลงมาจากบนดอย แครอทที่มีคราบดินติดอยู่ถูกบรรจุในกระสอบพลาสติกใบใหญ่ กระสอบละ 10 โล ซึ่งแม่ก็จะเหมามาถุงสองถุงกลับบ้าน เพื่อมาคั้นน้ำแครอท นอกจากนั้นยังมีผักกาดกวางตุ้ง หัวหอม ผักกาดแก้ว และผักเมืองหนาวอีกสารพัด ทุกครั้ง แม่ก็จะคุยกับชาวดอยว่าปลูกยังไง ที่ไหน ใส่สารรึเปล่า บลาๆๆ
ฉันอาจโชคดี เพราะแม่ให้ความสนใจกับอาหารพอสมควรก็เลยได้ซึมซับมาบ้างตั้งแต่เด็ก นอกจากชาวเขาแล้ว แม่ก็ยังชอบคุยกับบรรดาคนเฒ่าคนแก่ ที่หอบผักที่มันขี้นเองตามริมรั้วหรือตามคลองเล็กๆหลังบ้านมาขาย ผักตำลึง ผักบุ้ง โหรพา สะระแหน่ ดอกแค ฟักทอง และอีกสารพัดผัก ผักเหล่านี้อาจไม่ได้สวยบางทีก็มีรูบ้างไรบ้าง แต่แม่ก็ซื้อ อาจเพราะอยากอุดหนุนคนรุ่นส.ว. และราคาก็ถูกมาก เหมือนให้เปล่า
พอเราซื้อหนึ่งอย่าง แกก็มักแถมนู้นแถมนี้ให้เพิ่ม ฉันเคยถามยายคนหนึ่งว่า ยายขายอย่างนี้แล้วจะได้กำไรพอมีกินเหรอ ยายคนขายบอกว่า เอาไปเถอะหนู มันขี้นมาเอง ยายไม่เก็บมาขายก็รกบ้าน กินเองที่บ้านก็เก็บกินไม่ทัน เอามาขายไปแถมไป ถือว่าแบ่งๆกัน ยายเก็บมาขายอย่างนี้ก็สนุกดี ได้ออกกำลังกายไปด้วย เดี๋ยวก็ตายแล้ว มีความสุขกับตอนนี้ดีกว่า
ระหว่างนั้นความทรงจำสมัยยังเรียนเศรษฐศาสตร์ก็ผุดขี้น เป็นระลอก ระลอก ในห้องเรียน อาจารย์บอกเราว่ากราฟอุปสงค์อุปทานมันต้องตัดกัน เพื่อทำให้เกิดการซื้อขายทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ขายและผู้ซื้อก็ควรต้องได้รับหน่วยอรรถประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างพอใจ และทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบในการแลกเปลียนนั้นๆ
ในกรณีของห้างสรรพสินค้าหน่วยอรรถประโยชน์นั้น สามารถวัดตามกลไกตลาด รายได้ หักรายจ่ายออกเป็นผลกำไร
แต่ในกรณีของยายนั้นหากไม่นับค่าเช่าที่ในตลาด ประมาณ 20 บาทต่อวัน แกก็ไม่มีต้นทุนในการผลิต และที่แปลกแยกคือหน่วยประโยชน์ที่แกได้จากการขาย นอกจากรายได้ที่เป็นค่าเงินแล้ว แกก็ได้ความสุข ได้ทำให้บ้านแกสะอาดขี้น ทำให้แกได้ออกกำลังกาย ได้มาพบปะสังสรรค์กับผู้คน นั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม แกถึงขายผักได้ในราคาที่ถูกสุดๆ
จำได้ว่าครั้งหนึ่งสมัยที่ฉันเคยทำงานในร้านอาหารในต่างแดน มีคุณลุงลูกค้าฝรั่งมานั่งทาน แกดูเป็นคนตัวไม่ใหญ่มาก แต่ดูทะมัดทะแมง ตาโตสีฟ้าเป็นประกาย
ด้วยความที่ไม่มีลูกค้าอื่นอยู่ที่ร้านทำให้ฉันเจ๊าะแจ๊ะตามประสา หลังจากที่คุยกันไปมาพักใหญ่ ลุงแกก็เผยตัวว่าแกเป็นเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองที่ไม่ได้ไกลออกไปนัก แกบอกว่า "ออร์แกนิกเหรอะ มันก็แค่ภาพลักษณ์เท่านั้นแหล่ะ สิ่งที่ผมทำ มันยิ่งกว่าออร์แกนิกซ่ะอีก" คุณลุงกล่าวอย่างหนักแน่น พร้อมให้เหตุผลว่า ผักทุกอย่างที่ปลูกที่ฟาร์มแกล้วนแล้วแต่ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนลูกหลาน โดยลูกแก แฟนของลูก เพื่อนของลูก มาช่วยกันลงแขก
แกไม่ได้สนใจว่าจะต้องได้มาตราฐานออร์แกนิกเพราะการขอจดมาตราฐานไม่เพียงแต่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขี้น (การขอจด USDA Organic ในฟาร์มอย่างแกมีค่าใช้จ่ายปีละเกือบล้านบาทเลยทีเดียว) แต่ยังทำให้ราคาสินค้าของแกสูงขี้นมาก จนคนทั่วไปไม่สามารถซื้อหาสินค้าของแกได้ด้วย
นอกจากนี้แกก็ไม่เห็นถึงความสำคัญว่าต้องหาที่จัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าให้ใหญ่โต แกบอกว่า มีกลุ่มคนที่เข้าใจ และเชื่อใจในการปลูกของแก ซึ่งคอยอุดหนุนกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว
แกแนะว่าแกขายของผ่าน Farmers' Market (ตลาดนัดเกษตรกร) ซึ่งต้องการสนับสนุนให้ผู้บริโภคได้ซื้อขายจากเกษตรกรโดยตรง รวมถึง CSA (Community Supported Agriculture) ซึ่งเป็นคล้ายๆเครือข่ายการสนับสนุนการเกษตรที่จะทั้งกลุ่มจะไปเหมาผลิตภัณฑ์ฟาร์มมาทั้งปี โดยที่ทางฟาร์มจะส่งผักผลไม้ที่ได้ตามฤดูกาลไปให้สมาชิกอาทิตย์ละครั้ง ด้วยการสนับสนุนจากชุมชนเช่นนี้ ทำให้ฟาร์มของแกอยู่ได้ แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็อยู่อย่างมีควาสุข เพราะเหมือนเป็นการเผยแพร่ปรัชญาออร์แกนิกไปในตัว
ว่าแล้ว ความรู้สึกคิดถึง Farmers' Market ในเมืองนอกก็ผุดขี้นมาจนฉันรู้สึกจุกอก ตลาดที่จัดขี้นบนลานโล่งแจ้ง หรือทางข้างถนน ไม่ว่าหน้า ฝนหน้าหนาว แดดจะออก หิมะจะตก ทุกๆวันอาทิตย์ ชาวบ้านร้านช่อง เกษตรกร หรือคนธรรมดา ก็จะมารวมตัวกันในที่ที่นัดไว้แล้วเปิดหลังรถขายของขี้น บางคนก็ขนของมาเต็มกระบะ แล้วก็โยนผักผลไม้มาให้คนที่จะมาซื้อได้ชิม ไม่มีการแต่งตัวสวยงามใดๆจากผู้ขาย ไม่มีการเช็ดพืชผลแบบเช็ดแล้วเช็ดอีก เพราะบางรายก็เพิ่งเด็ด ขุด เอาพืชพันธุ์ของตนเองออกมาเมื่อตอนเช้าของวันนั้นเอง หัวแครอทยังมีคราบไคลของแผ่นดินที่พึ่งจากมา  ผลไม้ก็จะมีให้ชิมเป็นหย่อมๆ ลูกที่สุกเต็มที่ ดูเหมือนจะเริ่มเน่า เป็นลูกที่หวานที่สุด และก็ราคาถูกที่สุด เพราะต้องรีบขายให้ออก
สินค้าอื่นมีทั้งแยม โยเกิร์ต ขนมปัง ซึ่งก็จะมีเต้นท์เป็นของตัวเอง เมื่อคนขาย พบคนซื้อ บทสนทนาที่มาที่ไปของอาหารต่างๆก็เกิดขี้นอย่างช่วยไม่ได้ นั้นเอามาจากไหน ปลูกยังไง เนื้อหมูนี้ออแกนิกหรือเปล่า ทำไมถึงออร์แกนิก ทำไมถึงไม่ทำออร์แกนิก ให้อะไรเป็นอาหารไก่ ผลไม้นี้ตอนปลูกใช้อะไรเป็นปุ๋ย เอาไปทำอะไรกินดี ส่วนไหนที่อร่อยที่สุด นมนี้เป็นหางนมหรือไม่ ชีสนี้ใช้นมแพะ หรือนมวัว ขนมปังนี้ใช้แป้งอะไรทำ คนแพ้ Gluten ทานได้มั้ย บลา บลา บลา ทุกครั้งคำถามล้วนถามมาด้วยคำอธิบายยาวเหยียด พร้อมกับเหตุผลที่ทำให้ฉันสัมผัสได้ดีถึงหยาดเหงื่อ แรงงาน ความภูมิใจ และความรู้สึกผูกพัน ที่คนขาย มีต่อผลผลิตของเขา
ว่าแล้วฉันก็ย้อนกลับมามอง Farmers' Market ในบ้านเรา หลังจากที่ได้คลุกคลีกับ Farmers' Market มาพักหนึ่ง ฉันพบว่ามันไม่ได้เป็น ตลาดของเกษตรกรตรงตัวแบบที่เราเข้าใจกันซ่ะทีเดียว มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ขายผลิตผลทางการเกษตรตรงๆ ส่วนใหญ่แล้วสินค้าที่ขายมักเป็นอาหารแปรรูป ทั้งของกินเล่น เครป ขนมปัง วัฟเฟิ้ล ชา กาแฟ ไอศกรีม เบอร์เกอร์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมความงาม หรือตกแต่งซึ่งล้วนแล้วแต่เน้นสินค้าทำมือให้เข้ากับรสนิยมต่างชาติ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาอาศัยในเมืองไทย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นคนไทยที่ฉันสามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเหล่านั้น เป็นผู้มีอันจะกินและมักส่งสำเนียงภาษาต่างชาติอยุ่เป็นนิจ แน่นอนว่าการผลิตสินค้าเพื่อเอาใจคนกลุ่มนี้ ผู้ผลิตขาย ย่อมต้องมีต้นทุนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพย์ หรือ ต้นทุนความรู้ ซึ่งไม่เป็นแต่เพียงความรู้ในการผลิต แต่เป็นความรู้ทางวัฒนธรรม และคนเหล่านี้เองกลายเป็นกำลังสำคัญทำให้ Farmers' Market เป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางสังคมเมืองกรุง
ขณะเดียวกันกับที่ตลาดเกษตรกรแห่งนี้เริ่มมีชื่อเสียงขี้น บริษัทเกษตรกรรมยักษ์ใหญ่ในเมืองไทยที่ค่อยๆกินรวบทั้งระบบการผลิต การค้าส่ง และค้าปลีก ก็เล็งเห็นช่องทางการขายแบบใหม่ ที่ให้กำไรดีกว่าสินค้าเดิม จึงได้แฝงตัวมาในนามเกษตรกรรายย่อย และขายสินค้าของตนเองอย่างภาคภูมิใจว่า ตนเองก็เป็นออร์แกนิกเช่นกัน เมื่อฉันระแคะระคายและสืบค้นต้นตอจนเจอ ความรู้สึกกระอัก กระอวน ก็เอ่อขี้นอย่างไม่ได้จงใจ อาจเป็นเพราะความออร์แกนิกมันซื้อได้ด้วยเงินไปเสียแล้ว และ "เงิน" มีค่ามากกว่า"ปรัชญา"ที่ฉันเคารพหรือเปล่า ที่คิดว่า "เงิน" สามารถ "ซื้อ" ปัจจัยการผลิต ตั้งแต่ "ที่ดิน" "นักวิชาการ" "แรงงาน" "วัตถุดิบ" เพื่อเอามาสร้างความร่ำรวยให้เพิ่มขี้นได้ ... อย่าง "ง่ายดาย"
ไหนหล่ะ หยาดเหงื่อแรงงานของคนผลิตที่ฉันอยากสนับสนุน "เงิน" ของฉันจะถูกนำไปใช้เพียงเพื่อต่อ "เงิน" ให้คนอื่นที่ไม่ได้ขัดสนอะไรเท่านั้นหรือ แล้วความภูมิใจที่ฉันอยากมอบให้แรงงาน เหมือนกับคุณลุงเจ้าของฟาร์มคนนั้นมันอยู่ไหน ฉันรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง มันช่วยไม่ได้ ก็เมื่อความคิด จินตนาการ มันสวนทางกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
"หึ...หึ" ฉันหัวเราะให้กับตัวเอง พร้อมๆกับหัวเราะให้กับแผ่นดินที่ฉันเติบโตมา ยังอีกไกลซินะ... ที่คนจะเห็นออร์แกนิกเป็นปรัชญามากกว่าเป็นเพียงสินค้าสุขภาพ
ยังอีกไกลซินะ... กว่าปรัชญาจะแทรกซึมให้เข้าไปถึงเบื้องลึกในใจของคนไทย
ยังอีกไกลซินะ... ที่แรงงานจะได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่าเม็ดเงิน
ยังอีกไกลซินะ... ที่ตราออร์แกนิกจะสิ้นความหมายเพราะความเชื่อใจที่เพื่อนมนุษย์มีให้แก่กัน
ยังอีกไกลซินะ... ที่ Farmers' Market จะเป็นของทุกคน เพื่อทุกคน อย่างแท้จริง
ฉันคงได้แต่เพียงหวังว่า "วันนั้น" จะมาถึง ก่อนที่ "อะไร" จะสายเกินไป แต่กว่าวันนั้นจะมาถึงฉันขอกลับไปพักใจที่บ้านนอกซักพัก ไปชมวิถีออร์แกนิกที่ไม่ได้ตั้งใจจากยายที่เก็บผักบนรั้วบ้านมาขายในตลาดสดก่อนไม่ดีกว่ารึ คิดพลาง ฉันก็พบว่าสองขานั้นก็พาตัวเองมายืนหยุดอยู่ที่ประตูหน้าบ้านพอดี...บางทีการเดินมันก็เร็วกว่าการนั่งรออย่างน่าเบื่อบนรถซังกะบ๊วยท่ามกลางการจราจรที่ติดแหง็กของเมืองกรุง...
โฆษณา