12 พ.ค. 2020 เวลา 06:47 • ประวัติศาสตร์
คลองสุเอซ ประตูสู่ทวีปยุโรป
คลองสุเอซ เป็นเส้นทางเดินเรือที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับเรือพระที่นั่งซัคเซนจากศรีลังกา ล่องผ่านอ่าวเอเดน และทะเลแดง ในครั้งนั้น พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือซัคเซนล่องไปตามคลองสุเอซ แทนการประทับรถไฟพระที่นั่งที่ทางการอียิปต์จัดถวาย เนื่องเพราะทรงสนพระทัยที่จะทอดพระเนตรและศึกษาคลองสุเอซแห่งนี้ให้ลึกซึ้ง
พระราชหัตถเลขาไกลบ้าน ฉบับที่ ๖ ได้บันทึกถึงบรรยากาศท่าเรือเมืองปอร์ตซาอิดไว้ว่า..
พระรูปหมู่ถ่ายบนเรือซัคเซนเมื่อใกล้จะเข้าเทียบท่าเรือเมืองปอร์ตซาอิด ประเทศอียิปต์
“เรามาถึงบ่าย ๕ โมง แต่ที่นี่กลางวันมันมากขึ้นมาทุกทีหนาวก็มากขึ้นทุกที ปรอดในแคบิน ๗๑ กลางแจ้ง ๖๘ เรือค่อยๆ เลื่อนเข้ามา พ่ออยู่บนสะพาน เห็นแปลกแต่ตอนข้างขวามือ การขุดอ่าวจอดเรือเห็นจะมีมากขึ้นสักหน่อย การที่รู้ว่าขุดไม่ขุดนั้นใช่จะเห็นเปนน้ำเปนดินอะไร ที่ตรงไหนเปนน้ำแลเห็นเปนน้ำไม่มีทรายปริ่มๆ แปลว่าตรงนั้นขุด ถ้าไม่สังเกตก็คล้ายกันทั้งบกฤๅน้ำ แต่ข้างซ้ายมือนั้นเปนที่มีตึกรามเปนตัวเมือง มีขุดเข้าไปเป็นอ่าวๆ สำหรับจอดเรือ มีเรือรบไอรอนแคลดอิตาลีลำหนึ่ง อังกฤษลำหนึ่ง มีทหารยืนคำนับทั้งสองลำ ด้วยในคลองเขาห้ามไม่ให้สลุด แต่เมืองสลุดข้างริมทะเลได้ยินเสียงเบาๆ จอดที่ตรงหน้าตึกของบริษัทคลองซึ่งมีโดมหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียว หมอลงมาตรวจก่อนแต่พ่อไม่ทึ่งหมอด้วยเห็นเสียแต่กลางคืนแล้ว มาทำอะไรบ้างก็ไม่ทราบ เจ้าบ้านผ่านเมืองรถรัถอะไรลงมาคอยพร้อมอยู่ที่ท่า....”
ร้อยกว่าปีผ่านไป ภาพความคึกคักของเรือสินค้า ยังแสดงถึงความสำคัญในฐานะเมืองท่าขนส่งสินค้าไม่ได้ลดบทบาทเฉกเช่นเดียวกับบรรยากาศเมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงบันทึกไว้เมื่อคราวที่เสด็จพระราชดำเนินมาถึงเมืองแห่งนี้
ในพระราชหัตถเลขาไกลบ้าน เมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินถึงเมืองปอร์ตซาอิด ประเทศอียิปต์ มีข้อความเล็กๆ ที่กล่าวถึงเมื่อเรือซัคเซนเข้าจอดเทียบท่า ความว่า... “จอดที่ตรงหน้าตึกของบริษัทคลองซึ่งมีโดมหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียว”
ภาพเปรียบเทียบ : ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ อาคารบริษัท คลองสุเอซ กับภาพอาคารเดิมที่ผ่านกาลเวลาร้อยกว่าปีผ่านมา
อาคารนี้เอง ได้ปรากฏในภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกด้วย
บริษัทคลองซึ่งมีโดมหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียวนั้น เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วคืออาคารที่ทำการสำนักงานใหญ่ของ “บริษัท คลองสุเอซ จำกัด” บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2397 โดยเฟอร์ดินานด์ เดอ เลสเซป วิศวกรและนักการทูต ชาวฝรั่งเศส ได้เจรจากับ มูฮัมมัด ซาอิด ปาชา อุปราชของอียิปต์ ขอจัดตั้งบริษัทเพื่อขุดคลองสุเอซ โดยได้รับสัมปทานเป็นเวลา 99 ปี นับจากวันที่เริ่มเปิดใช้คลอง
ในระยะแรกเริ่มนั้น บริษัทคลองสุเอซนี้มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพียง 2 ชาติคือ ฝรั่งเศสกับอียิปต์ จนกระทั่งปี พ.ศ.2418 รัฐบาลอังกฤษได้รับซื้อหุ้นจากอุปราชอิยิปต์ไว้ทั้งหมด จึงได้มีส่วนเข้ามาบริหารกิจการบริษัทร่วมกับฝรั่งเศสแทนที่อิยิปต์ที่ขายหุ้นไป
คลองสุเอซ กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจแห่งหนึ่งในยุคโลกการเดินเรือ หากเปรียบเทียบระยะทางการเดินเรือผ่านทางคลองสุเอซ กับการเดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป (ทวีปแอฟริกา) กล่าวคือ การดินทางผ่านคลองสุเอซสามารถประหยัดเวลาได้ 22- 88 % หากเทียบกับการเดินเรือในเส้นทางที่ต่างกัน เราช่วยย่นระยะได้ 22% ในระยะทางระหว่างเมืองท่ารอตเตอร์ดัม ในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ กับเมืองโตเกียวในภูมิภาคตะวันออกไกล และในกรณีของการเดินทางจากเมือง Jeddah ที่ทะเลแดงไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้น เราสามารถย่นระยะได้มากถึง 88 % ดังนั้น คลอสุเอซจึงช่วยลดทอนเวลาของการเดินทางโดยเรือได้ 22 – 88 % ช่วยประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนของการเดินเรือ อีกทั้งยังทำให้บริษัทเจ้าของเรือมีกำไรเพิ่มขึ้น
ด้วยความที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทำให้ในอดีต เกิดวิกฤตการณ์จากสงครามหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา จนกระทั่งหลังสงครามระหว่างอียิปต์และอิสราเอล ในปี พ.ศ.2499 อิยิปต์ได้ประกาศยึดคลองสุเอซเป็นของรัฐ โดยอ้างว่า เพื่อนำรายได้ที่จะเก็บจากค่าธรรมเนียม การใช้คลองไปใช้เป็นทุน ในการสร้างเขื่อนไฮห์อัสวาน ในอิยิปต์ ทำให้เกิดวิกฤติการณ์คลองสุเอซขึ้น เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างอังกฤษกับฝรั่งเศสไม่ยอม อิสราเอลถือโอกาสส่งกองกำลังเข้าไปยังแหลมไซนาย ส่วนอังกฤษและฝรั่งเศส ก็ยกพลขึ้นบกที่เมืองพอร์ตซาอิด
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์คลองสุเอซ ทรงถ่ายจากบนเรือซักเซน ระหว่างทางสู่ปอร์ตซาอิด
เวลาเริ่มสุกงอมจวนเจียนจะเข้าสู่สงคราม องค์การสหประชาชาติจึงได้เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ ทำให้อิสราเอล อังกฤษ แลฝรั่งเศสถอนกำลัง ธนาคารโลกได้เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ย จบลงตรงที่บริษัทฯ ได้ทำสัญญากับรัฐบาลอิยิปต์ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2501 แต่รัฐบาลอิยิปต์ต้องจ่ายเงินชดเชย ให้บริษัทเป็นจำนวน 28.3 ล้านปอนด์อิยิปต์ หรือ 81.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลกกับการได้ครอบครองผลประโยชน์การเดินเรือในคลองสุเอซแต่เพียงผู้เดียว
.
เมื่อครั้งที่ได้ก้าวตามรอยพระบาทมายังเมืองปอร์ตซาอิดในปัจจุบัน ก็พบบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบไม่หลงเรือร่องรอยให้ได้เห็น โรงแรมอีสเทอร์น เอ็กซเชนจ์ ที่พระ องค์เคยเสด็จมาประทับกลับกลายสภาพเป็นอาคารสำนักงานของธนาคาร เช่นเดียวกับเรือนรับรองของเจ้าเมืองพอร์ต ซาอิด ก็ถูกรื้อถอนไปและสร้างมัสยิดหลังใหม่ขึ้นแทนที่
รวมทั้ง “ตึกของบริษัทคลองซึ่งมีโดมหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียว” ซึ่งเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทคลองสุเอซ บัดนี้ถูกลดบทบาทเป็นเพียงสำนักงานสาขาที่ดูแลเฉพาะเมืองท่าปอร์ตซาอิดเพียงอย่างเดียว ส่วนสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองอิสไมเลีย ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางของคลองสุเอซ นั่นเอง
หลังจากที่ประทับอยู่ที่ปอร์ตซาอิด สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระที่นั่งซัคเซนเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน เพื่อไปยังประเทศอิตาลี นับได้ว่าเมืองปอร์ตซาอิด แห่งนี้ เปรียบได้กับประตูสู่ทวีปยุโรปอย่างแท้จริง
โฆษณา