12 พ.ค. 2020 เวลา 09:54 • ความคิดเห็น
Circle (ปริศนาจิตเชื่อมโลก) <<มีสปอยล์>> ดูซีรีส์เกาหลีแล้วมอง new normal บางเรื่องหลังโควิด-19 บ้านเรา
เพิ่งได้ดูซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้จบหมาด ๆ ครับ เป็นเรื่องราวของคู่แฝดเด็กชายกับมนุษย์ต่างดาวสาวที่เรื่องดำเนินขนานกันในโลกเดียว (หาใช่โลกคู่ขนานอย่าง The King ซีรีส์บัดนาวไม่) แต่เซอร์เคิลแบ่งเป็นสองช่วงเวลา (ปี) โดยในแต่ละตอนแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกหรือ part 1: Beta Project เกิดขึ้นเมื่อปี 2017 ที่ปูเรื่องชีวิตของครอบครัวเด็กชายคู่แฝดคิมบอมกยุนผู้พี่กับคิมอูจินผู้น้องในวัยเด็กที่บังเอิญไปเจอปรากฎการณ์มนุษย์ต่างดาวสาวหลุดมายังโลกเป็นลูกไฟสว่างจ้าในระหว่างสองพี่น้องขี่จักรยานจะกลับบ้าน (คือหลุดมาคล้ายคนเหล็กเทอร์มิเนเตอร์ประมาณนั้น😱) พ่อเด็กที่เป็นนักวิทยาศาสตร์พามนุษย์ต่างดาวสาวหรือบยอลกลับบ้านมาอยู่กับครอบครัวที่มีตัวเอง ย่าเด็ก และเด็กชายสองคน แม่เด็กนั้นเสียชีวิตแล้ว
บยอลจะมีความรักและสนิทสนมกับอูจินมากกว่าบอมกยุนในวัยเด็ก เธอปกป้องอูจินจากอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งชนร้านไอศกรีม (ในขณะที่พ่อปกป้องบอมกยุน) และเมื่ออูจินบ่นคิดถึงแม่ เสียดายที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ บยอลก็ใช้วิทยาการต่างดาวที่ติดตัวมาสร้าง memory box ให้อูจิน โดยพาสเวิร์ดการเข้าถึงกล่องนี้คือตัวอูจินเอง ซึ่งกล่องความทรงจำนี้มีบทบาทมากในส่วนที่ 2
ประเด็นแรกของส่วนที่ 1 ที่สำคัญคือ การที่พ่อรู้ถึงความสามารถที่บยอลมี พ่อจึงพาบยอลออกไปจากบ้านแล้วไม่กลับมาเลย ทิ้งคู่แฝดไว้กับย่ารวมถึงทิ้งรอยแผลไว้ในใจของแฝดผู้พี่บอมกยุนอย่างไม่เลือนหายว่ามนุษย์ต่างดาวพรากพ่อของเขาไป ทำให้บอมกยุนต้องเข้าบำบัด มีอาการหลอน หมกมุ่น และต้องถูกจำคุก ทิ้งภาระในบ้านรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาย่าที่เป็นโรคความจำเสื่อมไว้บนบ่าของอูจินที่มีอายุเพียง 21 ปีเพียงคนเดียว
ประเด็นที่สองคือในมหาวิทยาลัยที่อูจินเรียนอยู่มีฆาตกรรมเกิดขึ้นหลายราย แต่ละรายมีความเหมือนสำหรับเหยื่อคือปวดศีรษะและมีเลือดกำเดาไหลจนต้องฆ่าตัวเองตาย ไม่มีใครเชื่อว่าเหยื่อถูกฆาตกรรมนอกจากบอมกยุนที่ออกจากคุกมาสักพัก มินยองเพื่อนสาวที่แอบชอบบอมกยุน และฮันจองยอน (เธอคือเอเลี่ยนสาวบยอลที่หน้าตาและรูปลักษณ์ไม่เปลี่ยนแต่เธอถูกลบความทรงจำไปแล้ว) ตัวการในการฆาตกรรมลักพาตัวบอมกยุนไป เป็นเหตุให้อูจินต้องร่วมมือกับจองยอนเพื่อสืบหาพี่ชายฝาแฝดที่นำไปสู่ความลับต่าง ๆ รวมถึงกล่องความจำที่บยอลสร้างไว้ก่อนเธอจะหายไปพร้อมกับพ่อของคู่แฝด
ส่วนที่ 2 ในแต่ละอีพี จะชื่อว่า The Brave New World เป็นเรื่องของเกาหลีในปี 2037 ที่เกาหลีใต้ถูกแบ่งออกเป็นสองเมืองคือเจนเนอรัลซิตี้กับสมาร์ทซิตี้ ที่เจนเนอรัลซิตี้บ้านเรือนจะพังทรุดโทรม ไม่ทันสมัย และมลพิษด้านฝุ่นเยอะจนผู้คนต้องใส่หน้ากากไว้ตลอดจนกว่าจะมีประกาศเตือนสภาพปกติของอากาศจึงจะถอดหน้ากากออกได้ ในขณะที่สมาร์ทซิตี้นั้นสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะ อากาศดี ฟ้าใส คุณภาพชีวิตดีกว่า และพลเมืองเป็นผู้ที่ถูกเลือกมาอยู่โดยต้องถูกฝังชิพสงบจิต ซึ่งชิพพิเศษนี้ถูกควบคุมโดยองค์กรเอกชนชื่อ Human B ที่ผู้ถูกฝังชิพสามารถถูกฮิวแมนบีลบ ล็อค บล็อก บันทึก และอ่านความทรงจำได้ และเป็นเมืองปลอดอาชญากรรมนับต่อเนื่องมา 5,000 วัน แต่ทว่าวันที่ 5,000 นั้นเอง นักสืบคิมจุนฮยอกผู้มีอาการของความทรงจำหายที่อาศัยอยู่ในเจนเนอรัลซิตี้พบว่ามีการเกิดอาชญากรรมขึ้นในสมาร์ทซิตี้ จึงขอเข้ามาสืบโดยมีเจ้าหน้าที่อีโฮซูของสมาร์ทซิตี้เป็นพาร์ทเนอร์และเพื่อมาค้นหาเด็กแฝดคิมบอมกยุนกับคิมอูจิน โดยหารู้ไหมว่าตนเองนั่นแหละคือแฝดพี่บอมกยุน
จึงเป็นเรื่องราวที่ส่วนที่ 1 - น้องตามหาพี่ กับส่วนที่ 2 - พี่ตามหาน้องชาย เรื่องที่เดินกระชับ น่าติดตามตลอด 12 ตอน การแสดงที่ทรงพลัง ข้อคิดที่แฝงในเรื่อง ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นซีรีส์ในดวงใจอีกเรื่องไปเลยครับ ตอนจบก็จบดีเสียด้วย มีข้อสงสัยบางประการแต่ไม่ใช่สาระสำคัญที่ลดคุณค่าของซีรีส์เรื่องนี้ไปได้เลยและบทสรุปเรื่องการลบความทรงจำถูกอธิบายผ่านปากของเจ้าหน้าที่อีโฮซูได้ดีใช้ได้เลยครับ ที่ดูนี่ดูผ่านแอพวิวนะครับ เป็นซีรีส์ของช่องเคเบิ้ล TVN ซีรีส์สามปีได้แล้วขอบคุณภาพจากกระทู้ในพันทิปครับ
ขอบคุณภาพจากพันทิป (m.pantip.com) โพสต์โดยสมาชิกหมายเลข 3331928/ 25 พฤษภาคม 2560
เรื่อง Circle แสดงถึง new normal ที่เกิดกับสมาร์ทซิตี้ในปี 2037 ว่าด้วยวิถีชีวิตที่ถูกควบคุมโดยสมัครใจเพราะเชื่อว่ามันดีกว่าในทุกทางโดยคนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้จัดการ จัดทุกอย่างให้เกิดโดยมีกฎหมายที่ถูกตราไว้กำกับ และมีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ new normal ของเจนเนอรัลซิตี้เป็นเรื่องของการต้องอยู่รอดในสภาพอากาศที่เป็นพิษ ทุกคนจึงต้องสวมหน้ากากเมื่อออกนอกเคหสถาน และต้องระวังรักษาตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่แย่กว่าเดิมและห้อมล้อมด้วยฝุ่น
สำหรับเมืองไทยเราสภาพแวดล้อมของประเทศถูกปกคลุมด้วยความเสี่ยงจากโคโรนาไวรัสและฝุ่น new normal น่าจะเกิดหลายอย่างอยู่ บางอย่างเป็นความปกติใหม่จริง ๆ ที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด มีวินัย และมีความรับผิดชอบต่อผู้อื่น เช่นการระมัดระวังตนเอง เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากาก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและวิถีชีวิตในบางส่วนที่ขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลในสถานการณ์ของตนเอง กระแสการ Disruption ที่ถูก Interruption ด้วยโคโรนาไวรัส จะต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการดีสรับใหม่อีกครั้งเพราะโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วตราบใดที่เรายังไม่มีวัคซีนและไม่มีภูมิคุ้มกัน ทุกคนได้รับผลกระทบหมด เงินอันเป็นเสมือนพระเจ้า (ซึ่งจริง ๆ ตอนนี้เงินก็ยังคือพระเจ้าอยู่) หายไปจากกระเป๋าทุกคน มันอาจเป็น golden period ของการระบาด แต่มันยังเป็น golden period ของคนบางอาชีพที่ทำรายได้จากช่วงนี้ด้วย เช่น อย่างแถวบ้านร้านขายกับข้าวขายดีทุกวัน สมาชิกในไลน์กลุ่มเกือบ 200 คน ซื้อผ่านการโอนเงินสดล่วงหน้าตอนสั่ง เมนูออกตอนเที่ยง ปิดรับออร์เดอร์สี่โมงเย็น มีบริการส่งผ่านมอเตอร์ไซค์โดยคิดค่าส่ง เป็นต้น ขายดีมากกกกขอบอก
ความปกติใหม่อีกอย่างด้านการศึกษาคือ การเรียนการสอนเป็นไปในรูปออนไลน์บ้าง ออฟไลน์บ้าง ผ่านทีวีบ้าง ฯลฯ โดยช่วงนี้ใช้บ้านเป็นฐานในการเรียนรู้ (Home - Based Learning) ทำให้สงสัยใจว่าเมื่อนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในช่วงนี้ หวังพึ่งบ้านเป็นหลักในการให้ความรู้ระหว่างที่เปิดเทอมตามปกติวิสัยไม่ได้ แสดงว่าความเชื่อมั่นบางส่วนลึก ๆ ของศธ. เชื่อว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจริง ๆ แล้ว มีศักยภาพในการจัดการศึกษา และกฎหมายการจัดการศึกษาโดยครอบครัว โดยบุคคล และอื่น ๆ นั้นน่าจะถูกเชิดชูและสนับสนุนเป็นนโยบายเร่งด่วน และนำสู่การปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้เสียที อย่าให้มีเรื่องของการกั๊กการจดทะเบียนโฮมสคูล หรือศูนย์การเรียนเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นควรมีหน่วยงานรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพโดยตรงเลยครับ ซึ่งมันควรที่กระทรวงศึกษาธิการจะสร้างบรรทัดฐานใหม่เพื่อรับความปกติใหม่ได้แล้วไหม ปฏิรูปเต็มรูปแบบเสียทีเถอะ ขนาดการรับมือด้านโควิดยังมีหน่วยงานเฉพาะกิจคิดและปฎิบัติ แล้วนี่เป็นการรับมือการสร้างอนาคตของทรัพยากรมนุษย์เพื่อประเทศชาติ ทำไมไม่มีหน่วยงานเฉพาะกิจทำแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกด้านการศึกษาไทยบ้าง
ได้ทราบข้อมูลคร่าว ๆ จากการประชุมเกี่ยวกับการศึกษาทางเลือกมา พบว่า ปีการศึกษา 2559 มีจำนวนศูนย์การเรียน (ศกร.) ที่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นสถานศึกษาอยู่ไม่ถึง 10 แห่งทั่วประเทศ (ตัวเลขเป็นหลักหน่วย) ครั้นปีการศึกษา 2562 จำนวนศกร. เพิ่มขึ้นจากหลักหน่วยเป็นจำนวนเลย 70 แห่งมานิดหน่อย สำหรับบ้านเรียนหรือโฮมสคูลนั้นในปีการศึกษา 2561 มีจำนวนถึง 450 - 460 บ้านทั่วประเทศ (ตัวเลขชัดเจนมีข้อมูลอยู่ที่สพฐ. หากผู้อ่านสนใจอยากทราบ)
มีความก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัดสำหรับจำนวนที่เพิ่มขึ้นของโฮมสคูลและศกร. แต่ภาครัฐยังอึนอยู่ การยอมรับสภาพความจริงและความจริงใจในการแก้ไขปัญหาค่อนข้างมีเรตติ้งต่ำในส่วนนี้ สถานการณ์โลกหลังโควิดเปลี่ยนแปลงแน่นอน ถึงขนาดกูรูหลายท่านเตือนว่าอาชีพบางอาชีพจะหายไป อาชีพใหม่จะเกิด คิดถึงเม็ดเงินงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการที่ถมลงสู่โรงเรียนและสถานศึกษาแล้วช้ำใจ คิดถึงเม็ดเงินงบประมาณของกระทรวงมหาดไทยที่ถมลงสู่สถานศึกษาผ่านอบจ. แล้วก็ช้ำใจซ้ำซาก
เอาวิกฤตไวรัส มาสร้างโอกาสทางการศึกษาเพิ่มกันดีกว่า บูรณาการหน่วยงานข้ามกระทรวงแล้วออกแบบการเรียนรู้ในโลกยุคโควิดและหลังโควิดกันเถิดครับ เรื่องเรียนออนไลน์นั้น ฝากไว้หน่อยว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความเท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยีนะ โน้ตบุ๊คเครื่องละหมื่นบางคนยังไม่มีปัญญาซื้อด้วยซ้ำ ไหนจะระบบอินเทอร์เน็ตอีก บางค่ายก็กากเหลือเกิน
เมื่อพูดถึงความปกติใหม่แล้ว ก็ต้องเพิ่มเรื่องความปกติเก่าที่จางไปแต่หวนกลับมาใหม่ในยุคนี้ ตู้แบ่งปันครับ... ตู้แบ่งปัน เมื่อก่อนบ้านคนไทยบางบ้านจะมีศาลาเล็ก ๆ ไว้หน้าบ้าน มีโอ่งเล็ก ๆ ใส่น้ำดื่มให้ผู้เดินผ่านทาง และมีผลไม้จากต้นที่ปลูกไว้ในบ้านใส่ถาดให้กินกันฟรี เป็นน้ำใจคนไทยแต่โบราณ พอยุคนี้น้ำใจแบบนี้กลับมาใหม่แล้วในรูปของตู้แบ่งปัน
นี่ดีนะที่เมืองไทยควบคุมโรคได้อย่างอยู่หมัดตอนนี้ ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ เราอาจได้เห็นประเทศไทยมีสองเมืองในหนึ่งจังหวัด กล่าวคือแยกโซนเจนเนอรัลซิตี้เป็นแหล่งติดเชื้อ และสมาร์ทซิตี้เป็นแหล่งปลอดเชื้อเสียก็เป็นได้
โฆษณา