Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ไกลบ้าน (The King's Journey)
•
ติดตาม
13 พ.ค. 2020 เวลา 11:41 • ประวัติศาสตร์
วิลล่า โนเบล (Villa Nobel)
ซานเรโม่ เป็นเมืองชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยู่เกือบปลายสุดทางทิศตะวันตกใกล้พรมแดนเมืองนีซ, โมนาโก และมอนติคาโล ของประเทศฝรั่งเศส โดยเรียกพื้นที่รวมๆ แถบนี้ว่าชายฝั่งริเวร่า ซึ่งเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก
6
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังเมืองซานเรโม่ โดยประทับที่ “วิลล่าโนเบล” (Villa Nobel) ในระหว่างวันที่ 28 เมษายน – 14 พฤษภาคม พ.ศ.2450 เป็นระยะเวลานานถึง 16 วัน
ภาพฝีพระหัตถ์ วิลล่าโนเบล เมืองซานเรโม่ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงประทับที่นี่นานถึง 16 วัน
วิลลาโนเบล สร้างขึ้นในปี 1870 โดยเภสัชกรชาวอิตาเลี่ยน เปียโตร แวคเคียอะรี ได้ซื้อที่แห่งนี้ไว้และสร้างวิลลาอันสวยหรูสไตล์โมเรสโค ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งสวน
หลังจากนั้นในปี 1891 นายอัลเฟรด โนเบล ผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบล ก็ได้ซื้อและย้ายเข้ามาอยู่วิลลาหลังนี้และเรียกเรือนของเขาว่า My Nest ซึ่งนับเป็นช่วงหนึ่งของบั้นปลายชีวิต จนกระทั่งในปี 1896 เขาก็สิ้นลมหายใจที่วิลลาโนเบลแห่งนี้ จากนั้นนายแมกซ์ อะดอล์ฟ ฟิลลิป ผู้จัดการบริษัทผลิตวัตถุระเบิดไดนาไมต์ ชาวเยอรมัน ได้ซื้อวิลลาโนเบลต่อหลังนายอัลเฟรด โนเบลเสียชีวิต
ต่อมาในปี 1902 วิลลาโนเบลก็ตกเป็นสมบัติของนายจีโอแบททา ปาโรดี เศรษฐีชาวเมืองซานเรโม ที่มีกิจการค้าขายอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ได้มาซื้อวิลลาหลังนี้ไว้ และวิลลาโนเบลก็ได้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลปาโรดี จนกระทั่งเมื่อลูกชายของนายปาโรดีเป็นหนี้สิน จากการบริหารกิจการล้มเลวทำให้เขาต้องประกาศขาย วิลลาโนเบลหลังนี้ ซึ่งมณฑลอิมเพียเรียก็ได้ซื้อไว้เป็นสมบัติของเมืองในปี 1973
นายจีโอแบททา ปาโรดี เศรษฐีชาวเมืองซานเรโม เจ้าของวิลล่า โนเบล ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงประทับ
นายปาโรดี ผู้เป็นเจ้าของวิลล่าโนเบล คือหนึ่งในผู้ที่เดินทางไปต้อนรับพระพุทธเจ้าหลวงถึงสถานีรถไฟ และจัดการรับรองพระองค์เป็นอย่างดี ณ วิลลาโนเบลที่เขาเป็นเจ้าของหลังนี้ และเป็นที่พอพระราชหฤทัยในพระพุทธเจ้าหลวงยิ่งนัก โดยที่พระองค์ได้พระราชทานซองบุหรี่ลงยาอักษรพระนามย่อแก่นายปาโรดี เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จครั้งนี้ด้วย
ปัจจุบันวิลลาโนเบลหลังนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเมืองซานเรโม มณฑลอิมเพียเรีย โดยภายในถูกตกแต่งให้เป็นพิพิธภัณฑ์อัลเฟรด โนเบล นักเคมี นักประดิษฐ์และผู้คิดค้นวัตถุระเบิดไดนาไมต์ชาวสวีดิช
แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานถึง 100 ปี แต่วิลลาโนเบล อันสวยงามแห่งนี้ ก็ยังเป็น วิลลาหลังเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าหลวงได้เคยเสด็จพระราชดำเนินมาประทับ โดยเค้าโครงของวิลลาก็ไม่ต่างไปจากเดิม ดังที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงบรรยายถึงวิลล่าแห่งนี้ไว้ในพระราชนิพนธ์ไกลบ้านว่า...
1
“…เรือนที่นี่ นับเป็นห้าชั้นทั้งชั้นล่าง ด้วยที่ตั้งนั้นแอบข้างเขาตะแคงอยู่ข้างหนึ่ง ด้านข้างหลังเรือนเปนสี่ชั่น ด้านข้างน่าเปนห้าชั้น ชั้นล่างเปนที่เลี้ยงข้าราชการและครัว ชั้นรองขึ้นมาห้องข้างหลังเปนห้องคนพักที่ร่วมกระได และมีห้องเขียนหนังสือ ห้องไว้ถ้วยชาม ด้านข้างหน้ากลางเปนห้องรับแขก ห้องคอยกินเข้า มีเฉลียงด้านน่าแลด้านข้างฝากระจก...”
พระรูปถ่าย สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ประทับซุ้มสำหรับนั่งเล่น ทอดพระเนตรสวนด้านหลังวิลล่าโนเบล
รักษาพระวรกายหนแรก
คืนแรกที่ได้มาประทับ ณ วิลลาโนเบลแห่งนี้ ถือเป็นฤกษ์ดีที่พระพุทธเจ้าหลวงจะได้สรงน้ำเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้สรงน้ำมาถึง 7 วัน
“..พ่อไปเที่ยวเดินเล่นแล้วกลับขึ้นมากินน้ำชาแล้วได้อาบน้ำ ฤกษ์ไม่ดีมาหลายวัน แต่ไม่ได้อาบน้ำมาถึง 7 วันแล้ว สกปรกเกือบจะปั้นชมภูพาลได้ตัวหนึ่ง...” (พระราชหัตถเลขาฉบับที่ 10)
ที่พระองค์ทรงปรารภว่า “สกปรกเกือบจะปั้นชมภูพาลได้ตัวหนึ่ง” นั้น คำว่าชมภูพาลนี้ คงหมายถึง “ชมพูพาน” ตัวละคร "รามเกียรติ์" เป็นลิงสีชมพู ถือกำเนิดมาจากเหงื่อไคลพระอิศวร มีหน้าที่เป็นแพทย์ประจำกองทัพพระราม แต่ถ้าเป็นรามเกียรติเวอร์ชั่นดั้งเดิมของอินเดียนั้น ชมพูพานจะเป็น “หมี” ที่เข้ามาร่วมกับกองทัพลิงของพระราม
ในระหว่างที่พระพุทธเจ้าหลวงประทับอยู่ ณ วิลลาโนเบลนั้น พระองค์ก็ได้ตรวจพระพลานามัยเป็นครั้งแรก ในรุ่งเช้าของวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2450 โดยโปรเฟสเซอร์ไฟลเนอร์ แพทย์ชาวเยอรมัน จากเมืองไฮเดลแบร์ก กับหมอผู้ช่วยอีกคนหนึ่งชื่อ ฟิสเตอร์ ซึ่งต่อมา หมอฟิสเตอร์ผู้นี้จะอยู่ตรวจพระวรกายตลอดระยะเวลาที่ประทับอยู่ ณ ซานเรโม่
ภาพฝีพระหัตถ์ (ซ้าย) โปรเฟสเซอร์ไฟล์เนอร์ ที่หน้าวิลล่าโนเบล (ขวา)หมอฟิสเตอร์ ผู้ช่วย หมอทั้ง 2 ท่านนี้มาจากเมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมนี
พระองค์ทรงเล่าถึงการตรวจพระวรกายครั้งแรกไว้ในพระราหัตถเลขาฉบับที่ 10 นี้ ความว่า...
“..ตั้งต้นตรวจนั้นคือให้เล่าอาการตามที่รู้สึกทั้งเก่าใหม่ จบแล้วให้ยืนที่ตรงน่าต่าง ดูในช่องจมูกเห็นว่ารูจมูกข้างซ้ายแคบ แต่ไม่มากถึงที่จะทำให้หายใจไม่คล่อง แล้วเอาช้อนกดลิ้นดูภายใน ว่าบวมตามหลอดที่ใต้ขาตะไกร คราวนี้ลงมือตรวจหัวใจ ให้ถอดเสื้อเอาแตรฟังทั่วทุกแห่ง ที่ตรงไหนตรวจแล้วกาไว้กับตัว แล้วตรวจปอดเคาะโขกในที่ต่างๆ ต้องหายใจแรงตามเคย เสร็จเรื่องปอดแล้ว คราวนี้ดูตั้งแต่ข้อตีนขึ้นมาจนท้องน่อง ลำขา ตลอดจนสันหลังถึงต้นฅอ กว่าจะสำเร็จกิจการตรวจนี้เกือบชั่วโมงหนึ่ง...”
และในวันถัดมาพระองค์ก็ทรงรับการตรวจพระพลานามัยอีกครั้ง โดยเซอร์แปตริกแมนซัน แพทย์ชาวอังกฤษ ซึ่งแพทย์ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าหัวใจและปอดดี แต่เรื่องของโพรงจมูกยังมีปัญหา ซึ่งจะต้องบำบัดรักษาต่อไป
ดุ๊ก ออฟ เจนัว
ในระหว่างที่ประทับอยู่ที่วิลล่าโนเบล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพบกับพระสหายเก่า นั่นคือ “ดุ๊ก ออฟ เจนัว” (Duke of Genoa) หรือเจ้าชายโทมัสแห่งซาวอย (Prince Tommaso of Savoy) เจ้านายผู้มีบทบาทสำคัญพระองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ซาวอย แห่งอิตาลี ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญที่เคยถวายการต้อนรับสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเมื่อครั้งเสด็จประพาสอิตาลีครั้งแรก ปี พ.ศ.๒๔๔๐ อีกด้วย
พระรูปหมู่ ทรงถ่ายตรงด้านหน้าวิลล่าโนเบล จากซ้ายไปขวา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางคเดชาวุธ, สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์, ดุ๊ก ออฟ เจนัว, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าชายเฟอร์ดินันด์ บุตรของดุ๊ก ออฟ เจนัว
ในพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน พระองค์ทรงเล่าถึงดุ๊ก ออฟ เจนัว ในวันที่พระองค์ได้ทรงพบและทรงถ่ายภาพร่วมกันตรงด้านหน้า “วิลล่า โนเบล” อันเป็นสถานที่ประทับตลอดการเสด็จฯ ซานเรโม่ ความว่า...
“ครั้นเวลา ๕ โมง ให้บริพัตร เจ้าพระยาสุรวงษ์ กับจรูญ นำรถโมเตอคาร์ ๒ หลังไปรับ มาถึงเวลาเที่ยง เพราะระยะทางไปมากับที่นี่ครึ่งชั่วโมง พ่อลงไปคอยรับที่กระได ดุ๊กออฟเยนัวแปลกไปเปนอันมาก แก่คร่ำกว่าแต่ก่อน หัวล้านหมดทีเดียว เรียกได้ว่าไม่มีเหลือ เฟอดินันด์ ลูกชายนั้นคงอยู่อย่างเดิม...
.....กินเข้ากลางวันด้วยกันกับดุ๊กแลลูกชาย ชายบริพัตรลูกเอียด นับว่าเปนรูปหมู่ที่ได้ถ่ายด้วยกันครั้งที่ ๓ รูปถ่ายครั้งแรก ๒๗ ปีมาแล้ว ถ่ายครั้งที่สอง ๑๐ ปีมาแล้ว ดูก็ขันดี ดุ๊กออฟเยนัวเปนเจ้าฝรั่งคนแรกที่เข้าไปบางกอก นับว่าได้พบเจ้าที่เปนรอแยลรินซ์ครั้งที่ ๑ ครั้นเมื่อมายุโรปคราวก่อนก็ได้พบดุ๊กออฟเยนัวก่อนใครๆ หมด ไปรับที่เวนิศ ครั้งนี้ก็พบก่อนใครๆ หมด..” (พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๑๓ วันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๐)
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย