14 พ.ค. 2020 เวลา 06:47
ทำไมสหรัฐฯ จึงไม่ชนะในสงครามอินโดจีน
.
เมื่อลงบทความเรื่อง Saigon, the Last Day (วันสุดท้ายของกรุงไซ่ง่อน, 30เมษายน 1975) ก็มีโจทย์จากเพื่อนกันตั้งแต่ชั้นประถม คุณประโยชน์ เจ้าของโรงแรมอินทนิล เชียงใหม่ ว่า “พอมีเวลา วิเคราะห์ สาเหตุ ความพ่ายแพ้ ของ USA แบบความจริงหน่อย สิ” เมื่อเพื่อนขอมาก็จัดไปครับ
.
ผมเลือกใช้คำว่า “ไม่ชนะ” แทนคำว่า “พ่ายแพ้” อันที่จริงแล้วศักยภาพของกองทัพอเมริกันและพันธมิตรสามารถเอาชนะสงครามอินโดจีนได้ หากเป็นการรบตามแบบ ซึ่งไม่ติดด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ตลอดจนการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศของสหรัฐฯ เอง รวมทั้งการไม่สามารถเอาชนะทางการเมืองภายในเวียตนามทั้งเหนือและใต้ด้วย สงครามเวียตนามของสหรัฐฯ ผ่านการบริหารประเทศโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึง 5 คนได้แก่ Truman, Eisenhower, Kennedy, Johnson และ Nixon
.
ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วย OSS (ต้นกำเนิดของ CIA ในปัจจุบัน) มีพันธมิตรในการรบกับญี่ปุ่นคือ ขบวนการเวียดหมินห์ซึ่งโฮจินมินห์เป็นผู้ก่อตั้ง (สหรัฐฯ สนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อให้เวียดมินห์ช่วยเหลือนักบินอเมริกันที่ถูกยิงตกและหาข่าวให้ OSS ด้วย) และพัฒนาต่อมาเป็นกองทัพประชาชนเวียดนาม เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงในปี 1945 ความผิดพลาดของสหรัฐฯ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อต่อมาปี 1946 ประธานาธิบดี Truman ได้ปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือของโฮจิมินห์ในการขับไล่ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม โดยเลือกที่จะสนับสนุนฝรั่งเศสแทน ทั้ง ๆ ที่โฮจิมินห์รู้สึกขอบคุณและชื่นชมสหรัฐฯ ที่สามารถขับไล่ญี่ปุ่นจากการยึดครองเวียตนามต่อจากฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิม อันเป็นจุดเริ่มต้นทีทำให้สหรัฐฯไม่สามารถเอาชนะทั้ง “จิตใจและแนวคิด” ของชาวเวียดนามได้เลย ซ้ำร้ายผลจากสงครามเย็นทำให้สังคมอเมริกันโดยรวมถูกกระแสต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าครอบงำ จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับเวียดนามไม่เป็นไปด้วยดีตามเป้าหมาย แล้วก็เข้าสู่สงครามในที่สุด
.
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี Harry S. Truman เขาได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศด้านกิจการเอเชีย ในปี 2488 ภายหลังจากการเข้ารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดี Franklin Delano Roosevelt (ผู้ซึ่งต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมหรือการล่าอาณานิคม) ซึ่งเสียชีวิตในตำแหน่งว่า การกลับมาปกครองเวียตนามของฝรั่งเศสจะนำไปสู่ "การนองเลือดและความไม่สงบ" แต่ประธานาธิบดี Truman ผู้ไม่เคยใส่ใจต่อการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมดังเช่นประธานาธิบดี Roosevelt (ผู้ซึ่งเขาสืบทอดอำนาจต่อ) และท้ายที่สุดเขาก็ยอมรับต่อการกลับเข้าปกครองอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศสอีกครั้ง ด้วยหวังว่า เรื่องดังกล่าวจะมีส่วนสำคัญในการเกื้อหนุนเศรษฐกิจและเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับฝรั่งเศส (ซึ่งพ่ายแพ้ต่อเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหมดรูป) อีกครั้งหนึ่ง
.
ไม่ช้าฝรั่งเศสก็กลับมาเวียตนามพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์จากยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และเปิดฉากสู้รบกับกองทัพประชาชนเวียตนามหรือเวีตยหมินห์ของของโฮจิมินห์ในทันที โดยแรก ๆ นั้น สหรัฐอเมริกายังคงดำรงความเป็นกลางอย่างเป็นทางการ หลีกเลี่ยงการติดต่อใด ๆ กับโฮ อย่างไรก็ตามต่อมาในปี 1947 ประธานาธิบดี Truman ยืนยันว่านโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ คือการช่วยเหลือประเทศที่ยืนหยัดต่อการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ สงครามเกาหลีในปี 1950 รวมถึงความช่วยเหลือจากจีนและสหภาพโซเวียตต่อเวียตหมินห์ทำให้ประธานาธิบดี Truman กลับมาพิจารณาเวียดนาม และจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำสงครามเย็น
.
ด้วยความกลัวว่า ที่สุดเวียตนามจะกลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ ประธานาธิบดี Truman ได้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งเครื่องบิน และรถจี๊ปพร้อมกับที่ปรึกษาทางทหารจำนวน 35 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ มอบให้แก่ฝรั่งเศส การเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในเวียตนามของสหรัฐฯ ยิ่งถลำลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปลายสมัยที่สองของประธานาธิบดี Truman รัฐบาลได้ทุ่มทุนมากกว่าหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายในการทำสงครามในเวียตนามให้กับฝรั่งเศส และเพิ่มจำนวนเงินงบประมาณเป็นประมาณ 80% ของค่าใช้จ่ายในการทำสงครามในที่สุด
.
ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่สองที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในปี 1954 ฝรั่งเศสประสบความพ่ายแพ้อย่างรุนแรงที่เดียนเบียนฟู ทำให้ความพยามในการครอบครองอาณานิคมของพวกเขาสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯบางคนได้เสนอให้ทำการโจมตีทางอากาศ รวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อรักษาสถานภาพของฝรั่งเศส แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ผู้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อจากประธานาธิบดี Truman ปฏิเสธไม่ยอมสหรัฐอเมริกาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ด้วยสงครามเกาหลีพึ่งจะสงบได้ไม่นานนัก “ผมเชื่อมั่นว่าจะไม่มีชัยชนะทางทหารเกิดขึ้นเหมือนอดีตอีกแล้ว” ประธานาธิบดี Eisenhower ได้เขียนไว้ในบันทึกของเขา แต่เนื่องจากประธานาธิบดี Eisenhower เป็นผู้ที่เชื่อใน "ทฤษฎีโดมิโน" ซึ่งถือว่าหากประเทศใดประเทศหนึ่งพ่ายแพ้ต่อลัทธิคอมมิวนิสต์แล้ว ประเทศเพื่อนบ้านจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามมา ประธานาธิบดี Eisenhower จึงปฏิเสธที่ปล่อยเวียตนามโดยสิ้นเชิง ที่สุดเวียตนามถูกแบ่งเป็นสองประเทศโดยมีโฮจินมินห์เป็นผู้นำเวียตนามเหนือ และ Ngo Dinh Diem ผู้ซึ่งเป็นชาวเวียตนาเชื้อสายจีนจากตระกูลที่มั่งคั่ง ซ้ำยังเป็นแคทอลิกขณะที่ชาวเวียตนามใต้ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธและมีฐานะยากจน ประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem เป็นพวกนิยมชาติตะวันตก จึงได้รับการสนับสนุนให้เป็นประธานาธิบดีของดินแดนทางใต้หรือเวียตนามใต้ การเลือกตั้งซึ่งควรจะเกิดขึ้นเพื่อรวมเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน แต่ถูกประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem หยุดไว้ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ด้วยกลัวว่าโฮจินมินห์จะจะชนะและมีความชอบธรรมที่จะรวมเวียตนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน
.
แม้ว่า ประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem จะถูกขุดคุ้ยตรวจสอบและประจักษ์ชัดว่า เป็นพวกเผด็จการและทุจริตโกงกิน แต่ประธานาธิบดี Eisenhower ก็เรียกเขาว่า "รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" และ "ตัวอย่างของผู้คนที่เกลียดชังทรราชและรักเสรีภาพ" ที่สำคัญกว่านั้นเขายังได้จัดหาเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ ประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem โดยมอบเงินช่วยเหลือเกือบ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างปี 1955 ถึง 1960 และเพิ่มจำนวนที่ปรึกษาทางทหารมากถึง 1,000 นาย เมื่อประธานาธิบดี Eisenhower หมดวาระการดำรงตำแหน่ง การสู้รบอย่างเปิดเผยระหว่างกองกำลังทหารของประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem กับเวียตกง หรือที่เรียกว่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในเวียตนามใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยแต่ละฝ่ายต่างก็ใช้ยุทธวิธีที่โหดร้าย รวมถึงการทรมานและการลอบสังหารศัตรูทางการเมือง
.
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่สามที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี John F. Kennedy หลังจากไปเยือนเวียดนามในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 1951 สส. Kennedy ได้แสดงความเสียใจต่อสาธารณชนในสหรัฐอเมริกาที่ให้ความช่วยเหลือฝรั่งเศสในเวียตนาม โดยกล่าวว่าการกระทำนั้น “เป็นการท้าทายความเป็นชาตินิยมโดยรู้ล่วงหน้าว่าจะล้มเหลวอยู่แล้ว” สามปีต่อมาเขาได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ผมเชื่อในความเชื่อที่ว่า ไม่มีความช่วยเหลือทางทหารของอเมริกันจำนวนมาก…จะสามารถพิชิตศัตรูได้ทุกที่ในเวลาเดียวกัน” ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1960 ด้วยความกังวลว่า เขาจะถูกเรียกว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี Kennedy ได้จัดหาเครื่องบินขับไล่ไอพ่น เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินลำเลียง เรือลาดตระเวนลำน้ำ และอาวุธยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ให้กับเวียตนามใต้ นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ใช้ Napalm และ สารพิษ เช่น ฝนเหลือง (Agent Orange)
.
ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดี Kennedy ที่ปรึกษาทางทหารเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นประมาณ 16,000 คน บางคนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการรบอย่างลับ ๆ ต่อมาเดิมประธานาธิบดี Ngo Dinh Diem ผู้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนถูกรัฐประหารและสังหารในปี 1963 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดี Kennedy จะถูกลอบสังหาร ไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดี Kennedy จะเสียชีวิตใกล้ถึงจุดจบของชีวิต ประธานาธิบดี Kennedy ได้กล่าวกับ คณะทำงานว่า เขาอาจให้ถอนกำลังและการสนับสนุนออกจากเวียตนามภายหลังจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า เขาจะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่
.
ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่สี่ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนาม ในช่วงเวลาหลังการลอบสังหารของประธานาธิบดี Kennedy การมีส่วนร่วมในสงครามเวียดนามของสหรัฐฯ ยังค่อนข้างจำกัด แต่สิ่งนั้นเปลี่ยนไปในเดือนสิงหาคม 1964 เมื่อเหตุการณ์ที่เรียกว่า เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย มีการแจ้งให้รัฐสภาอเมริกันได้มอบอำนาจในการทำสงครามอย่างกว้างขวางให้แก่ประธานาธิบดี Johnson ผู้ซึ่งพึ่งเข้าดำรงตำแหน่งแทนประธานาธิบดี Kennedy ด้วยตระหนักว่า รัฐบาลและกองทัพเวียตนามใต้กำลังจะล่มสลาย ประธานาธิบดี Johnson ส่งกำลังรบสหรัฐเข้าสู่สนามรบในเวียตนามเป็นครั้งแรกในต้นปี 1965 อนุญาตให้มีการทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ในชื่อรหัสว่า Operation Rolling Thunder ซึ่งมีปฏิบัติการดังกล่าวต่อเนื่องไปอีกหลายปี
ในไม่ช้าร่างรัฐบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสงครามเวียตนามใต้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งมาพร้อมกับการต่อต้านร่างกฎหมายเหล่านั้น และในปี 1967 มีทหารอเมริกันราว 500,000 นายในเวียดนาม ใต้ และในปีเดียวกันนั้นมีก็การประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต่างยืนยันกับประธานาธิบดี Johnson ว่า ชัยชนะกำลังใกล้เข้ามา แต่ต่อมาเมื่อเอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถูกเปิดเผยในภายหลัง กลายเป็นว่า ความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เข้าใจผิดอย่างมากมาย ในความเป็นจริงแล้วการสู้รบในเวียตนามใต้นั้นได้กลายเป็นหลุมใหญ่และลึกไปเสียแล้ว สงครามเวียตนามกลายเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก และประธานาธิบดี Johnson ก็กลายเป็นพวกกระหายสงคราม ในที่สุดประธานาธิบดี Johnson ก็ตัดสินใจที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1968
.
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ห้าเป็นคนสุท้ายที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี Richard Nixon ในการรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Nixon สัญญาว่า จะยุติสงครามเวียตนาม อย่างไรก็ตามภายหลังปรากฏว่า มีพยายามขัดขวางการเจรจาสันติภาพเพื่อทำให้คะแนนเสียงของเขาดีขึ้น ในฐานะประธานาธิบดี ประธานาธิบดี Nixon ค่อยๆ ทยอยถอนทหารอเมริกันออกจากเวียตนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Vietnamization” แต่เขาก็เพิ่มความขัดแย้งในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การอนุมัติการโจมตีทางอากาศอย่างลับๆ ในกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านในปี 1969 ส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปยังกัมพูชาในปี 1970 และอนุมัติการบุกลาวในปี 1971 ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความพยายามไร้ประโยชน์อย่างยิ่งในการทำลายเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยและค่ายของกองกำลังเวียตกง นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดี Nixon ยังสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงที่สุดในสงคราม ซึ่งส่งผลเวียตนามเหนือถูกทิ้งระเบิดถึง 36,000 ตัน ในช่วงปลายปี 1972
.
ในเดือนมกราคมปี 1973 เมื่อกรณีอื้อฉาว Watergate ถูกเปิดเผย ประธานาธิบดี Nixon จึงยุติบทบาทการมีส่วนร่วมโดยตรงของสหรัฐฯ ในเวียดนาม โดยกล่าวว่า ปฏิบัติการ "สันติภาพอย่างมีเกียรติ" ประสบความสำเร็จ แม้จะปรากฏว่า การสู้รบในเวียตนามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1975 กระทั่งกองกำลังทหารเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกงสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อ 30 เมษายน 1975 เมืองหลวงของเวียดนามใต้ และรวมประเทศเข้าด้วยกันภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์คอมมิวนิสต์เวียตนาม
.
หากย้อนกลับไปถึงมหาสงครามโลกทั้งสองครั้ง สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้ชนะสงครามทั้งสองครั้ง โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นบทบาทของสหรัฐฯ โดดเด่นมากในสถานะของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งบทบาทของผู้ปลดปล่อยโลกจากการยึดครองของฝ่ายอักษะเลย กองทหารสหรัฐฯ จึงเป็นที่ชื่นชอบชื่นชมและยอมรับของประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายอักษะ ในมหาสงครามโลกทั้งสองครั้งนั้นไม่มีสิ่งซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำสงครามเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองทั้งภายในและภายนอก รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่สู้รบ ดังนั้นทหารในแนวหน้าตั้งแต่พลทหารขึ้นมาจนถึงนายพลจึงทำหน้าที่ในส่วนของการรบเพียงอย่างเดียว โดยได้รับการสนับสนุนจากแนวหลังอย่างเต็มที่ โดยอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เองสามารถปรับตัวเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว จากอุตสาหกรรมทั่ว ๆ ไปปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมทหารได้ โรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่จึงสามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนทั้งกองทัพอเมริกัน และกองทัพสัมพันธมิตรประเทศต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มต่อต้านฝ่ายอักษะในประเทศต่าง ๆ ได้อย่างไม่จำกัด และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ก็สามารถดูแลยึดครองประเทศฝ่ายอักษะไม่ว่าจะเป็นเยอรมันตะวันตก หรือญี่ปุ่น ได้เป็นอย่างดี
.
และหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสหภาพโซเวียตซึ่งพึ่งฟื้นตัวจากการรุกรานโจมตีของเยอรมัน ด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐฯ เอง แต่ด้วยระบอบการเมืองการปกครองที่ต่างกัน ซ้ำผู้นำประเทศเองก็มีแนวคิดในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ให้สามารถครองโลกให้ได้ แน่นอนที่สุดประเทศเจ้าแห่งประชาธิปไตยเช่น สหรัฐฯ ย่อมไม่มีทางยอมอยู่แล้ว โลกจึงเกิดเป็นสองขั้วคือ ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐฯ และฝ่ายคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นเพื่อดูแลป้องกันโลกไม่ให้เกิดมหาสงครามขึ้นมาอีกโดยศึกษาจุดอ่อนข้อเสียขององค์การสันนิบาตชาติซึ่งก่อตั้งภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยหวังว่าจะสามารถระงับยับยั้งมหาสงครามให้เกิดขึ้นอีก แต่สันนิบาตชาติก็ล้มเหลวจนเกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง สหประชาชาติแม้จะเป็นองค์กรระดับนานาชาติแต่ก็มีชาติที่มีอภิสิทธิมากกว่าชาติอื่น ๆ ห้าชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศสัมพันธมิตรผู้นะสงครามได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และสหภาพโซเวียต ในชื่อว่า สมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council – UNSC) มีอำนาจ/หน้าที่
ข้อ 24-26 ของกฎบัตรสหประชาชาติกำหนดอำนาจหน้าที่หลัก (primary responsibility) ของ UNSC ไว้ให้มีความรับผิดชอบในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ (ข้อ 24) และกำหนดภารกิจของกองกำลังรักษาสันติภาพและร่วมมือกับคณะกรรมการฝ่ายทหารในการกำหนดแผนการลดอาวุธ (ข้อ 26) ทั้งนี้ สมาชิก UN ตกลงยอมรับและมีพันธกรณีที่จะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ UNSC (ข้อ 25)
.
แล้วทั้งสองฝ่ายก็แผ่อิทธิพลไปยังภูมิภาคต่าง ๆ แข่งขัน ซึ่งทำให้หลีกเลี่ยงการสู้รบไม่พ้น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามย่อย ๆ ที่เกิดขึ้นไปทั่วคือ สงครามการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวอาณานิคมซึ่งต่อต้านการยึดครองของประเทศเจ้าอาณานิคมในทวีปเอเชีย และแอฟริกา ซึ่งที่สุดแล้วประเทศเจ้าอาณานิคมทั้งหลายก็ไม่สามารถรักษาอำนาจในอาณานิคมของตัวเองได้เป็นส่วนใหญ่ ด้วยภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาอยู่ในมือของชาวพื้นเมืองทำให้การสู้รบไม่ได้มีความได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก ซ้ำบางในบางประเทศอย่างเวียตนาม กองกำลังเวียตมินห์ได้รับการสนับสนุนจากค่ายคอมมิวนิสต์ และด้วยความถนัดชำนาญในภูมิประเทศของพื้นที่มากกว่า จึงสร้างความเสียหายให้กองทัพฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมจนต้องถอนตัวออกไปในที่ที่สุด
.
สงครามใหญ่ที่เกิดภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นครั้งแรกคือ สงครามเกาหลี จากการแบ่งเกาหลีอดีตอาณานิคมของญี่ปุ่นซึ่งพ่ายแพ้สงครามเป็นสองส่วนขั้นกลางด้วยเส้นขนานที่ 38 ฝ่ายเหนือมีสหภาพโซเวียตและจีนแดง(ในขณะนั้น) สนับสนุน และแน่นอนฝ่ายใต้สหรัฐฯ เป็นผู้ดูแล ที่สุดฝ่ายเหนือก็ยกกำลังบุกฝ่ายใต้ สหประชาชาติจึงได้ทำงานใหญ่ครั้งแรก เพื่อสกัดการบุกของเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ ได้ส่งกำลังทหารที่ยึดครองญี่ปุ่นเข้าไปสกัด และระดมชาติสมาชิกสหประชาชาติอื่น ๆ เข้าไปร่วมรบ (รวมทั้งไทยด้วย) สงครามครั้งนี้จบลงด้วยสัญญาหยุดยิง ซึ่งยังไม่ใช่สนธิสัญญาสงบศึก สงครามเกาหลีเป็นสงครามแรกที่สหรัฐฯ ต้องรบภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ ด้วยรบในนามของสหประชาชาติ อาจนับได้ว่า ผลสำเร็จของสหรัฐฯ ในสงครามนี้คือ สามารถรักษาเกาหลีใต้ไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ แม้กองกำลังสหประชาชาตินำโดยสหรัฐฯ จะสามารถบุกข้ามเส้นขนานที่ 38 ได้ แต่ก็ถูกต้านทานอย่างหนัก และด้วยข้อจำกัดหลายประการ ทั้งเกาหลีเหนือและจีนแดงไม่ได้มีข้อจำกัดใด ๆ ในการสู้รบ ข้อจำกัดในการทำสงครามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถเอาชนะในสงครามเวียตนามได้ในเวลาต่อมา
.
อินโดจีนมีอาณานิคมของฝรั่งเศสสามประเทศคือ เวียตนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งล้วนแล้วแต่มีกลุ่มต่อต้านฝรั่งเศส และที่เข้มแข็งและปฏิบัติการได้เข้มข้นที่สุดคือ ขบวนการเวียตมินห์ ซึ่งพัฒนาต่อมาเป็นกองทัพประชาชนเวียตนาม และเป็นกองทัพเวียดนามในปัจจุบัน ความพ่ายแพ้ของกองทัพฝรั่งเศสต่อกองกำลังเวียตมินห์ที่เดียนเบียนฟู ทำให้ฝรั่งเศสต้องสละอาณานิคมในภูมิภาคนี้ทั้งหมด แล้วสหรัฐฯ ก็เข้ามาแทนที่ด้วยเหตุผลคือ การป้องกันการแผ่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ โดยยอมละเลยอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยของตนด้วยการสนับสนุนให้กองทัพที่เป็นพวกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนและยอมทำตามสหรัฐฯ ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นี้คือ อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ พ่ายแพ้ในภูมิภาคนี้ด้วยผู้นำทางทหารเหล่านั้นเมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้วแทนที่จะพัฒนาชาติบ้านเมือง กลับกลายเป็นเผด็จการทรราชทำการทุจริตโกงกินคอรัปชั่นกันอย่างมากมายมหาศาล
.
เมื่อนายทหารใหญ่ ๆ กลายเป็นเผด็จการทรราชทุจริตโกงกินแล้ว คุณภาพของกองทัพก็ลดลงทั้งวินัย ขวัญกำลังใจ และความสามารถในการรบ อุดมการณ์รักชาติกลายเป็นอุดมกินแสวงหาผลประโยชน์เงินทองในหมู่ทหารทุกระดับชั้น เมื่อมีความสุขสบาย ความรักตัวกลัวตายจึงเกิด ในขณะที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยังคงยึดถืออุดมการณ์รักชาติ เพื่อชาติ อยู่เช่นเดิม อีกทั้งความช่วยเหลือที่ได้รับจากสหรัฐฯ จำนวนมหาศาล ประมาณกันว่า CIA ใช้เงินในการปฏิบัติการในลาวเดือนละยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบค่าเงินในขณะนั้นราวสี่ร้อยล้านบาท ราคาขายทองคำในขณะนั้นทองคำบาทละสี่ร้อยบาท เทียบได้ประมาณเดือนละสองหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ที่สุดแล้วนายพลลาวในยุคนั้นต้องอพยพหลบหนีออกมา และไม่มีใครได้ตายบนแผ่นดินเกิดเลยสักคน
.
เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโดจีนถูกเผยแพร่ตีแผ่ในสื่อต่าง ๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะโทรทัศน์ อเมริกันชนได้เห็นปฏิบัติการรบ ส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจจึงการเกิดการประท้วงต่อต้านสงครามอยู่ตามมหาวิทยาลัย และตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ เด็กหนุ่มอเมริกันซึ่งแต่เดิมสหรัฐฯ ใช้ระบบการเกณฑ์ทหาร ก็หวาดกลัว ต่อต้าน และอพยพหลบหนีออกจากประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบในเวียตนาม ความเบื่อหน่ายต่อสงครามซึ่งสหรัฐฯ เข้าร่วมตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองต่อเนื่องมา ทั้งอเมริกันชนไม่เห็นประโยชน์ในการทำสงครามเวียตนาม ทั้งสูญเสียชีวิตทหารอเมริกันเกือบหกหมื่นนาย รัฐบาลสหรัฐฯ จึงดำเนินการเจรจาสงบศึกและทยอยถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากเวียตนามเป็นส่วนใหญ่ในปี 1973 แต่ยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลเวียตนามใต้อยู่ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล โดยหวังว่า กองทัพเวียตนามใต้จะนำประชาชนจับอาวุธต่อสู้กับกองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกง ด้วยความผิดพลาดในการทำให้กองทัพเวียตนามใต้เสพติดการทุจริตคอรัปชั่นโกงกิน ใช้อำนาจในการรังแกประชาชนจนขาดความยกย่อง นับถือ และเชื่อมั่น จึงไม่มีใครร่วมที่จะต่อสู้เลย ซ้ำร้ายทหารเวียตนามใต้เองเมื่อขาดวินัย ขวัญกำลังใจต่ำมาก ๆ จึงพากันถอดเครื่องแบบหนีทัพ ที่สุดแล้วอาวุธจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านั้นก็ตกอยู่มือของ กองทัพเวียตนามเหนือ หรือกองทัพเวียดนามในปัจจุบัน แม้จะสูญเสียไปในการรบกับจีนในสงครามจีนสั่งสอนเวียตนาม สงครามในกัมพูชา รบกับกองทัพไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ก็ยังคงมีเหลืออยู่อีก ซึ่งบางส่วนยังไม่เคยได้ใช้งานเลย
.
การที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเอาชนะในสงครามครั้งนั้นได้ ด้วยเพราะการบริหารที่ผิดพลาดทั้งการทหารและการเมือง เมื่อบริหารร่วมกันในการทำสงครามแล้วยิ่งผิดพลาด แม้จนปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ จะยังคงเป็นกองทัพอันดับหนึ่งของโลกก็ตาม หากแต่พิจารณาถึงสงครามที่สงครามต่าง ๆ ในระยะหลังที่กองทัพสหรัฐฯ มีบทบาทนั้น กองทัพสหรัฐฯ จะถูกมองในบทบาทของผู้รุกรานมากกว่าบทบาทของผู้ช่วยเหลือหรือผู้ปลดปล่อย จึงกลายเป็นศัตรูมากกว่ามิตร หากจะเปรียบเหมือนกับกองทัพสหรัฐฯ ใช้พระเดช (อำนาจ) มากกว่าพระคุณ (ไมตรีจิต-มิตรภาพ-จริงใจ-ช่วยเหลือ-ห่วงใย-ใส่ใจ) ความสำเร็จในการทำสงครามในมุมมองของผู้เขียนคือ การบริหารพระเดชและพระคุณให้เกิดความเหมาะสมสมดุล ไม่ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยจนเกินไป แต่ใช้ทั้งสองอย่างให้เหมาะสม ตามแต่บริบทของพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ๆ
.
“อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) คือ สัจธรรมที่มนุษยชาติต้องประสบพบเจอ ไม่เว้นแม้แต่ สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งเราท่านน่าจะมีโอกาสได้เห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นในเวลาต่อไป
.
ขอบคุณบทความ How the Vietnam War Ratcheted Up Under 5 U.S. Presidents : Truman, Eisenhower, Kennedy, Johnson and Nixon all deepened U.S. involvement in the decades-long conflict.
โดย คุณ JESSE GREENSPAN
โฆษณา