ในไม่ช้าร่างรัฐบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสงครามเวียตนามใต้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งมาพร้อมกับการต่อต้านร่างกฎหมายเหล่านั้น และในปี 1967 มีทหารอเมริกันราว 500,000 นายในเวียดนาม ใต้ และในปีเดียวกันนั้นมีก็การประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ต่างยืนยันกับประธานาธิบดี Johnson ว่า ชัยชนะกำลังใกล้เข้ามา แต่ต่อมาเมื่อเอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถูกเปิดเผยในภายหลัง กลายเป็นว่า ความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เข้าใจผิดอย่างมากมาย ในความเป็นจริงแล้วการสู้รบในเวียตนามใต้นั้นได้กลายเป็นหลุมใหญ่และลึกไปเสียแล้ว สงครามเวียตนามกลายเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก และประธานาธิบดี Johnson ก็กลายเป็นพวกกระหายสงคราม ในที่สุดประธานาธิบดี Johnson ก็ตัดสินใจที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 1968
.
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ห้าเป็นคนสุท้ายที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับเวียตนามคือ ประธานาธิบดี Richard Nixon ในการรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Nixon สัญญาว่า จะยุติสงครามเวียตนาม อย่างไรก็ตามภายหลังปรากฏว่า มีพยายามขัดขวางการเจรจาสันติภาพเพื่อทำให้คะแนนเสียงของเขาดีขึ้น ในฐานะประธานาธิบดี ประธานาธิบดี Nixon ค่อยๆ ทยอยถอนทหารอเมริกันออกจากเวียตนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Vietnamization” แต่เขาก็เพิ่มความขัดแย้งในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การอนุมัติการโจมตีทางอากาศอย่างลับๆ ในกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านในปี 1969 ส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปยังกัมพูชาในปี 1970 และอนุมัติการบุกลาวในปี 1971 ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความพยายามไร้ประโยชน์อย่างยิ่งในการทำลายเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยและค่ายของกองกำลังเวียตกง นอกจากนั้นแล้วประธานาธิบดี Nixon ยังสั่งให้มีการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงที่สุดในสงคราม ซึ่งส่งผลเวียตนามเหนือถูกทิ้งระเบิดถึง 36,000 ตัน ในช่วงปลายปี 1972
.
ในเดือนมกราคมปี 1973 เมื่อกรณีอื้อฉาว Watergate ถูกเปิดเผย ประธานาธิบดี Nixon จึงยุติบทบาทการมีส่วนร่วมโดยตรงของสหรัฐฯ ในเวียดนาม โดยกล่าวว่า ปฏิบัติการ "สันติภาพอย่างมีเกียรติ" ประสบความสำเร็จ แม้จะปรากฏว่า การสู้รบในเวียตนามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1975 กระทั่งกองกำลังทหารเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกงสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อ 30 เมษายน 1975 เมืองหลวงของเวียดนามใต้ และรวมประเทศเข้าด้วยกันภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์คอมมิวนิสต์เวียตนาม
.
หากย้อนกลับไปถึงมหาสงครามโลกทั้งสองครั้ง สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้ชนะสงครามทั้งสองครั้ง โดยเฉพาะในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นบทบาทของสหรัฐฯ โดดเด่นมากในสถานะของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งบทบาทของผู้ปลดปล่อยโลกจากการยึดครองของฝ่ายอักษะเลย กองทหารสหรัฐฯ จึงเป็นที่ชื่นชอบชื่นชมและยอมรับของประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายอักษะ ในมหาสงครามโลกทั้งสองครั้งนั้นไม่มีสิ่งซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำสงครามเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองทั้งภายในและภายนอก รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่สู้รบ ดังนั้นทหารในแนวหน้าตั้งแต่พลทหารขึ้นมาจนถึงนายพลจึงทำหน้าที่ในส่วนของการรบเพียงอย่างเดียว โดยได้รับการสนับสนุนจากแนวหลังอย่างเต็มที่ โดยอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เองสามารถปรับตัวเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว จากอุตสาหกรรมทั่ว ๆ ไปปรับเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมทหารได้ โรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่จึงสามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุนทั้งกองทัพอเมริกัน และกองทัพสัมพันธมิตรประเทศต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มต่อต้านฝ่ายอักษะในประเทศต่าง ๆ ได้อย่างไม่จำกัด และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ก็สามารถดูแลยึดครองประเทศฝ่ายอักษะไม่ว่าจะเป็นเยอรมันตะวันตก หรือญี่ปุ่น ได้เป็นอย่างดี
.
และหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสหภาพโซเวียตซึ่งพึ่งฟื้นตัวจากการรุกรานโจมตีของเยอรมัน ด้วยความช่วยเหลือของสหรัฐฯ เอง แต่ด้วยระบอบการเมืองการปกครองที่ต่างกัน ซ้ำผู้นำประเทศเองก็มีแนวคิดในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ให้สามารถครองโลกให้ได้ แน่นอนที่สุดประเทศเจ้าแห่งประชาธิปไตยเช่น สหรัฐฯ ย่อมไม่มีทางยอมอยู่แล้ว โลกจึงเกิดเป็นสองขั้วคือ ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐฯ และฝ่ายคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียต มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นเพื่อดูแลป้องกันโลกไม่ให้เกิดมหาสงครามขึ้นมาอีกโดยศึกษาจุดอ่อนข้อเสียขององค์การสันนิบาตชาติซึ่งก่อตั้งภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยหวังว่าจะสามารถระงับยับยั้งมหาสงครามให้เกิดขึ้นอีก แต่สันนิบาตชาติก็ล้มเหลวจนเกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง สหประชาชาติแม้จะเป็นองค์กรระดับนานาชาติแต่ก็มีชาติที่มีอภิสิทธิมากกว่าชาติอื่น ๆ ห้าชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศสัมพันธมิตรผู้นะสงครามได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และสหภาพโซเวียต ในชื่อว่า สมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council – UNSC) มีอำนาจ/หน้าที่
ข้อ 24-26 ของกฎบัตรสหประชาชาติกำหนดอำนาจหน้าที่หลัก (primary responsibility) ของ UNSC ไว้ให้มีความรับผิดชอบในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ (ข้อ 24) และกำหนดภารกิจของกองกำลังรักษาสันติภาพและร่วมมือกับคณะกรรมการฝ่ายทหารในการกำหนดแผนการลดอาวุธ (ข้อ 26) ทั้งนี้ สมาชิก UN ตกลงยอมรับและมีพันธกรณีที่จะปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ UNSC (ข้อ 25)
.
แล้วทั้งสองฝ่ายก็แผ่อิทธิพลไปยังภูมิภาคต่าง ๆ แข่งขัน ซึ่งทำให้หลีกเลี่ยงการสู้รบไม่พ้น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามย่อย ๆ ที่เกิดขึ้นไปทั่วคือ สงครามการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวอาณานิคมซึ่งต่อต้านการยึดครองของประเทศเจ้าอาณานิคมในทวีปเอเชีย และแอฟริกา ซึ่งที่สุดแล้วประเทศเจ้าอาณานิคมทั้งหลายก็ไม่สามารถรักษาอำนาจในอาณานิคมของตัวเองได้เป็นส่วนใหญ่ ด้วยภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาอยู่ในมือของชาวพื้นเมืองทำให้การสู้รบไม่ได้มีความได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก ซ้ำบางในบางประเทศอย่างเวียตนาม กองกำลังเวียตมินห์ได้รับการสนับสนุนจากค่ายคอมมิวนิสต์ และด้วยความถนัดชำนาญในภูมิประเทศของพื้นที่มากกว่า จึงสร้างความเสียหายให้กองทัพฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมจนต้องถอนตัวออกไปในที่ที่สุด
.
สงครามใหญ่ที่เกิดภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นครั้งแรกคือ สงครามเกาหลี จากการแบ่งเกาหลีอดีตอาณานิคมของญี่ปุ่นซึ่งพ่ายแพ้สงครามเป็นสองส่วนขั้นกลางด้วยเส้นขนานที่ 38 ฝ่ายเหนือมีสหภาพโซเวียตและจีนแดง(ในขณะนั้น) สนับสนุน และแน่นอนฝ่ายใต้สหรัฐฯ เป็นผู้ดูแล ที่สุดฝ่ายเหนือก็ยกกำลังบุกฝ่ายใต้ สหประชาชาติจึงได้ทำงานใหญ่ครั้งแรก เพื่อสกัดการบุกของเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ ได้ส่งกำลังทหารที่ยึดครองญี่ปุ่นเข้าไปสกัด และระดมชาติสมาชิกสหประชาชาติอื่น ๆ เข้าไปร่วมรบ (รวมทั้งไทยด้วย) สงครามครั้งนี้จบลงด้วยสัญญาหยุดยิง ซึ่งยังไม่ใช่สนธิสัญญาสงบศึก สงครามเกาหลีเป็นสงครามแรกที่สหรัฐฯ ต้องรบภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ ด้วยรบในนามของสหประชาชาติ อาจนับได้ว่า ผลสำเร็จของสหรัฐฯ ในสงครามนี้คือ สามารถรักษาเกาหลีใต้ไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ แม้กองกำลังสหประชาชาตินำโดยสหรัฐฯ จะสามารถบุกข้ามเส้นขนานที่ 38 ได้ แต่ก็ถูกต้านทานอย่างหนัก และด้วยข้อจำกัดหลายประการ ทั้งเกาหลีเหนือและจีนแดงไม่ได้มีข้อจำกัดใด ๆ ในการสู้รบ ข้อจำกัดในการทำสงครามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถเอาชนะในสงครามเวียตนามได้ในเวลาต่อมา
.
อินโดจีนมีอาณานิคมของฝรั่งเศสสามประเทศคือ เวียตนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งล้วนแล้วแต่มีกลุ่มต่อต้านฝรั่งเศส และที่เข้มแข็งและปฏิบัติการได้เข้มข้นที่สุดคือ ขบวนการเวียตมินห์ ซึ่งพัฒนาต่อมาเป็นกองทัพประชาชนเวียตนาม และเป็นกองทัพเวียดนามในปัจจุบัน ความพ่ายแพ้ของกองทัพฝรั่งเศสต่อกองกำลังเวียตมินห์ที่เดียนเบียนฟู ทำให้ฝรั่งเศสต้องสละอาณานิคมในภูมิภาคนี้ทั้งหมด แล้วสหรัฐฯ ก็เข้ามาแทนที่ด้วยเหตุผลคือ การป้องกันการแผ่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ โดยยอมละเลยอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยของตนด้วยการสนับสนุนให้กองทัพที่เป็นพวกเป็นฝ่ายที่สนับสนุนและยอมทำตามสหรัฐฯ ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง นี้คือ อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ พ่ายแพ้ในภูมิภาคนี้ด้วยผู้นำทางทหารเหล่านั้นเมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้วแทนที่จะพัฒนาชาติบ้านเมือง กลับกลายเป็นเผด็จการทรราชทำการทุจริตโกงกินคอรัปชั่นกันอย่างมากมายมหาศาล
.
เมื่อนายทหารใหญ่ ๆ กลายเป็นเผด็จการทรราชทุจริตโกงกินแล้ว คุณภาพของกองทัพก็ลดลงทั้งวินัย ขวัญกำลังใจ และความสามารถในการรบ อุดมการณ์รักชาติกลายเป็นอุดมกินแสวงหาผลประโยชน์เงินทองในหมู่ทหารทุกระดับชั้น เมื่อมีความสุขสบาย ความรักตัวกลัวตายจึงเกิด ในขณะที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยังคงยึดถืออุดมการณ์รักชาติ เพื่อชาติ อยู่เช่นเดิม อีกทั้งความช่วยเหลือที่ได้รับจากสหรัฐฯ จำนวนมหาศาล ประมาณกันว่า CIA ใช้เงินในการปฏิบัติการในลาวเดือนละยี่สิบล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบค่าเงินในขณะนั้นราวสี่ร้อยล้านบาท ราคาขายทองคำในขณะนั้นทองคำบาทละสี่ร้อยบาท เทียบได้ประมาณเดือนละสองหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน ที่สุดแล้วนายพลลาวในยุคนั้นต้องอพยพหลบหนีออกมา และไม่มีใครได้ตายบนแผ่นดินเกิดเลยสักคน
.
เมื่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอินโดจีนถูกเผยแพร่ตีแผ่ในสื่อต่าง ๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะโทรทัศน์ อเมริกันชนได้เห็นปฏิบัติการรบ ส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจจึงการเกิดการประท้วงต่อต้านสงครามอยู่ตามมหาวิทยาลัย และตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ เด็กหนุ่มอเมริกันซึ่งแต่เดิมสหรัฐฯ ใช้ระบบการเกณฑ์ทหาร ก็หวาดกลัว ต่อต้าน และอพยพหลบหนีออกจากประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ไปรบในเวียตนาม ความเบื่อหน่ายต่อสงครามซึ่งสหรัฐฯ เข้าร่วมตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองต่อเนื่องมา ทั้งอเมริกันชนไม่เห็นประโยชน์ในการทำสงครามเวียตนาม ทั้งสูญเสียชีวิตทหารอเมริกันเกือบหกหมื่นนาย รัฐบาลสหรัฐฯ จึงดำเนินการเจรจาสงบศึกและทยอยถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากเวียตนามเป็นส่วนใหญ่ในปี 1973 แต่ยังคงให้การสนับสนุนรัฐบาลเวียตนามใต้อยู่ด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมหาศาล โดยหวังว่า กองทัพเวียตนามใต้จะนำประชาชนจับอาวุธต่อสู้กับกองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังเวียตกง ด้วยความผิดพลาดในการทำให้กองทัพเวียตนามใต้เสพติดการทุจริตคอรัปชั่นโกงกิน ใช้อำนาจในการรังแกประชาชนจนขาดความยกย่อง นับถือ และเชื่อมั่น จึงไม่มีใครร่วมที่จะต่อสู้เลย ซ้ำร้ายทหารเวียตนามใต้เองเมื่อขาดวินัย ขวัญกำลังใจต่ำมาก ๆ จึงพากันถอดเครื่องแบบหนีทัพ ที่สุดแล้วอาวุธจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านั้นก็ตกอยู่มือของ กองทัพเวียตนามเหนือ หรือกองทัพเวียดนามในปัจจุบัน แม้จะสูญเสียไปในการรบกับจีนในสงครามจีนสั่งสอนเวียตนาม สงครามในกัมพูชา รบกับกองทัพไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ก็ยังคงมีเหลืออยู่อีก ซึ่งบางส่วนยังไม่เคยได้ใช้งานเลย
.
การที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเอาชนะในสงครามครั้งนั้นได้ ด้วยเพราะการบริหารที่ผิดพลาดทั้งการทหารและการเมือง เมื่อบริหารร่วมกันในการทำสงครามแล้วยิ่งผิดพลาด แม้จนปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ จะยังคงเป็นกองทัพอันดับหนึ่งของโลกก็ตาม หากแต่พิจารณาถึงสงครามที่สงครามต่าง ๆ ในระยะหลังที่กองทัพสหรัฐฯ มีบทบาทนั้น กองทัพสหรัฐฯ จะถูกมองในบทบาทของผู้รุกรานมากกว่าบทบาทของผู้ช่วยเหลือหรือผู้ปลดปล่อย จึงกลายเป็นศัตรูมากกว่ามิตร หากจะเปรียบเหมือนกับกองทัพสหรัฐฯ ใช้พระเดช (อำนาจ) มากกว่าพระคุณ (ไมตรีจิต-มิตรภาพ-จริงใจ-ช่วยเหลือ-ห่วงใย-ใส่ใจ) ความสำเร็จในการทำสงครามในมุมมองของผู้เขียนคือ การบริหารพระเดชและพระคุณให้เกิดความเหมาะสมสมดุล ไม่ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากหรือน้อยจนเกินไป แต่ใช้ทั้งสองอย่างให้เหมาะสม ตามแต่บริบทของพื้นที่และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ๆ
.
“อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) คือ สัจธรรมที่มนุษยชาติต้องประสบพบเจอ ไม่เว้นแม้แต่ สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ ซึ่งเราท่านน่าจะมีโอกาสได้เห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นในเวลาต่อไป
.
ขอบคุณบทความ How the Vietnam War Ratcheted Up Under 5 U.S. Presidents : Truman, Eisenhower, Kennedy, Johnson and Nixon all deepened U.S. involvement in the decades-long conflict.
โดย คุณ JESSE GREENSPAN