Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ไข่มุกดำ
•
ติดตาม
17 พ.ค. 2020 เวลา 01:00 • กีฬา
สตั๊ดคู่แรก
ผมใส่รองเท้าฟุตบอลมีปุ่มที่บ้านเราเรียกกันตั้งแต่เด็กน้อยจำความได้ว่า “สต๊าด” ไม่ใช่ “สตั๊ด” (Stud) ที่แปลว่า “ปุ่ม” แบบถูกต้อง ก็เพราะตามสำเนียงไทยเวลาพูดทับศัพท์ภาษาอังกฤษนั่นแหละนะตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 4 หรือ 5 หรือก็ราว ๆ ค.ศ.1983 เลยนะ
ตอนนั้นเรียนประถมฯ รร.เบญจมินทร์ ถนนสุขาภิบาล 1 ที่ตอนนี้น่าจะชื่อเส้นนวมินทร์โดยต้องบอกเลยว่า ยุคนั้น หรือยุคเกือบ 40 ปีก่อน “สตั๊ด” ที่จริง ๆ คือ Football Boot ในภาษาอังกฤษเป็นของหายากมาก ๆ จะหาซื้อสักคู่มาใส่กันสำหรับผู้คน โดยเฉพาะ "เด็ก ๆ"
เหตุผลหลักก็ “เรื่องเงิน” การสนับสนุนจากผู้ปกครองแน่นอนอยู่แล้ว
รองลงมาก็คือ ห้างสรรพสินค้า ไม่ได้มีเยอะแยะทุกระดับแบบตอนนี้ ขณะที่ร้านรองรับ เช่น ร้านขายเครื่องกีฬา และอุปกรณ์เรียนก็แทบจะมีร้านเดียวในจังหวัด หรือไม่กี่ร้านในกรุงเทพมหานคร
สุดท้ายที่ยากไม่แพ้กัน คือ ขนาดเท้าเด็ก เด็กประถมใส่รองเท้าเบอร์เล็ก เบอร์ 36, 37 ซึ่งก็ยากครับที่ไซส์จะพอดีเท้า หรือใส่ได้ไม่เท่าไหร่ เท้าก็อาจจะโตขึ้นแล้วไง? ก็ต้องซื้อใหม่ เปลืองเงิน หรือจะต้องทนใส่หลวมหน่อยซึ่งไม่ได้สำหรับรองเท้าฟุตบอลที่ควรจะพอดิบพอดีรูปเท้า
มากกว่านั้น “คุณภาพ” ยังสำคัญนะครับ ยุคก่อนแบรนด์บ้านเราก็มี FBT, Grand Sport หรือแบรนด์ถอดปุ่ม ขึ้นต้นด้วยตัว “M” แต่ผมลืมยี่ห้อ และ Dum ของ “น้าดำ” นาวาอากาศเอก ศุภกิจ มีลาภกิจ อดีตนักเตะทีมชาติไทยของสโมสรกองทัพอากาศที่ร้านตัดรองเท้าอยู่ในห้องแถวเล็กตลาดสะพานใหม่ ดอนเมือง
อย่างไรก็ดีครับ การเข้าถึงยังไม่ง่ายนัก ติดเหตุผลโน่นนี่ตามข้างต้น ดังนั้นในช่วงประถมผมจึงอาศัยไปซื้อสตั๊ดตัดเองของไทยย่านพระโขนง (น่าจะชื่อ "เออริมา") โดยต้องนั่งรถเมล์ต่อหลายสายจากบ้านแถบดอนเมืองไปซื้อ
เพราะไม่มีรถไฟฟ้า ก็อารมณ์ประมาณนั่งสาย 34, 39 จากแถวประตูกรุงเทพมาลงวัดพระศรีฯบางเขนแล้วต่อสาย 26 ไปลง กม.8 แล้วต่อสาย 71 ไปตลาดพระโขนง
สนนราคาก็คู่ละ 2-3 ร้อยบาทในเวลาที่รองเท้านักเรียนคู่ละไม่ถึง 100 บาทซึ่งก็โอเครอยู่
แต่เอาตรง ๆ แล้ว มันหนัก มันไม่ถนัด ใส่ไม่กระชับ สู้เท้าเปล่า ผ้าใบ หรือใส่แองเกิ้ลเตะไม่ได้
ทว่าเพื่อความเท่ห์ และเผลอ ๆ จะได้ใส่แค่เฉพาะตอนแข่ง (ซึ่งทำให้เล่นไม่ดีเหมือนซ้อมตอนไม่ใส่ด้วยซ้ำ เพราะไม่ชิน และคุณภาพไม่เหมาะสม) ก็มักใส่สตั๊ดโชว์กัน
ยุคนั้น ใครมีเพื่อนพ่อ เพื่อนแม่ หรือเพื่อนญาติเดินทางไปต่างประเทศก็อาจจะฝากซื้อกลับมาได้
เพื่อนประถมผมคนหนึ่งชื่อ เอกสิทธิ์ ศุภศรี น่าจะมีคนซื้อมาฝากเป็น 6 ปุ่ม Adidas เท่ห์ ๆ หากจำไม่ผิดน่าจะรุ่น World Cup อันเรื่องชื่อนั่นแหละ เพราะนำลายกระดูกสีแดงได้ติดตาจนวันนี้
โดยวัยเด็ก ผมมีโอกาสได้เรียนฟุตบอล ถูกต้อง จริงจัง แค่ครั้งเดียว คือ ตอนประถมฯ 5 ค.ศ.1984 ที่การกีฬาแห่งประเทศไทยมีการอบรมฟุตบอลภาคฤดูร้อน (อ.เสนอ ไชยยงค์ และทีมงาน) และเกิดปรากฎการณ์มีเด็กทั่วกรุง และผู้ใหญ่ด้วยแห่ไปเรียนหลายร้อยคน
ผมต้อง “เดาะบอล” (แบบงู ๆ ปลา ๆ) ให้ได้เพื่อจะผ่านการคัดเลือกซึ่งไม่ผ่าน แต่ยังเสนอหน้าแอบไปเรียนทุกวันโดย “มั่วนิ่ม” จนจบคอร์สที่ก็ไม่ได้ประกาศนียบัตรใด ๆ
ส่วนสตั๊ดในฝันตอนนั้นยังมี "ภาพจำ" Patrick ที่เควิน คีแกน ใช้ และมีขายที่เซนทรัล ลาดพร้าว ชั้นกีฬา (แต่ก่อนอยู่ชั้น 1) และเพื่อนชื่อ "อ๋อง" ซื้อมาใส่แบบเท่ห์มาก เพราะน่าจะคู่ละ 2 พันในตอนนั้น
-
ภาพตัดมาตอนมัธยมศึกษา ผมสอบเข้าเรียนที่ รร.สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร หรือรร.สาธิตวัดพระศรีฯ ในยุคนั้น และไม่ได้ใส่สตั๊ดอีกเลย เพราะเข็ด ใส่แล้วเตะไม่ดี หรือกัดเท้า ฯลฯ
การกีฬาแห่งประเทศไทยไม่มีอบรมกีฬาอีก แต่ตอน ม.2 ค.ศ.1987 กองทัพอากาศมีการเปิดอบรม และโชคดีที่ผมได้ใช้วิทยายุทธจากที่เคยเรียนตอน ป.5 มาเดาะบอล และมีเบสิคในระดับดี
คุณครูผู้สอน อดีตนักเตะ ทอ. ชอบผมมาก ไม่นับที่ผมตอบได้ว่า “เบอร์ 10” คือ ตำแหน่ง “ในซ้าย” จนถูกแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมแข่งบอลรุ่นเล็ก (มี 2 รุ่น: รุ่นเล็ก และรุ่นใหญ่) ได้แชมป์โดยชนะเด็ก ม.3 จากการยิงจุดโทษนัดชิงฯ ที่ผมยิงเป็นคนสุดท้าย
เหลือเชื่อว่า ผมใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มคอแบบนักบาสฯใช้เตะบอล เนื่องจากมักจะข้อเท้าพลิก คุณพ่อจึงแนะนำให้ใส่ และผมก็เล่นได้เฉยเลยทั้งที่หนักมาก
---
จบซัมเมอร์นั้น ผมขึ้น ม.3 และแข่งขันฟุตบอลกีฬาสีของโรงเรียนในฐานะนักบอลไม่กี่คนจาก ม.ต้นสู้กับพี่ ๆ ม.ปลาย (ส่วนตัวก็เตะบอลสาธิตสัมพันธ์ตั้งแต่ ม.3 ถึง ม.6 และได้แชมป์ทุกปีเช่นกัน) และวันหนึ่ง ผมจำได้แม่นว่า รุ่นพี่ ม.4 ชื่อ “พี่จ้าน” นาวาอากาศโท จารุต สุขประเสริฐ ซึ่งตอนนี้เป็นนักบินสายการบินนกแอร์ ให้ยืมสตั๊ด Adidas มา 1 คู่ เพราะรองเท้าผมเหมือนจะขาด หรืออะไรสักอย่าง
“ผมไม่ชอบใส่สตั๊ดพี่ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวลองยืมเพื่อนก่อน”
พี่จ้านตอบว่า “เอ็งลองดู คู่นี้”
ครับ Adidas La Plata ได้เปลี่ยนบริบทการใส่สตั๊ดของผมไปตลอดกาล!!!
มันอาจเพราะขนาดเท้าเราเท่ากันด้วย และความนุ่มหนังจิงโจ้ที่ยืดหยุ่นดีแบบไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนทำให้ผมใส่แล้วแทบไม่อยากคืนนอกจาก “ขอบคุณ ๆ ๆ และขอบคุณ” แล้วคิดหาแผนการอยากได้
บอกคุณพ่อ และท่านก็ช่วยติดต่อคุณอา สุธน หงษ์ภานพ คุณพ่อ “กัปตัน” ภูธเนศ หงษ์มานพ นี่แหละซึ่งตอนนั้นเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับการบินไทยให้ซื้อให้
“ให้หลานเป็นของขวัญ” คือ คำ ๆ นั้นจากอาสุธนที่ในชีวิตผมน่าจะได้เคยเจอแก กับกัปตันแค่ 1 ครั้งเท่านั้น และสืบทราบมาว่าหลังทอนจากสิงคโปร์ ดอลลาร์ เป็นเงินไทยแล้ว ลาพลาตา คู่นั้นราคา 666 บาท
ผมใส่สตั๊ดคู่นั้นจนน่าจะถึง ม.5 หรือ ม.6 ชนิดซ่อมแล้วซ่อมอีกจากหลังคุณลุงตรงหัวมุมหลังสนามศุภฯ และซื้ออีกคู่ตอน ม.6 และเข้าจุฬาฯอันทำให้ได้รู้จักกับ Copa Mundial หรือสตั๊ดพับลิ้นได้เหมือนที่ “พี่ตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ใส่เป็นประจำนั่นเอง
นักเตะบอลจุฬาฯยุคนั้นใส่กันแทบทุกคน และดึก ๆ ในหอก็จะเอาเช็ดทำความสะอาดในห้องหลังซ้อมบอลกัน
ผมน่าจะซื้อพร้อม ๆ กับ “โค้ชแดง” ทรงยศ กลิ่นศรีสุข โปรไลเซนส์ และเป็น Instructor อบรมโค้ชของสมาคมฟุตบอลฯ ในตอนนี้ และใส่มาตลอดเป็นคู่หลักกระทั่งปีที่ผ่านมา 2019 โดยมีแทรกนอกใจให้แค่ เดียดอร่า สีเขียวของ เดยัน ซาวิเซวิช, ไนกี้ เทียมโป้ และมิซูโน่ นีโอ อย่างละ 1 คู่เท่านั้น
ส่วนผมตอนนี้ ใส่ “พูม่า” evoTouch Pro เบอร์ 27 cm เพียงอย่างเดียว และมี 2 คู่แบบหุ้ม กับไม่หุ้มข้อ เพราะนุ่มใส่สบาย เหมาะกับวัย และปลายเท้าแบน ๆ ไม่เหมือน โคปา ที่จะแหลมไป
ครับ แม้ Adidas La Plata จะไม่ใช่สตั๊ดคู่แรกเสียทีเดียวสำหรับผม แต่กับ “บริบท” ให้ได้รัก และไม่แหยงกับรองเท้าบอล มันคือ จุดเริ่มต้น จริง ๆ
อ้าว...ว่าง ๆ ไม่ได้ชาลเลนจ์นะ เมาท์เรื่องสตั๊ดคู่แรกตัวเองกันหน่อยให้คลายคิดถึง และสู้กับโควิดด้วยกันฮะ
📸
mycarousell.com
#ไข่มุกดำ
#myfirstfootballboot
#สตั๊ดคู่แรก
บันทึก
5
3
5
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย