16 พ.ค. 2020 เวลา 06:30 • กีฬา
"หัตถ์พระเจ้า" หรือ "มืออันสกปรก"
1
ฟุตบอลโลก 1986 ประเทศเม็กซิโก หนึ่งในการแข่งขันที่มีแมตช์ที่ได้รับการยกย่องว่ามันที่สุดและมีแมตช์ที่อัปยศที่สุดด้วยเช่นกัน
2
ฟุตบอลโลกปี 1986 ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 โดยมีเจ้าภาพจัดการแข่งขันคือประเทศเม็กซิโก
1
แต่จริงๆ แล้ว เม็กซิโกไม่ได้เป็นประเทศที่ถูกเลือกมาแต่เริ่ม เพราะในตอนแรกทุกฝ่ายต่างตกลงให้ประเทศโคลอมเบียเป็นผู้จัดงาน แต่ด้วยเหตุผลทางการเงินของประเทศที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ จึงทำให้โคลอมเบียประกาศถอนตัวออกไปและเป็นเม็กซิโกที่เข้ามารับหน้าที่แทน
1
ฟุตบอลโลกในครั้งนั้น ถือเป็นหนึ่งในมหกรรมกีฬาที่มีแมตช์สุดคลาสสิคให้พูดถึงอยู่หลายแมตช์ เพราะแต่ละทีมชาติล้วนเต็มไปด้วยนักเตะชื่อดังและมีผลงานโดดเด่นมาตลอดการแข่งขัน
1
ไม่ว่าจะเป็นทีมชาติอังกฤษที่นำทีมโดย แกรี่ ลินิเกอร์, ไบรอัน ร็อบสัน
ทีมชาติฝรั่งเศสมี มิเชล พลาตินี, อแลง จิแรส, ฌอง ติกานา
ทีมชาติบราซิลมี อันโตนิโอ กาเรก้า, โซคราเตส, อเลมา และทีมชาติอาร์เจนตินาที่นำทัพโดยสตาร์ระดับโลกอย่างดิเอโก มาราโดนา
ทั้งหมดนี้คือรายชื่อนักเตะระดับแถวหน้าที่ดีที่สุดสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนั้น
โดยแมตช์ที่ได้รับการยกย่องว่าสนุกชนิดถึงพริกถึงขิง คือคู่ทีมชาติบราซิลกับทีมชาติฝรั่งเศสที่เปิดเกมบุกใส่กันแบบไม่มีพัก ต่างฝ่ายต่างงัดเทคนิคและความเก๋าออกมาสู้ จนพาคนดูตื่นเต้นและลุ้นไปตลอดกว่า 120 นาที ก่อนจะจบเกมด้วยการเสมอ 1-1 และดวลจุดโทษด้วยชัยชนะของฝรั่งเศสไปด้วยสกอร์ 4-3
1
แต่อีกแมตช์ที่ทุกคนต่างกล่าวถึงและเป็นที่จดจำมากที่สุดในปีนั้นกลับไม่ใช่คู่ของบราซิลและฝรั่งเศส แต่มันเป็นแมตช์ที่ฝ่ายหนึ่งเรียกว่าฟุตบอลสุดสกปรกอัปยศ ในขณะที่อีกฝ่ายต่างยกย่องว่านี่คือแมตช์แห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่
3
และการแข่งขันที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้คือ คู่รอบรองชนะเลิศสุดคลาสสิคระหว่าง "ทีมชาติอังกฤษ" และ "ทีมชาติอาร์เจนตินา"
3
ทีมชาติอังกฤษในปีนั้นพวกเขาออกสตาร์ทด้วยฟอร์มที่ไม่ดีเลย นัดแรกแพ้โปรตุเกส นัดที่สองเสมอให้กับโมรอคโค และก่อนจะถึงนัดที่สามพวกเขาก็โดนแฟนบอลรุมด่าอย่างเละเทะ
2
เพราะฟอร์มที่เห็นมันไม่สมกับเป็นทีมใหญ่ที่มีเกมรุกอันดุดันในสไตล์อังกฤษเลย พวกเขากลัวว่าอังกฤษอาจจะตกรอบแรกเลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้กุลซือทีมชาติอังกฤษอย่างเซอร์บ็อบบี้ รอบสัน ต้องออกมาวางแผนปรับทีมกันใหม่
พอเข้าสู่นัดที่สามทีมชาติอังกฤษเริ่มเรียกฟอร์มกลับมาได้ พวกเขาถล่มโปแลนด์ไป 3-0 นั่นทำให้บ็อบบี้เริ่มเห็นหนทางในการเข้าสู่รอบรองชนะเลิศมากขึ้น
2
และพวกเขาก็ทำได้จริงๆ เพราะในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทีมชาติอังกฤษโชว์ฟอร์มโหดด้วยการถล่มปารากวัยไป 3-0 ก่อนจะเข้ามาในรอบรองชนะเลิศที่มีคู่ปรับตัวสำคัญกำลังรอพวกเขาอยู่อย่าง "ทีมชาติอาร์เจนติน่า"
ทีมชาติอาร์เจนติน่าภายใต้นักเตะระดับโลกอย่างมาราโดน่า พวกเขากรุยทางสู่รอบรองชนะเลิศมาอย่างง่ายดาย ตลอดทัวร์นาเมนต์พวกเขาทำไปทั้งหมด 14 ประตู และ 10 ประตู มาจากมาราโดน่าเพียงคนเดียว
1
ว่ากันว่ามาราโดน่าคือนักเตะที่อันตรายที่สุด เขาสามารถทำประตูสำคัญๆ ให้ทีมพลิกเป็นฝ่ายชนะมานักต่อนักแล้ว
ดังนั้น นี่ไม่ใช่งานง่ายของอังกฤษ และบ็อบบี้ รอบสันเอง ก็รู้พิษสงของมาราโดน่าดี ก่อนแข่งขันเขาชื่นชมมาราโดน่าว่า "ถ้ามาราโดน่าเป็นคนอังกฤษ ป่านนี้เราคงได้แชมป์กันไปนานแล้ว"
แต่ภายใต้คำชื่นชมนั้น มันก็แฝงถึงความเดือดระอุของทั้งสองทีมอยู่ไม่น้อยเลย เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองชาติเริ่มมีประเด็นความขัดแย้งในสงครามหมู่เกาะฟอร์กแลนด์ที่กำลังตึงเครียด
1
ในขณะที่ด้านฟุตบอล ทีมชาติอาร์เจนติน่าก็เคยทำแสบกับทีมชาติอังกฤษในปี 1966 ด้วยการเล่นที่รุนแรงแบบถึงคนไม่ถึงบอล จนทีมชาติอังกฤษประณามการแข่งขันในครั้งนั้นว่าเป็นการเล่นที่ป่าเถื่อนราวกับสัตว์ป่า
3
แน่นอนว่า ก่อนแข่งขันพวกเขาทั้งสองต่างมีความบาดหมางกันอยู่แล้ว ดังนั้นประเทศเม็กซิโก ในฐานะเจ้าภาพ จึงต้องจัดการแข่งขันให้ยุติธรรมและเป็นกลางที่สุด โดยเลือกกรรมการจากทวีปอื่นที่ไม่ได้มาจากยุโรปและอเมริกาใต้ตามทั้งสองประเทศ
1
ดังนั้นผู้จัดจึงเลือกกรรมการผู้ตัดสินในทวีปแอฟริกาคือ อาลี บิน นัสเซอร์ ประเทศตูนีเซีย ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในเกมการตัดสินขนาดใหญ่แบบนี้มาก่อน
2
22 มิถุนายน 1986 วันแข่งขันคู่สำคัญมาถึง ในช่วงครึ่งแรกฝ่ายทีมชาติอังกฤษและอาร์เจนติน่าพยามเข้าทำประตู แต่พวกเขายังทำอะไรกันไม่ได้สกอร์ของทั้งสองฝั่งยังคงเป็น 0-0
จนเข้าสู่ครึ่งหลัง ในนาทีที่ 51 หรือเพียง 6 นาทีหลังเกมเริ่ม มาราโดน่าก็ทำเหตุการณ์ช็อคโลกจนได้ เมื่อเคนนี่ แซนซัมส่งบอลพลาดจนบอลลอยผ่านหน้าประตูอังกฤษ ขณะนั้นชิลตันผู้รักษาประตูที่มีความสูง 183 ซม. กำลังวิ่งเข้าไปชกบอลเพื่อเคลียร์บอลออกหน้าประตู แต่อยู่ๆ มาราโดน่าที่มีความสูงเพียง 167 ซม. กลับวิ่งเข้ามาแล้วโหม่งบอลทำประตูเข้าไปได้
5
มาราโดน่าและเพื่อนร่วมทีมวิ่งเข้ามาฉลองประตูแรกทันที พวกเขาทำสำเร็จ และได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0
แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะทุกคนต่างเห็นว่า มาราโดน่าไม่ได้โหม่งบอลเข้าไป แต่เขาใช้ "มือปัดบอล" เข้าไปต่างหาก
จุดนี้ทั้งนักฟุตบอล คนดู และบ็อบบี้ก็เห็น แต่มีคนเดียวที่ไม่ทันจังหวะนี้คือกรรมการผู้ตัดสิน พวกเขาไม่เห็น แม้แต่ไลน์แมนก็ไม่เห็นและเป่าให้ลูกนี้เป็นประตูขึ้นนำของอาร์เจนติน่าไป 1-0 อย่างหน้าตาเฉย
1
มาราโดน่าเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า "บอลลอยสูงขึ้นไปขนาดนั้น ผมไม่มีทางกระโดดถึงแน่ ผมภาวนาให้ลูกบอลมันตกลงมา แต่แล้วผมก็เอามือปัดขึ้นไปบนหัวแล้วกระโดดถึงบอลก่อน ส่วนชิลตันไม่รู้ว่าบอลอยู่ตรงไหน พอผมมองกลับไป ผมเห็นบอลอยู่ในตาข่ายแล้ว จึงตะโกนลั่นว่า ได้ประตู! ได้ประตู! "
1
ในตอนนั้นทีมชาติอาร์เจนติน่าที่กำลังวิ่งเข้ามาดีใจกับประตูแรก เซร์คิโอ บาติสต้าแอบมากระซิบกับมาราโดน่าว่า "เฮ้ย นี่นายใช้มือทำประตูนี่" มาราโดน่าตอบกลับไปว่า "เงียบไปซะ แล้วมากอดดีใจเดี๋ยวนี้"
1
ในขณะที่ฮอร์เก้ วัลดาโน่ ก็เข้ามาบอกว่า "ไม่ต้องบอกฉันนะว่านายใช้มือปัดบอลทำประตู" หลังจากนั้นพวกเขาก็แสดงความดีใจราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
1
แน่นอนว่าฝั่งอังกฤษกำลังหัวเสียกันใหญ่ และผู้เล่นอังกฤษคนอื่นพยายามประท้วงผู้ตัดสินแล้ว แต่ ณ นาทีนั้น ผู้ตัดสินยืนยันคำเดิมว่าลูกนี้เป็นประตู
1
กลับกันในฝั่งอาร์เจนติน่า พวกเขากำลังมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาราโดน่าหลังจากทำประตูแรก เขาก็โชว์ฟอร์มเลี้ยงเดี่ยวลากยาวมากว่าครึ่งสนาม แล้วควบบอลผ่านผู้เล่นอังกฤษเข้าไปยิงอย่างเหนือชั้น เพิ่มประตูไปอีกหนึ่งลูก
แต่ถึงมันจะเป็นประตูที่สวยงามขนาดไหน สำหรับคนอังกฤษแล้ว ตอนนี้มาราโดน่าเปรียบเสมือนโจรที่ปล้นประตูไปจากพวกเขา
1
ผู้เล่นฝั่งอังกฤษทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องยิงประตูคืนเท่านั้น และเป็นแกรี่ ลินิเกอร์ ที่ซัดลูกฟุตบอลเต็มข้อเข้าประตูฝั่งอาร์เจนติน่าในนาทีที่ 81 แต่มาถึงตรงนี้มันก็ไม่ทันเสียแล้ว
สุดท้ายเกมจบด้วยชัยชนะของทีมชาติอาร์เจนติน่าที่เชือดเฉือนไป 2-1 ส่วนทีมชาติอังกฤษกลายเป็นทีมที่พ่ายแพ้และแค้นใจกับลูกปัดบอลเข้าประตูของมาราโดน่า จนบ็อบบี้ รอบสันออกมาพูดหลังจบเกมว่า "พวกมันใช้มือปัดบอลใช่ไหม พวกมันเล่นกันอย่างสกปรก!!"
ฟุตบอลโลกในปีนั้น จบด้วยอาร์เจนติน่ากลายเป็นแชมป์โลก หลังเอาชนะเยอรมันตะวันตกในรอบชิงไปด้วยสกอร์ 3-2 ในขณะที่มาราโดน่าได้รับการยกย่องจากแฟนบอล ยกเว้นชาวอังกฤษที่มองว่าเขาคือโจรและเป็นนักฟุตบอลที่อัปยศที่สุด
ภายหลังมาราโดน่าได้ให้สัมภาษณ์กับลูกที่เขาใช้มือปัดบอลว่า "มันคือหัตถ์พระเจ้า" และถึงแม้มันอาจจะดูเป็นชัยชนะที่สกปรก แต่การเอาชนะอังกฤษได้ในครั้งนั้น สำหรับมาราโดน่านี่คือการแก้แค้นแทนสงครามหมู่เกาะฟอร์กแลนด์ที่อังกฤษต้องทำให้เด็กๆ ของพวกเขาเสียชีวิตไปกว่า 600 คน
2
สุดท้ายนะครับไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็กลายเป็นหนึ่งในแมตช์ตำนานของฟุตบอลโลก ที่ยังคงได้รับการพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้
โฆษณา