16 พ.ค. 2020 เวลา 11:21 • ธุรกิจ
"เราควรจะถอนเงินออกจากสหกรณ์หรือไม่?"
ท๊อฟฟี่ว่าบางคนน่าจะทราบข่าวแล้วน้าค้าว่าบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) กำลังมีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่แผนฟื้นฟู ซึ่งทำให้หลายคนนั้นกังวลน้าค้าว่าบริษัทการบินไทยนั้นกำลังจะล้มละลายในอีกไม่ช้า ยิ่งพอมีการเปิดเผยข่าวออกมาว่ามีสหกรณ์ออมทรัพย์ถึง 73 แห่งเลยที่ได้ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทการบินไทย ทำให้คนที่มีเงินในสหกรณ์ที่ว่านั้นกลัวว่าเงินลงทุนของตัวเองจะสูญหายไป ทำให้เกิดการแห่ถอนเงินออกจากสหกรณ์ของคนเป็นจำนวนมากเลยค่า~ ซึ่งท๊อฟฟี่ก็เข้าใจน้าค้าว่าเราก็กลัวเงินของตัวเองจะหายไปเหมือนกัน แต่คำถามคือ
"จริงๆแล้วเราควรจะถอนเงินออกจากสหกรณ์หรือเปล่า?"
คำถามนี้ส่วนตัวท๊อฟฟี่เองก็ไม่แน่ใจว่าจะตอบยังไงดีน้าค้า เพราะการลงทุนของสหกรณ์แต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกันอีก ดังนั้นเราอาจจะต้องไปดูสัดส่วนการลงทุนของสหกรณ์ก่อนว่ามีการลงทุนในหุ้นกู้ที่ว่านั้นคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสหกรณ์ก็ควรที่จะต้องมีการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์หลายๆแห่งอยู่แล้วจริงมั้ยค้า? ส่วนตัวท๊อฟฟี่เองมองว่าการที่สหกรณ์ (หรือกองทุนใดๆก็ตาม) ถ้าหากถือสินทรัพย์ตัวใดตัวนึงไม่เกิน 5% ของพอร์ตการลงทุนก็ยังถือว่ารับได้น้าค้า เพราะหากหุ้นกู้เกิดมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ พอร์ตการลงทุนของสหกรณ์ก็จะไม่เสียหายหนักค่า~
"แล้วถ้าเกิดหุ้นกู้เจ๊งขึ้นมาจริงๆจะเกิดอะไรขึ้นค่า?"
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ท๊อฟฟี่ก็จะสมมติด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์แบบง่ายๆกันดีกว่า สมมติว่ามีสหกรณ์แห่งนึงนั้นให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ที่ 3% ต่อปี ซึ่งสหกรณ์ดังกล่าวรวบรวมเงินฝากมาได้ 100 ล้านบาท และสหกรณ์นั้นได้วางแผนการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ รวมถึงลงทุนในหุ้นกู้ที่เข้าข่ายเจ๊งคิดเป็น 5% ของพอร์ตด้วย (คิดเป็น 5 ล้านบาท) และเราสมมติว่าสหกรณ์นั้นต้องทำผลตอบแทนให้ได้อยู่ที่ 6% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งท๊อฟฟี่มองว่า 6% นั้นค่อนข้างสมเหตุสมผลอยู่น้าค้าเมื่อเทียบกับความเสี่ยงของสหกรณ์ที่มากกว่าธนาคารทั่วไป อีกทั้งสหกรณ์ก็ต้องสร้างผลตอบแทนให้เพียงพอเพื่อนำบางส่วนไปจ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก 3% ต่อปีนั่นเอง~ ทีนี้มันก็จะมี 2 กรณีที่อาจจะเกิดขึ้นน้าค้าก็คือ
1. หุ้นกู้ไม่เจ๊ง
ถ้าหุ้นกู้ 5% ที่ว่าไม่เจ๊งเนี่ย แปลว่า เราก็จะได้ผลตอบแทนทั้งหมด 6 ล้านบาทจากเงินลงทุน 100 ล้านบาทจริงมั้ยค้า? ดังนั้นพอผ่านไป 1 ปีสหกรณ์ก็จะมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มเป็น 106 ล้านบาทค่า~ และเมื่อเราต้องจ่ายดอกเบี้ย 3% ของเงินฝากทั้งหมด 100 ล้านบาท (คิดเป็น 3 ล้านบาท) ทำให้พอหักดอกเบี้ยจากมูลค่าลงทุนแล้วก็จะยังเหลือมูลค่าลงทุนอยู่ 103 ล้านบาทน้าค้า แปลว่าพอหักดอกเบี้ยแล้วสหกรณ์ก็จะมีกำไรที่เพิ่มขึ้นมา 3 ล้านบาท และสหกรณ์ก็สามารถนำเงินกำไร 3 ล้านบาทนั้นไปลงทุนต่อได้เรื่อยๆค่า~
2. หุ้นกู้เจ๊ง
แต่ถ้าโชคร้ายหุ้นกู้นั้นเกิดเจ๊งจริงๆ (และเจ๊งแบบไม่เหลืออะไรเลยด้วย) ทำให้เราเหลือเงินลงทุนแค่ 95 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งพอคิดผลตอบแทน 6% ต่อปี ทำให้เหลือผลตอบแทนแค่ 5.7 ล้านบาทจากเงินลงทุน 95 ล้านบาทเท่านั้น ทำให้ผ่านไป 1 ปีสหกรณ์ก็จะมีมูลค่าการลงทุนเป็น 100.7 ล้านบาท พอหักดอกเบี้ย 3 ล้านบาทออกไป มูลค่าของการลงทุนก็จะเหลือแค่ 97.7 ล้านบาทเท่านั้น 'ซึ่งน้อยกว่าเงินฝากของสมาชิกที่มีอยู่ 100 ล้านบาท' ซึ่งพอเห็นแบบนี้เข้าสหกรณ์ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาด้านสภาพคล่องขึ้นมาแล้ว แต่ท๊อฟฟี่จะบอกว่ามันอาจจะไม่ได้ต้องกังวลขนาดนั้นน้าค้า เพราะเหตุผล 3 ข้อต่อไปนี้ค่า~
1. โอกาสที่สมาชิกจะมาถอนเงินออกทีเดียว 100 ล้านบาทนั้นเป็นไปได้ยากมาก
โดยส่วนใหญ่แล้วพอเวลาผ่านไปก็จะมีสมาชิกนั้นเข้าร่วมและลาออกจากสหกรณ์อยู่เรื่อยๆ ทำให้เงินฝากในสหกรณ์นั้นก็จะขึ้นๆลงๆเป็นปกติน้าค้า ซึ่งก็จะเห็นว่าเงินฝากของสหกรณ์ก็ไม่ได้ลดลงจนต้องกังวลขนาดนั้น เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ Panic บางอย่างขึ้น ทำให้สมาชิกส่วนใหญ่นั้นแห่ถอนเงินออกจากสหกรณ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งนั้นก็อาจจะสร้างปัญหาให้สหกรณ์ได้น้าค้า (จริงๆท๊อฟฟี่จะบอกว่าต่อให้หุ้นกู้ไม่เจ๊งนั้น การแห่ถอนเงินก็สร้างปัญหาให้สหกรณ์ได้อยู่ดี เพราะว่าสหกรณ์ไม่ได้เตรียมสภาพคล่องไว้รองรับการถอนเงินจำนวนมากขนาดนั้นไว้ตั้งแต่ต้นนั่นเองค่า~)
2. พอผ่านไปอีกปีนึง สหกรณ์ก็กลับมามีเงินเกิน 100 ล้านบาทอยู่ดี
กรณีที่ไม่มีการเจ๊งของสินทรัพย์อื่นๆในพอร์ตการลงทุนของสหกรณ์อีก พอผ่านไปอีก 1 ปี เราจะได้ผลตอบแทน 6% จากเงินลงทุน 97.7 ล้านบาท ก็คือ 5.862 ล้านบาทน้าค้า พอนำมารวมกันกับเงินลงทุน 97.7 ล้านบาทก็จะได้มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 103.562 ล้านบาท และพอหักดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย 3 ล้านบาทออกไป สหกรณ์ก็จะยังเหลือเงินอยู่ 100.562 ล้านบาท (ซึ่งมากกว่าเงินฝากของสหกรณ์ 100 ล้านบาท) แปลว่าสหกรณ์ก็กลับมามีเงินเพียงพอสำหรับการถอนเงินของสมาชิกทุกคนแล้ว (เย่!)
3. และถึงต่อให้หุ้นกู้เจ๊ง ส่วนมากก็มีโอกาสที่จะได้เงินคืนบางส่วนอยู่ดี
ท๊อฟฟี่ว่าบางคนน่าจะทราบน้าค้าว่าหุ้นกู้นั้นเป็นตราสารหนี้อย่างนึง ซึ่งให้สถานะเราเป็นเจ้าหนี้ แปลว่าพอบริษัทที่เราลงทุนนั้นมีปัญหาอะไร เราก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินคืนก่อนคนอื่ืนๆ เช่น ผู้ถือหุ้น ดังนั้นปกติแล้วถ้าเกิดหุ้นกู้มีปัญหาจริงๆก็ไม่ได้แปลว่าเราจะสูญเงินไปทั้งหมดน้าค้า เราก็คงจะได้อะไรกลับมาบ้าง ซึ่งถ้าโชคดีเราก็จะได้เงินคืนมาเต็มจำนวน แต่ถ้าโชคร้ายสุดๆ เราก็จะไม่ได้อะไรกลับมาเลย (แง) แต่ถึงไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ไม่ต้องกังวลน้าค้า เพราะว่าเหตุผล 2 ข้อแรกที่ท๊อฟฟี่บอกไปแล้วนั่นเองค่า~
ดังนั้นถ้าใช้คณิตศาสตร์คำนวณดูก็จะเห็นน้าค้าว่า การเจ๊งของหุ้นกู้เพียงตัวเดียวนั้นก็คงจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับมูลค่าการลงทุนของสหกรณ์ขนาดนั้น ซึ่งท๊อฟฟี่คงจะไม่แนะนำว่าเราควรจะถอนเงินออกจากสหกรณ์หรือว่าจะเก็บเงินลงทุนต่อไปดี เอาเป็นว่าให้ผู้อ่านที่น่ารักของเราเป็นคนตัดสินใจเอาเองแล้วกันค่า~
"แต่เรายังลืมนึกถึงปัจจัยทางจิตวิทยาไปอย่าง"
ในโลกอุดมคตินั้นเราเชื่อว่านักลงทุนนั้นเป็นคนที่มีความรู้ มีเหตุผล ลงทุนแบบมีหลักการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว "ไม่ค่ะ!" นักลงทุนไม่ได้มีเหตุผลขนาดนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนโดยมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นปกติ ซึ่งท๊อฟฟี่ก็เชื่อว่าทุกคนก็คงเป็นกันแหละจริงมั้ยค้า? พอเราได้ยินข่าวว่าสหกรณ์นั้นลงทุนในหุ้นกู้ที่กำลังจะเจ๊ง นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ต้องกลัวไว้ก่อนว่าเงินลงทุนของตัวเองจะสูญหายไป ทำให้นักลงทุนบางคนนั้นตัดสินใจไปถอนเงินออกจากสหกรณ์ ซึ่งถ้านักลงทุนถอนเงินออกเพียงไม่กี่คน หรือเป็นจำนวนเงินไม่มาก สหกรณ์ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเกิดนักลงทุนจำนวนมากแห่ถอนเงินขึ้นมาเมื่อไหร่ ที่นี้แหละสหกรณ์นั้นก็จะได้เจ๊งของจริงน้าค้า เพราะว่าสหกรณ์นั้นไม่ได้เตรียมสภาพคล่องเผื่อไว้สำหรับการถอนเงินมากถึงขนาดนั้นค่า~
"แล้วถ้าสมมติว่าเราตัดสินใจลงทุนต่อ แต่คนอื่นแห่ถอนเงินมากขนาดนี้ เราควรจะยังดื้อดึงลงทุนต่อไปดีมั้ยค้า?"
คำถามนี้ท๊อฟฟี่มองว่าเป็นคำถามวัดใจคนที่ถือหุ้นสหกรณ์อยู่เหมือนกันน้าค้า ท๊อฟฟี่มองว่ามันคล้ายๆกับภาวะ prisoner's dilemma ในทฤษฎีเกมเหมือนกัน (ลองไปศึกษาดูได้น้าค้า) เพียงแค่เราเปลี่ยนโจทย์จากนักโทษสารภาพเป็นการถอนเงินของสมาชิกแทน ซึ่งเราก็น่าจะพอเดาได้ว่าการที่ทุกคนไม่ไปแห่ถอนเงินนั้นจะทำให้สถานการณ์โดยรวมนั้นดีที่สุด แต่ถ้าเกิดมีคนใดคนนึงเริ่มตัดสินใจถอนเงินขึ้นมาเมื่อไหร่ หากเราเป็นคนที่ไม่ไปถอนเงินตามคนอื่น เราเองอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ลุกช้าในวง และนั้นทำให้เราอาจจะเป็นคนโชคร้ายที่สูญเงินลงทุนไปเลยก็ได้น้าค้า (ฮือ) ซึ่งตามทฤษฎีเกมนั้นจะบอกเราว่าในกรณีที่มีคนแห่ไปถอนเงิน กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของเราก็คือการไปแห่ถอนเงินตามเค้าน้าค้า ดังนั้นถ้าเกิดเราได้ข่าวว่ามีคนไปแห่ถอนเงินขึ้นมา ก็ไม่แปลกน้าค้าว่าเราเองก็ควรจะไปแห่ถอนเงินตามเค้าก็ได้ (แม้ว่าจริงๆเราจะรู้อยู่แล้วว่าการลงทุนนั้นมันไม่ได้มีปัญหาอะไรขนาดนั้น แต่จากทฤษฎีมันบอกว่าถ้าเราไม่ถอนเงินเราจะเป็นคนสุดท้ายที่ซวย เราก็เลยต้องไปถอนตามแม้จะไม่เต็มใจ) ซึ่งท๊อฟฟี่ก็คงไม่สามารถแนะนำอะไรตรงนี้ได้ว่าเราควรจะทำยังไง เอาเป็นว่าถ้าตัดสินใจแล้วก็ตัดสินใจให้แน่วแน่ไปเลยน้าค้า เพราะว่าสุดท้ายแล้วการลงทุนนั้นย่อมมีการตัดสินใจที่ถูกและก็ผิดเสมอค่า~
จริงๆท๊อฟฟี่ก็ไม่ชัวร์เหมือนกันน้าค้าว่ากรณีของบริษัทการบินไทยนั้นจะจบยังไง แต่ท๊อฟฟี่ก็อยากจะเตือนนักลงทุนทุกท่านน้าค้าว่า การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงเสมอ ดังนั้นเราควรที่จะศึกษาสิ่งที่เราลงทุนให้ดีๆก่อนว่ามันเป็นยังไง มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่เราลงทุนดีแล้ว เราก็จะได้ตัดสินใจถูกว่าควรจะทำยังไงกับการลงทุนดี โดยไม่ใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มใช้อารมรณ์ในการลงทุน บางทีมันอาจจะทำให้สถานการณ์โดยรวมนั้นแย่ลงกว่าเดิมก็เป็นได้ค่า~ ซึ่งเราอาจจะลองดูกรณีศึกษาของกองทุนรวม 4 กองของธนาคารทหารไทย TMBABF, TMBUSB, TMBTHANAPLUS และ TMBBF ที่ผ่านมาได้น้าค้าว่า สุดท้ายแล้วการแห่ถอนเงินลงทุนจำนวนมากนั้นทำให้ผลลัพธ์ท้ายสุดเป็นอย่างไรค่า~
โฆษณา