เมื่อประมาณปี พ.ศ.2534 - 2535 หลังจากที่ผมกลับจากการทำงานพิเศษ
Part time ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสบการณ์ชีวิต เจอหลายรูปแบบ
รวมถึงคืนอันน่ากลัวของ เธอชุดดำ ในโรงแรมที่เชียงใหม่ นั้นด้วย
ผมได้กลับมาใช้ชีวิตนักศึกษา ม.ราม ที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง
และด้วยความประหยัดค่าใช้จ่าย และต้องการปลีกตัวในการอ่านตำรับตำรา
เรียน ผมตัดสินใจย้ายออกจากอพาร์ทเม้นต์แถวหลัง ม.รามคำแหง(ซอย 24) เพื่อมาอาศัยพักในหอพักเก่าๆ เล็กๆ แห่งหนึ่ง ในซอยรามคำแหง 39
(ซอยวัดเทพลีลา) บริเวณชุมชนริมคลองแสนแสบ หอพักที่ผมมาเช่าอยู่
ราคาถูก เดือนละ 800 บาท เป็นหอพักไม้ขนาด 2 ชั้น แบ่งห้องเช่าได้ชั้นละ 8 ห้อง เจ้าของหอพักอาศัยอยู่ห้องด้านล่าง สภาพโดยทั่วไปก็สงบ ร่มเย็น และ อึมครึม เนื่องจากเป็นหอพักสภาพเก่า เจ้าของเลี้ยงหมาไว้ 2 – 3 ตัว ปลูกต้นไม้ จัดสวน (รกไปนิดหนึ่ง) และมีการตั้งศาลพระภูมิ
ไว้ที่มุมรั้วด้านหน้าด้วย
โดยปกติ ชีวิตผม ก็ไปเรียน ไปเล่นตามหอพักเพื่อนบ้าง เดินห้างบ้าง
เล่นกีฬาบ้าง เที่ยวเตร่ เหล้ายาปลาปิ้ง ตามประสา หมุนเวียนกันไป เป็นชีวิตสังคมเมืองหลวงที่มีสีสัน มีแสงสี ตื่นเต้น ตื่นตาเสมอ สำหรับเด็กบ้านนอก
อย่างผม เรื่องการกลัวผี กลัวความมืด กลัวกลางคืน ก็พอลืมๆ ไปได้บ้าง
เพราะที่กรุงเทพฯ คึกคักอยู่ตลอดเวลา ในช่วงค่ำมืดที่กลับจากกิจกรรม
ต่างๆ ผมมักจะเดินกลับหอพัก โดยใช้เส้นทางลัดผ่านบริเวณวัดเทพลีลา
เป็นประจำเสมอ เดินผ่านศาลาสวดศพ ผ่านรั้วกำแพงวัดมืดๆ
เดินเรียบคลองแสนแสบกลับหอพักจนเคยชิน ถามว่ากลัวไหม?
ตอบแบบไม่อายว่า ยังไงก็กลัวเช่นเดิม แต่อย่างที่บอก สังคมเมืองหลวง
ความคึกคัก พลุกพล่าน ของผู้คน ทำให้ลืมอารมณ์ความกลัวไปได้
ชั่วขณะหนึ่ง
ผมอาศัยที่หอพักนี้ได้ประมาณเกือบปี ไม่เคยมีเหตุการณ์อะไร
แล้วเหตุการณ์ในคืนวันหนึ่งก็เกิดขึ้น แบบที่ผมไม่คาดฝัน และไม่อยาก
จะประสบ พบเจอ มันก็มาถึงอีกจนได้ คืนนั้นผมกลับจากการสังสรรค์ วงสุรากับเหล่าเพื่อนๆ ที่หลังราม มึนเมาพอประมาณ เสร็จประมาณเที่ยงคืน
ก็ขอตัวกลับหอพัก โดยเดินเส้นทางลัดเช่นเคย ผ่านภายใน ม.ราม ผ่านหน้าวัดเทพลีลา (โชคดีครับ ดึกแล้ว ประตูวัดปิด) ข้ามสะพานข้ามคลองแสนแสบ แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเพื่อเข้าหอพัก ขณะกำลังก้าวเท้าเดินเข้าประตู
หอพัก หมาที่เจ้าของหอพักเลี้ยงไว้ กลับเดินเข้ามารุมเห่าผมไม่หยุด
ด้วยความมึนเมา ประกอบกับโกรธหมา ว่าเรามาอยู่ที่นี่ตั้งนาน ยังจำไม่ได้
ยังจะเห่าอีก เลยได้บ่นพรึมพรำออกไปว่า “เดี๋ยวกูจะวางยาให้หมดเลย
หมาพวกนี้” แล้วผมก็โซซัดโซเซ ขึ้นไปนอนที่ห้อง ซึ่งเวลานั้นน่าจะตี 1
กว่าแล้ว
คืนนั้น ผมล้มตัวลงนอน โดยไม่ได้ปิดไฟห้อง นอนไปได้สักพัก
กระสับกระส่ายเพราะฤทธิ์สุรา สลึมสลือไปมาครึ่งหลับ ครึ่งตื่น
จังหวะหนึ่งสายตาผมชำเลืองไปเจอกับใบหน้าหนึ่งโผล่ขึ้นมาที่ขอบหน้าต่าง ลักษณะแอบเอียงหันมาครึ่งซีก หน้าขาวซีด เฉยๆ นิ่งๆ จ้องมาที่ผม
“ ตายล่ะ!!! ห้องผมอยู่ชั้น 2 นอกห้องไม่มีระเบียงด้วย” ด้วยความที่เจอ
เหตุการณ์แบบนี้มาบ่อย ตั้งแต่เด็กจนโต รู้สึกยอมจำนนว่าต้องโดนแบบนี้อีกแล้ว ก็ได้แต่นอนตัวแข็งทื่อ อึกอัก หายใจติดขัด ทุรน ทุราย
เหมือนจะขาดใจ คิดเพียงว่าเราคงถูกผีอำ ผมก็ต่อสู้ตามประสาของคนถูก
ผีอำ คืออยากสะดุ้งตื่น จนเหนื่อย เลยปล่อยเลยตามเลย แล้วหลับไป
อีกครั้ง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นอาการของคนครึ่งหลับ ครึ่งตื่นอยู่เหมือนเดิม และการหลับครั้งนี้ ผมกลับเกิดความฝันขึ้น ซึ่งผมว่าเป็นความฝันที่น่ากลัวมาก
ผมรู้สึกว่าในฝัน ผมยังคงนอนอยู่ที่นอนในห้องพัก ณ เวลา ต่อจากช่วงโดน
ผีอำ แล้วนาทีนั้น ที่ประตูห้องของผม เริ่มสั่นไหวเบาๆ ในความฝันครึ่งหลับ
ครึ่งตื่นนั้น อารมณ์คนหัวใจจะวายเริ่มเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง เมื่อบริเวณตรง
ประตูห้องพักของผม ได้ปรากฏร่างของผู้หญิงรูปร่างดี หน้าตาสะสวย 2 คน ยืนอยู่ที่หน้าประตู ไม่รู้เข้ามาได้อย่างไร เพราะประตูห้องผมก็ปิดอยู่ ทั้งสองสวมใส่ชุดไทยโบราณ ผ้าสไปเฉียง คนหนึ่งใส่ชุดสีน้ำเงิน อีกคนหนึ่งใส่ชุด
สีแดง ทั้งสองนางยืนจ้องเขม็งมาทีผม ไม่นานใบหน้าสวยๆ ของทั้งสองก็เริ่มเป็นสีเขียวคล้ำ พร้อมยืนชี้หน้าผม ด้วยสีหน้า และท่าทางที่เต็มไปด้วยความโกรธ ผมไม่ไหวแล้วครับ ผมต้องตื่นจากเหตุการณ์นี้ให้เร็วที่สุด แล้วผมก็
สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก นั่งกลัวอยู่คนเดียว แล้วลองนึกทบทวนว่า
เราได้ทำอะไร หรือ คิดอะไร ลบหลู่อะไร ที่ไหน เท่านั้นแหล่ะครับ ผมจำได้แล้ว เมื่อตอนที่ผมเดินกลับเข้ามาที่หอพัก ขณะผ่านสวนหน้าหอพัก
ผ่านศาลพระภูมิ แล้วหมามันเห่าผม ผมโกรธ เลยพูดออกไปว่า
จะวางยาหมาให้หมด
เมื่อสำนึกในความผิดของตัวเองได้ คืนนั้น ก่อนข่มตานอนหลับ
ผมจึงเริ่มสวดมนต์ และตั้งจิตอธิฐาน เพื่อขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอขมาเจ้าที่
เจ้าทาง ขอขมาศาลพระภูมิ ทำเท่าที่ผมจะทำได้ แล้วผมก็หลับไปจนรุ่งเช้า ผมรีบออกไปปากซอย หยอดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิท เล่าเรื่องราวให้ฟัง และขอร้องเพื่อนให้มาช่วยเก็บข้าวของ เครื่องใช้ เพื่อย้ายด่วน ไปขออาศัยหอพักเพื่อนเป็นการชั่วคราวก่อน ในวันนั้นเลย เราเก็บข้าวของกันเสร็จ
ผมแจ้งย้ายกับเจ้าของหอพักเรียบร้อย และหิ้วกระเป๋าใบสุดท้ายเพื่อขึ้นรถ
แท็กซี่รับจ้าง ก่อนที่จะก้าวออกจากหอพัก ผมไม่ลืมเลยที่จะ ไหว้แสดงการ
คารวะต่อศาลพระภูมิ ที่หน้าหอพัก ซึ่งบอกได้เลยว่า ที่ผ่านมาเกือบ 1 ปี
ที่มาอยู่ที่นี่ ผมไม่เคยไหว้เลยสักครั้ง ขณะที่ไหว้นั้น ผมสังเกตเห็นรูปปั้นตุ๊กตาผู้หญิงที่อยู่บนศาลพระภูมิ รูปปั้นตุ๊กตาหญิงไทย 2 นาง นั้น
รูปปั้นตุ๊กตานางหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงิน
และ อีกนางหนึ่งสวมชุด สีแดง.....................
ผมขอแสดงความคารวะ ต่อสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย หากกระผมได้กระทำการล่วงเกิน ด้วย กาย วาจา ใจ ด้วยความตั้งใจก็ดี ด้วยความไม่ตั้งใจก็ดี
ขอได้โปรดท่านอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง และขอให้ท่านอโหสิกรรม
ในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของกระผม ด้วยเทอญ
เหตุการณ์วันนั้น ยังคงเป็นเรื่องราวในคืนหนึ่ง
ซึ่งช่วงเวลานั้น ผมไม่อยากให้โลกนี้ มีกลางคืน................