17 พ.ค. 2020 เวลา 17:56 • ไลฟ์สไตล์
ก้าวไปด้วยกัน #8
จุดเริ่มต้นของชีวิตที่เปลี่ยนไป…
หลังจากที่โยหมดภารกิจจากการประกวดที่ถ่ายทำบันทึกเทปไว้ล่วงหน้า
ก็ถึงเวลากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เล่นดนตรีอาชีพตามงานอีเวนท์ต่างๆ
ในระหว่างที่รายการยังไม่ออกอากาศ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรแปลกไป
ไม่มีใครรู้จักเรา ไม่เป็นที่สะดุดสายตา จะกินจะเดินจะนั่งจะแคะขี้มูก ชิว😁…
ต่อให้เราจะพอเดาได้ว่า การได้ออกรายการทีวี มันจะตื่นเต้นน่าดีใจแค่ไหน
แต่เราก็ยังคาดไม่ถึงกับความเปลี่ยนไปที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้อยู่ดี…
ยุคที่ผู้คนยังดูทีวี ติดละครทางโทรทัศน์ แม้จะมีโซเชี่ยลใช้เฟส เปิดเพจ ใช้ไลน์กันก็จริง
แต่ความนิยมทางรายการทีวียังมีอยู่และเราไม่เคยรู้ว่า อิทธิพลของคำว่า “กระแส” เป็นยังไง
จนกระทั่ง เทปที่แข่งในรอบบลายออดิชั่นของโยได้ออนแอร์ ช่วงต้นเดือน ตุลาคม 2559
ในวันอาทิตย์ตอนหัวค่ำ… พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงคนรอบข้าง นั่งเชียร์นั่งลุ้นติดขอบจอ
ทุกคนทักไลน์มาตลอดด้วยความดีใจ แท๊กเฟสกระจาย คอปภาพจากรายการ
แซวกันต่างๆนาๆ แม้บางคนจะรู้ผลล่วงหน้า ก็ยังลุ้นตื่นเต้นที่เห็นเราสองคน
ปรากฎบนเวทีในรายการ The Voice Thailand ss 5 ที่ออกอากาศทางช่อง 3 …
เราก็ขำๆเช่นกันที่เห็นตัวเองในทีวี มันคือครั้งแรกในชีวิตของเราทั้งคู่
ตลอดการเล่นดนตรีอาชีพมา นี่คือจุดที่มาไกลที่สุด มาแบบไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้อย่างคนมีฝัน
การเห็นตัวเองในรายการตอนออกอากาศนั้น มันช่างน่าตื้นตัน
และขอบคุณที่วันนั้นไม่ละทิ้งโอกาสไป…
แล้วยังไง?? ชีวิตจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ต่อจากนี้
เพราะตามกฏของสัญญารายการคือ…
คนที่เข้าร่วมประกวดทุกคน ต้องยอมรับการเซ็นสัญญาของรายการที่ระบุไว้
และห้ามไปรับงานที่เป็นฝ่ายคู่แข่งของสปอนเซอร์
มีผลบังคับใช้ตั้งแต่รายการออกอากาศ
และจะยกเลิกสัญญานี้จนกว่าเทปที่ตกรอบจะออนแอร์ ( 3 เดือนหลังจากเทปสุดท้าย)
ซึ่งโยกับผมก็คุยกันว่า เราเล่นดนตรีรับแต่งานอีเว้นท์ก็จริง แค่ออกรายการมาเทปเดียว
คงไม่มีงานมาจ้างเยอะแยะอะไรมากมายหรอก ยิ่งแบรนด์คู่แข่งก็ยิ่งยาก
เราไม่ได้ดังขนาดนั้น…ใครจะมาจ้าง😅
เช้าวันรุ่งขึ้น(วันจันทร์) หลังจากรายการออกอากาศไปเมื่อวาน…
เราสองคนมีงานเล่นดนตรีอีเว้นท์ตามปกติที่ห้างเดอะมอลล์บางแค
ใส่ชุดที่เป็นคู่สีสันไม่ได้ฉูดฉาด ไม่ใช่ชุดแบบในรายการ และไม่มีหมวก
เราพากันจอดรถ แล้วเดินขนของพะรุงพะรังมายังโซนที่ต้องเล่นดนตรี (ตามในภาพ)
ระหว่างกำลังจะลงบันไดเลื่อน ก็สวนทางกับผู้คนที่เดินสวนมาเรื่อยๆ เราเริ่มสงสัย…
“เขามองอะไรวะ?”🙄…
“อืม เขายิ้มให้เราหว่ะ “
“เฮ้ยเขาจำเราได้เหรอ??🙄”…เราซุบซิบกันสองคน
จนกำลังจะเดินสวนทางกับกลุ่มผู้คนที่จำนวนมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้ใจกลางห้าง
ป๊าดด!! โดนกั้นทางจากชายคนนึง ที่ปรี่เข้ามาทักทันทีว่า
“ใช่คู่ที่ออกรายการ The Voice เมื่อวานไหม … ผมเชียร์อยู่นะ ขอถ่ายรูปหน่อย~\;**7[[“😅
ตอนนั้นไม่ได้เตรียมใจว่าจะเจออะไรแบบนี้ และจากคนเพียงไม่กี่คนที่ทัก
ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น และเราก็ต้องพูดตอบคำถามเดิมมากขึ้น ถ่ายรูปเยอะขึ้น ยิ้มเยอะขึ้น
คุยกับคนแปลกหน้าที่ตรงเข้ามาหาเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
ผมบอกกับโยตอนนั้นว่า “อะไรมันจะขนาดนั้นวะ คนจำเราได้ขนาดนี้เลยเหรอ?”
ด้วยความรู้สึกที่ไม่ชิน ไม่เคยเจอ ไม่คาดคิด มีคนมุงเป็นระยะๆ
และอีเว้นท์วันแรกหลังจากรายการออกอากาศ ก็มีผู้คนล้อมวงดูเราเล่นดนตรีแบบในภาพนี้
ผมยังจำมันได้ดี 😆นี่คือวันแรก……
ถามว่ารู้สึกอย่างไร? … ผมประหลาดใจ เพราะเราไม่เคยรับรู้ถึงสัมผัสนี้มาก่อน
และโดยนิสัยส่วนตัวเดิมๆของเราทั้งคู่คือ ไม่ได้โหยหาชื่อเสียงด้านนี้มาตั้งแต่แรก
จึงค่อนข้างกังวลครับ (โดยเฉพาะโย ) …
ไม่มีใครมาสอนให้เรารู้จักเทคแคร์จิตใจคน
เราไม่เคยมีคนมาติดตามชีวิต เราไม่เข้าใจคำว่าแฟนคลับ
เราต้องพร้อมสำหรับทุกๆมิตรภาพ (ตอนนั้นไม่เข้าใจ จาก งงๆ ก็เริ่มกังวล เริ่มเครียด)
เพราะต้องออกไปเล่นดนตรีอีเว้นท์เกือบทุกวัน แต่ละครั้งคือ…คนจำได้ตลอดเวลา
จากการดูรายการ ทั้งตอนเรียลไทม์ และดูย้อนหลัง
มันจึงยังมีคนเหมือนเพิ่งดูเราหมาดๆมาตลอด … (เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง)
ได้แต่คิดว่า เดี๋ยวสิ่งนี้ก็จะผ่านไป คนลืมง่าย เราก็อย่าไปคิดมาก เฟรนลี่ในแบบที่เคย
เล่นดนตรีให้มีความสุข ใครขอถ่ายรูป อ่ะถ่าย😆 ใครถามอะไร อ่ะตอบ😆
ใครขอเพลงผ้าเช็ดหน้าในรายการ อ่ะเล่น😆 คือเอนจอยไปตามสถานการณ์ก็พอ…
1
เราเริ่มมีคนจดจำได้แบบแพคคู่ คนไม่ได้จำโยเพียงคนเดียวนะ แต่จะจำเป็นคู่เราสองคน
หลายครั้งที่คนสับสนคิดว่าผมลงแข่งไปด้วย 😅
และคำถามที่เกี่ยวกับความเป็นเราก็เริ่มมีมาตลอด ทำไมแต่งตัวเหมือนกัน ?ฝาแฝดไหม?
ผมจริงหรือวิก?😆 ชุดนี้ซื้อที่ไหน? โอยยย เยอะมาก
ความเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่มองเรามา มันคือภาพจำในรายการ
บางคนคิดว่าเราเป็นคนดัง แต่ทำไมตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เราก็ไม่อินกับคำนี้เสมอ😅
เราไม่รู้เลยนะว่าการมีคนรู้จักมากขึ้น มันจะคือจังหวะของการได้โอกาสใหม่ๆเพิ่ม…
หลังจากออกรายการไม่นานเราก็ได้รับงานที่กว้างขึ้น มีผู้จัดงานหลายเจ้าติดต่อมา
ห้างใหม่ที่ไม่เคยร่วมงานก็ได้ติดต่อกัน ร่วมถึงงานไพรเวทพิเศษต่างๆ
เป็นช่วงที่พีคมาก งานแต่ละที่ขึ้นป้ายโปรโมทแทบทุกที่
งานเล็กงานใหญ่รับหมด (ในราคาไม่แรงเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรรับเรทไหน)😂
ชื่อที่ถูกเรียกใช้คือ โย The Voice …
ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านามสกุลนี้มันจะพลิกชีวิตเราได้
แรกๆโยไม่ชินกับการถูกเรียกคำว่า โย เดอะว้อยซ์ เพราะเขิน
และไม่คิดว่ามันจำเป็นอะไรนักที่ต้องพูดนามสกุลนี้
แต่สภาพสังคมสิ่งแวดล้อมผู้คน เรียกเราแบบนั้นไปแล้ว…
โดยปกติเราหางานเอง ไม่มี ผจก ส่วนตัว ไม่มีค่ายสังกัดดูแลงาน
ราคาเราก็ไม่สูงเพราะไม่ได้ผ่านการขายจากใคร
อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่คนจ้างเราเยอะในช่วงนั้น
เพราะผู้จัดงานทั้งหลายมักจะเรียกจ้างนักร้องเวทีประกวดมาออกงานเป็นปกติ
ยิ่งถ้าใครมีภาพจำมีกระแสก็จะถูกทาบทามกันเยอะ รวมถึงราคาที่สู้ไหวด้วย
เพราะการออกงานในวันที่เริ่มมีชื่อเสียงนี่หล่ะ มันสอนให้เราเรียนรู้การเข้าถึงคน
จากเดิมที่ไม่เคยสร้างอัธยาศัยที่เป็นมิตรตลอดเวลา ก็เลยกลายเป็นคนยิ้มเก่ง😁
เข้าจิตเข้าใจในคนที่ชื่นชอบเรา เทคแคร์แฟนเพลงที่มาติดตามชมการแสดง
พูดคุยเอ็นเตอร์เทนในช่วงโชว์ ไม่เหนื่อยหน่ายย่อท้อต่อการถ่ายรูป ซึ่งมันเยอะมากๆๆๆ
เราสองคนปกติแต่ก่อนไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปอะไรมากมาย
แต่พอคำว่าเดอะว้อยซ์เข้ามาในชีวิต บอกตามตรงว่าตอนแรกๆเราเครียดเลย
เพราะยังไม่เข้าใจความรู้สึกคนคนที่เขาดีใจเวลาเจอเรา
(เพราะเราไม่เคยเป็นแฟนคลับใครเลย)…😁
ประสบการณ์กับสิ่งที่เจอ หล่อหลอมให้เป็นคนเข้าใจในบทบาทที่เปลี่ยนไป
จากปี 2559 จนถึง 2563
เราทั้งคู่มีงานที่ก้าวหน้าขึ้น แฟนคลับเพิ่มขึ้น โอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีคือ เราจะเตือนกันและกันเสมอว่า
“ของสิ่งนี้มันเป็นสิ่งชั่วคราว อยู่กับเราได้ไม่นาน และเราเองก็ต้องทิ้งมันไปสักวัน”
เราไม่เลือกที่จะกอดเก็บ และพยายามรักษาอย่างเคร่งครัดนัก
เราไม่นิยมความทุกข์กับเรื่องความเสื่อมในลาภยศ
เรายังทบทวนในสิ่งที่เคยเป็นมา
อดีตเราเป็นอย่างไร ปัจจุบันเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น
เราอาจเปลี่ยนความคิดหรือการปฏิบัติตนต่อสาธารณะที่ควรเป็น
แต่จิตเราอย่าได้ยึดถือในชื่อเสียง อย่าหลงใหล อย่าคิดว่าสิ่งนี้เป็นเราตลอดไป
ชีวิตมันไม่มีใครรู้จริงๆว่า เราจะเจอกับอะไรบ้างในอนาคต
อย่างเช่น อดีตจุดเริ่มต้นของผมคือคนแบกผ้าที่สำเพ็ง ทำอยู่ 5 ปี ก็ออกจากงานเพราะ…
โยแนะนำว่าผมควรไปทำอาชีพอื่นๆดูบ้าง ที่สามารถให้เงินได้ดีขึ้น และเหนื่อยน้อยกว่า
ผมเลยได้งานใหม่ โดยไปจับหนูแฮมเตอร์ทั้งวัน
ที่ร้านขายอาหารและสัตว์เลี้ยงในห้าง😅😅
เออ มันก็ไม่เครียดดี ได้จับหนูดูแลความสะอาด และ เป็นแคชเชียร์ด้วย
ทำอยู่ไม่กี่เดือน … พี่เจ้าของโรงเรียนดนตรีที่ผมกับโยเคยพบกันครั้งแรก
ก็มาชวนให้ไปเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานเอกสาร
นี่คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ผมแต่งตัวไปทำงานแบบหล่อขึ้นประหนึ่งหนุ่มออฟฟิศ😁
ผมทำงานอยู่ที่นี่หลายปีมากๆ แล้วก็มีโอกาสสอนดนตรีที่โรงเรียนแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
และแน่นอนรายได้ของผมดีขึ้น มีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเองให้สุขสบายได้ในระดับหนึ่ง
ผมกับโยเริ่มมีความฝันเล็กๆว่า อยากมีความก้าวหน้าของรายได้
เพื่อที่จะสร้างความมั่นคงสร้างชีวิตและมีครอบครัวด้วยกัน…
จนเราได้มาเจอธุรกิจขายตรงนี่หล่ะ เป็นจุดหักเห การบริหารของเราผิดพลาด
ทำให้เป็นหนี้ สู่จุดตกต่ำ……
แต่มันคือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ชีวิตที่ยาวมาอย่างที่เขียน
ถึง 8 ตอน (โอยเหนื่อย…😂😂)
ผมไม่รู้ว่าจะสรุปอะไรกับชีวิตตัวเองนะครับแต่เท่าที่เล่ามาเพื่อนๆคงจะเห็นว่า
#ทุกอย่างมีเวลาของมันครับ
เราสองคนไม่ใช่คนเก่ง เรายังยืนยันว่า เราเป็นเพียงแค่คนที่ทำมากทำบ่อยมากกว่า
ปัจจุบันเราก็อยู่กับเส้นทางของการเป็นนักดนตรีอาชีพมา 10 ปีแล้ว
โดยที่ไม่รู้ว่า อนาคตหลังจากนี้จะเป็นยังไง😁
คราวหน้าผมจะมาเล่านะครับว่า นอกจากภาพจำความเป็น The Voice แล้วเนี่ย
ในโลกออนไลน์ก็พาเรามาสู่อีกหลายโอกาสเช่นกัน
และแน่นอนครับว่ามันคือสิ่งที่เราไม่ได้วางแผนมาก่อน
ขอบพระคุณในการติดตามอ่านเรื่องยาวๆ
ในบันทึกก้าวไปด้วยกันนะครับ 😁🙏🙏
อ่านย้อนหลังตอนอื่นๆได้ในซีรี่ย์ครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา