19 พ.ค. 2020 เวลา 05:10 • กีฬา
โจเซ่ เคลแบร์สัน แชมป์โลก ผู้ถูกลืมที่แมนฯ ยู
ขึ้นชื่อว่านักเตะดีกรีแชมป์โลก คือเครื่องการันตีความเก่งกาจของนักฟุตบอลสักคน เพราะไม่มีถ้วยรางวัลใดในโลกฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว นักเตะหลายคนถูกยกย่องว่าเป็นยอดนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก แต่กลับไม่เคยได้สัมผัสแชมป์โลกเลยสักครั้ง
แต่กับนักเตะที่โลกลืมอย่าง โจเซ่ เคลแบร์สัน เขาคือหนึ่งในกำลังสำคัญของบราซิลในชุดแชมป์โลก 2002 แต่กลับล้มเหลวกับแมนฯ ยู อย่างสิ้นเชิง ติดตามเรื่องราวของ เคลแบร์สัน ได้ที่นี่เลยครับ
แชมป์โลกสร้างชื่อ
การก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์โลกของบราซิลได้นั้น นอกเหนือจากซูเปอร์สตาร์อย่าง โรนัลโด้ ,โรแบร์โต้ คาร์รอส , ริวัลโด้ และโรนัลดินโญ่แล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นให้แฟนบอลทั่วโลกได้รู้จักกับ เคลแบร์สัน หนึ่งในขุมกำลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเกมในแดนกลางของบราซิล จนสามารถคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ
ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น เคลแบร์สัน ลงสนามให้กับบราซิลไปถึง 5 เกม โดยเริ่มได้ลงสนามเป็นตัวสำรอง ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย และเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยผลงานที่เมื่อเขาลงสนาม แล้วสามารถเล่นได้เข้ากับระบบของทีมเป็นอย่างดี หลังจากนั้นเคลแบร์สัน จึงได้รับโอกาสลงตัวจริงทุกเกมตั้งแต่รอบ 8 ทีม จนถึงเกมนัดชิงชนะเลิศกับเยอรมัน
เขาจับคู่กับ กิลแบร์โต้ ซิลวา ในแดนกลาง ทั้งช่วยตัดเกมคู่แข่ง และสร้างสรรค์เกมให้กับทัพเซเลเซา เคลแบร์สัน เล่นได้แทบจะทุกตำแหน่งในแดนกลางทั้งตัวรับและตัวรุก ด้วยความสามารถในการเคลื่อนที่ การครองบอล การสร้างสรรค์เกม อีกทั้งยังสามารถช่วงงาน กิลแบร์โต้ ซิลวา ในการตัดเกมคู่แข่ง จึงทำให้บราซิลชุดนั้นแข็งแกร่งทุกขุมกำลัง
ในเกมนัดชิงกับเยอรมัน เคลแบร์สัน ยังได้รับความไว้ใจจาก หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือชาติบราซิลในตอนนั้นให้ลงเป็น 11 ตัวจริง เกมในวันนั้น เคลแบร์สัน เป็นอีกหนึ่งคนที่เล่นได้อย่างโดดเด่น เขาวิ่งเคลื่อนที่ไปทั่วสนาม ที่ไหนมีบอลที่นั่นก็จะมีเขาอยู่ด้วย เขามีส่วนร่วมกับเกมรับและเกมรุกของบราซิล เขาทำให้โรนัลดินโญ่ ริวัลโด้ และโรนัลโด้ เล่นได้ง่ายขึ้น เพราะมีเขาลำเลียงบอลจากแดนหลังมาให้
เคลแบร์สันมีโอกาสยิงไกลอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นประตู ก่อนที่จะเป็นโรนัลโด้ที่ตามซ้ำลูกยิงของริวัลโด้ ทำให้บราซิลออกนำไปก่อน 1-0 และมาได้ประตูที่ 2 จากจังหวะที่ เคลแบร์สัน พาบอลมาจากกลางสนามก่อนจะผ่านบอลเข้ากลาง มาบริเวณหน้ากรอบเขตโทษให้กับริวัลโด้
แต่ทว่าจังหวะนั้นริวัลโด้ข้ามหลอก บอลไหลไปหาโรนัลโด้ที่ยืนรอบอลอยู่ แน่นอนว่าโรนัลโด้ไม่พลาด เขายิงประตูที่สองส่งบราซิลเป็นแชมป์โลกในครั้งนั้น ซึ่งทำให้เคลแบร์สัน มีชื่อในการทำแอสซิสในเกมนัดชิงฟุตบอลโลก
“เขาไม่ได้มีความดุดันแบบ กิลแบร์โต้ ไม่ได้มีไหวพริบแบบ โรนัลดินโญ่ หรือแม้แต่การทำงานหนักแบบ ดุงก้า แต่ตลอดทั้งเกมนั้น เขาแสดงให้เห็นถึงส่วนผสมผสานของทั้งสามคน” สโคลารี่ กล่าวถึงความสามารถของเคลแบร์สัน ลูกทีมคนสำคัญของเขา
เกือบได้เล่นที่แมนฯยู กับ โรนัลดินโญ่
หลังจบฟุตบอลโลกชื่อของเคลแบร์สัน เริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลก แน่นอนว่าด้วยดีกรีแชมป์โลกย่อมดึงดูดให้ทีมในยุโรปสนใจในตัวเขา ทั้งบาร์เซโลนาและลีดส์ต่างต้องการเขาไปร่วมทีม แต่ทว่าเขาเลือกที่จะค้าแข้งอยู่ในบราซิลกับ แอตเลติโก้ พาราเนนเซ่ ต่อไป เพราะต้องการรอที่จะแต่งงานกับแฟนสาววัย 16 ปี ของเขาเสียก่อน
ด้วยฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นในฟุตบอลโลก ทำให้ชื่อของ เคลแบร์สัน ยังเป็นที่สนใจของทีมในยุโรปอยู่เสมอ ก่อนที่ท้ายที่สุดจะเป็นแมนฯ ยู ที่ได้ตัวเขาไปร่วมทีมในปี 2003 ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์
ทว่าหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เคลแบร์สันเลือกแมนฯ ยู ก็คือการที่จะได้เล่นกับเพื่อนร่วมรุ่นในทีมชาติของเขาอย่าง โรนัลดินโญ่ ที่ทั้งคู่ได้รับข้อเสนอในการย้ายมาสู่รัง โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่ทว่าสุดท้ายกลายเป็นเคลแบร์สัน เพียงคนเดียวที่ได้ย้ายมาแมนฯ ยู ส่วนโรนัลดินโญ่กลับย้ายไปบาร์เซโลน่าซะอย่างนั้น
“ผมอยู่กับโรนัลดินโญ่ เขาพูดว่า ‘แมนฯยู พวกเขาต้องการเซ็นสัญญากับเราทั้งคู่’ ผมจึงพูดว่า เอาล่ะเราไปที่นั่นกันเถอะ”
“ผมดีใจมากที่เขาจะมากับผม ผมกลับไปที่บราซิล และเจรจากับแมนฯยูต่อไป แต่แล้ว โรนัลดินโญ่ ก็หลอกผม เขาไปเล่นกับบาร์เซโลนา และเขาส่งผมไปแมนฯ ยู เพียงคนเดียว” เคลแบร์สันเล่าถึงเรื่องที่เกือบได้ร่วมทีมกับโรนัลดินโญ่ ที่แมนฯ ยู
“นั่นเป็นเรื่องตลกระหว่างเราจนถึงวันนี้” เขากล่าว และเหตุการนั้นได้กลายเป็นเรื่องตลกของเขาทั้งคู่
แค่เริ่มก็เจ็บแล้ว
เคลแบร์สัน เซ็นสัญญากับแมนฯยู พร้อมกันกับยอดนักเตะในตอนนี้อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด (ในวัย 18 ปีในตอนนั้น) ทั้งคู่ถูกซื้อมาร่วมทีมด้วยความคาดหวัง ที่จะมาแทนที่นักเตะที่ย้ายออกไปอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ที่ย้ายไป เรอัล มาดริด และเซบาสเตียน เวรอน ที่ล้มเหลวกับแมนฯ ยู ทำให้เคล์แบร์สันที่มาพร้อมดีกรีแชมป์โลก จึงถูกคาดหวังไม่น้อยที่จะแทนที่ของทั้งเบ็คแฮม และเวรอน ได้
ทุกสิ่งที่แมนฯยู และที่อังกฤษ แปลกใหม่สำหรับเขา เคลแบร์สันต้องปรับตัวในหลายๆอย่าง ทั้งในและนอกสนาม เวลาในการปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา กับการเล่นฟุตบอลนอกบราซิลครั้งแรก แต่ทว่าเพียงสองเกมเท่านั้นที่เขาได้เริ่มลงสนามให้กับแมนฯยู เขาโชคร้ายได้รับบาดเจ็บและต้องพักไปนานถึงสองเดือน
เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเอาซะเลย ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการเริ่มต้นและปรับตัว แต่เขากลับต้องมาเจออาการบาดเจ็บเล่นงานเข้าให้ มากไปกว่านั้น มันไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่เขามีอาการบาดเจ็บ มันเกิดขึ้นกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้ทั้งฤดูกาลแรก เขาได้ลงสนามให้กับแมนฯยูไปเพียง 16 เกมเท่านั้น
ส่วนผลงานเมื่อได้รับโอกาสลงสนาม ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่ เขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งอย่างที่เคยทำในบอลโลกออกมาได้ สิ่งที่เคยทำได้ในทีมชาติบราซิล แต่กับที่นี่เขากลับไม่สามารถทำมันได้เหมือนเก่า
การกระตุ้นแบบ รอย คีน
การที่ได้เล่นกับหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างแมนฯ ยู สิ่งที่เขาต้องเจอคือความกดดัน ทั้งจากแฟนบอล และความคาดหวังจากตัวเขาเอง นั่นคือสิ่งที่เขาต้องเอาชนะมันให้ได้
ด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา เมื่ออยู่ในสนาม รอย คีนย์ ที่เป็นกัปตันทีมย่อมมีหน้าที่ กระตุ้น ดึงสติ ให้ลูกทีมของเขากลับมาสู่เกมให้ได้ ซึ่งการกระตุ้นของคีน นั้น ไม่ใช่การบอกด้วยถ้อยคำอ่อนโยนเป็นแน่ ‘เฮ้ยน้องสู้เว้ย เอาหน่อย’ นั่นไม่ใช่คำพูดของคีนที่จะใช้กระตุ้นลูกทีมของเขา แต่เป็น “เฮ้ยตื่นขึ้นมา แกไม่ได้อยู่ที่โคปาคาบาน่าในบราซิลอีกแล้ว วิ่งเลย!” เจมบา เจมบา กล่าวถึงคำพูดของคีนที่ตะโกนใส่เคลแบร์สัน
เคลแบร์สันมักเป็นคนที่ถูกรอยคีนตะโกนใส่อยู่เสมอ แต่มันไม่ใช่เพราะคีน โกรธ หรือเกลียดเขาแต่อย่างใด มันคือการพยายามพลักดันลูกทีมของเขาในแบบของ คีน ซึ่งเคลแบร์สันเองก็เข้าใจ เขาไม่ได้รู้สึกโกรธกับสิ่งที่คีนทำกับเขา เขารู้ดีว่า คีน เป็นคนอย่างไร
“ทุกคนรู้จักการความเป็นตัวตนของเขา ตอนผมอยู่ที่นั่นผมไม่ได้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากใดๆ กับเขา” เคลแบร์สัน กล่าว “เขาผลักดันผมมากๆ เขาจะพยายามทำให้ผมมีส่วนร่วมในเกมมากขึ้น และเขาสอนผมมากมายเกี่ยวกับการประกบคู่แข่ง”
“ทุกคนคิดว่าพวกเขารู้จักคีน แต่คนที่สนิทกับเขา จะรู้ว่าเขาเป็นคนดีและเขาก็พยายามช่วยผมจริงๆ” เคลแบร์สัน กล่าวถึง รอย คีน กัปตันของเขาด้วยความเข้าใจในความเป็น คีน
จากลา แต่ไม่เสียใจ
ในฤดูกาลที่สองกับแมนฯยู เคลแบร์สัน ยังคงไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งในบอลโลกกลับมาได้ ทำให้โอกาสในการลงสนามของเขาน้องลงกว่าฤดูกาลแรกเสียอีก เขาเริ่มห่างหายไปจากทีม ทั้งในสนาม และบนม้านั่งสำรอง
ด้วยอาการบาดเจ็บที่ยังตามเล่นงานเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้โอกาสที่จะได้อยู่ในทีมของเขามีน้อยลง และเมื่อได้โอกาสก็มักจะถูกโยกไปเล่นริมเส้นฝั่งขวา ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่เขาทำผลงานได้ดี ทั้งหมดประกอบรวมให้ เคลแบร์สัน ไม่ได้ไปต่อกับแมนฯ ยู
หลังจบฤดูกาลที่สองของ เคลแบร์สัน ในอังกฤษ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจขายเขาให้กับเบซิคตัส ในลีกตุรกี ซึ่งก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาดีไม่พอที่จะได้อยู่กับแมนฯยูต่อไป เพราะสิ่งที่เขาต้องเจอนั้น มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเช่นกัน เขาแทบไม่เคยมีช่วงเวลาที่สภาพร่างกายสมบูรณ์เต็มร้อย กับตลอดระยะเวลาสองปีกับแมนฯยู
“ทุกคนรู้ดีว่ามันยากแค่ไหน ที่จะย้ายไปต่างประเทศด้วยสไตล์การเล่นที่แตกต่าง ผมได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง และใช้เวลานานมากในการกลับไปเล่นในระดับสูง” เคลแบร์สันกล่าว
“ผมไม่ถูกเลือกเพราะอาการบาดเจ็บที่ส่งผลกระทบต่อผม ไม่ใช่เพราะผมไม่ดีพอ ผมพยายามฝึกให้หนักขึ้นเพื่อกลับเข้ามาในทีม แต่พวกเขามีผู้เล่นที่ดีจำนวนมากในเวลานั้น และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย” เคลแบร์สัน เล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จที่แมนฯยู เพราะเขามีอาการบาดเจ็บที่รบกวนอยู่เสมอ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเสียใจกับช่วงเวลาที่อังกฤษ ต่อให้ย้อนเวลาได้เขาก็เลือกที่จะกลับไปและสู้ต่อที่นั่น “ ถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอาชีพการงานของผมได้ ผมก็จะขอให้ถูกเปลี่ยนเป็นการยืมตัวกับทีมในอังกฤษแทนการไปตุรกี” เขากล่าว “ ผมคิดว่าผมจะดีขึ้นได้ ผมอาจแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของผม ถ้าผมถูกยืมตัวไปกับทีมในอังกฤษ”
แม้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่อังกฤษแต่ เคลแบร์สัน ยังคงสู้ต่อไปในเส้นทางฟุตบอล และพิสูจน์ตัวเองจนสามารถกลับมามีชื่อติดทีมชาติได้อีกครั้งในปี 2009 ในช่วงที่เขากลับไปค้าแข้งที่บราซิลกับ ฟลาเมงโก แสดงให้เห็นถึงความไม่ย่อท้อของเขา ที่ต่อให้อุปสรรคจะมากเพียงใด ก็ไม่ทำให้เขายอมแพ้ต่อสิ่งที่เขารัก และสู้ไปจนถึงที่สุด
Writer : ฐกฤต กล่ำพันธ์ดี
#ฟุตบอล #แมนยู
โฆษณา