19 พ.ค. 2020 เวลา 08:24 • ประวัติศาสตร์
#ประวัติศาสตร์จีนฉบับย่อ_2-2
อวสานราชวงศ์ฉิน
ในยุคที่บ้านเมืองเกิดวิกฤตทุพภิกขภัย รัฐบาลกลับไม่ช่วยอะไรเลย
ชาวนาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของอาณาจักรต้องอดตายเป็นจำนวนมาก
เมื่อเป็นดังนี้การรวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอดโดยไม่หวังพึ่งราชสำนักจึงเริ่มเกิดขึ้นต่อมาเมื่อมีผู้นำกลุ่มต้องการสร้างอำนาจให้เกิดขึ้นกับกลุ่มของตน
ก็เริ่มขยายอิทธิพลโดยการรุกรานเพื่อนบ้าน แล้วขยายต่อไปเรื่อย ๆ
ตามแต่อำนาจจากกำลังคนหรือทหารภายในกลุ่ม
จะสามารถทำสงครามขยายเขตยึดครองได้
๒๐๙ ก่อน ค.ศ. มีผู้นำในการก่อกบฏที่มีความสามารถและคุณธรรมนามว่า
หลิวปัง เขามักกล่าวกับชาวนาว่า
“ประชาชนคนสามัญต้องทนทุกข์ทรมานจนเกินพอแล้ว
เรามาชูธงก่อกบฏกันขึ้นเถิด”
ด้วยการกล่าวอย่างนี้ทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากชาวนา
ที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก
หลิวปังเป็นลูกชาวนาในหมู่บ้านไพ่เสี้ยน เคยรับราชการเป็นหัวหน้าหมวด
ปราบโจรร้าย ครั้งเห็นระบบราชการมีแต่ความเหลวแหลก
จึงผันตัวเองมาเป็นกบฏต่อต้านราชสำนัก
หลิวปังเริ่มก่อกบฏด้วยการรวบรวมสมัครพรรคพวกเข้ายึดไพ่เสี้ยน
บ้านเกิดของตน หลังจากนั้นก็เริ่มขยายอิทธิพลไปเรื่อย ๆ
โดยการยกทัพไปทางตะวันตกเข้ายึดกวางจง
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นอย่างมาก
เนื่องจากหลิวปังเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมยึดมั่นในคำสัตย์จริง
ทหารหรือชาวบ้านจึงยอมเข้าร่วมสนับสนุนและยอมปฏิบัติ
อยู่ในกฎของกลุ่มอย่างสมัครใจ
ในสมัยนั้นนอกจากกลุ่มของหลิวปังแล้วยังมีกบฏกลุ่มอื่นอีกมากมาย อาทิ
กลุ่มเซียงหยี่ที่มีกำลังคนถึงสี่แสนกว่าคน
กลุ่มกบฏของอาเหลียงมีสมาชิกประมาณหนึ่งแสนคน เป็นต้น
ก่อนที่กลุ่มกบฏทั้งหลายจะยกทัพมายึดเสี้ยนหยางซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน มีการตกลงกันว่าถ้าผู้ใดสามารถพิชิตเมืองหลวงได้ก่อนก็ได้ครองอาณาจักร
กองทัพของหลิวปังมีระเบียบวินัยมากกว่ากลุ่มอื่น
ถึงแม้จะมีกำลังทหารเพียงหนึ่งแสนกว่าคนก็สามารถบุกเข้าเมืองหลวงได้ก่อน
กลุ่มกบฏก๊กอื่น ๆ และได้ประกาศปลดจักรพรรดิเอ้อสื่อตี้
ออกจากอำนาจโดยไม่มีการทำร้ายร่างกายหรือสั่งฆ่าแต่อย่างใด
พร้อมกันนี้ก็ได้ประกาศยกเลิกกฎหมายเก่า
แล้วให้ใช้กฎหมายใหม่ที่ตนบัญญัติขึ้นมาเรียกว่า “บัญญัติสามประการ”
ได้แก่
- ฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต
- ทำร้ายร่างกายต้องจ่ายค่ารักษา
- โจรกรรมทรัพย์สินต้องชดใช้สิ่งของ
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อกองทัพของกลุ่มกบฏเซียงหยีมาถึงเมืองหลวง
กลับไม่ทำตามข้อตกลงที่เคยให้ไว้ ซ้ำร้ายยังใช้กำลังทหาร
ที่มีมากกว่าเข่นฆ่าผู้คนไม่เลือกหน้า
เผาทำลายพระราชวังอาฝังกงที่มีความวิจิตรอลังการจนวอดวายหมด
ตำรับตำราที่บรรพบุรุษเก็บรักษาเอาไว้ก็ถูกเผาไปพร้อมพระราชวัง
ฝ่ายหลิวปังซึ่งมีกำลังเพียงหนึ่งแสนกว่าย่อมไม่อาจต่อต้านได้
จึงยอมอ่อนน้อมต่อเซี่ยงหยี่แต่โดยดีและไม่เรียกร้องสมบัติ
หรือความดีความชอบใด ๆ ทั้งสิ้น
ในปี ๒๐๖ ก่อน ค.ศ. เซียงหยี่ตั้งตนเองเป็นซีฉู่ป้าหวาง
(ผู้ครองแผ่นดินด้านตะวันตก) และเห็นถึงความดีความชอบของหลิวปัง
จึงตั้งให้เป็นฮั่นหวาง (ผู้ครองแผ่นดินทางใต้)
ซึ่งดินแดนทางใต้ในยุคนั้นเต็มไปด้วยป่าทุรกันดารมาก
การที่หลิวปังได้ไปเป็นหวางปกครองแผ่นดินทางใต้นั้น
กลับเป็นผลดีเท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าทำให้สามารถฝึกกำลังรบได้สะดวก
เมื่อสามารถรวมกำลังได้มากพอ
จึงยกทัพมาทำสงครามกับเซียงหยีจนสามารถพิชิตได้ในปี ๒๐๒ ก่อน ค.ศ.
สรุปแล้วการที่อาณาจักรต่าง ๆ จะเจริญขึ้น หรือว่าเสื่อมลงนั้น
มีเหตุปัจจัยสำคัญอยู่ที่คุณธรรมและความสามารถของเจ้าผู้ครองแผ่นดิน
ยุคสมัยใดก็ตาม ถ้าเจ้าผู้ครองแผ่นดินขาดคุณธรรมและความสามารถ
ข้าราชการตลอดจนถึงผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมจะประพฤติตนเลวทรามด้วยเช่นกัน
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว คนที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งหลายจะไม่ให้ความเคารพหรือยำเกรง สักวันหนึ่ง เมื่อเขาเหล่านี้เห็นคนที่ดีมีความสามารถพอที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเดือดร้อน ก็จะหันไปสนับสนุนคนนั้น
และพร้อมที่จะย้อนกลับมาทำร้ายผู้ที่ทำให้เขาเดือดร้อนได้ทุกเมื่อถ้ามีโอกาส
โฆษณา