19 พ.ค. 2020 เวลา 13:16 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เราทุกคนวิ่งเร็วกว่าเดอะแฟลช
ภาพจากเว็ปไซต์ wikipedia
เดอะแฟลช ตัวละครซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย DCคอมิกส์ ที่เราหลายคนรู้จักกันดี เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่คลื่นที่ได้รวดเร็วทำให้ทุกสิ่งทุกอย่ารอบตัวเขาคลื่นไหวช้าเป็นภาพสโลโมชั่น จนถือว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่หลายคนให้ชื่อว่าเป็นคนที่เร็วที่สุด เร็วจนสามารถวิ่งไปยังอนาคตหรือในอดีตได้เลย แต่เดี๋ยว! จริงไหมที่เดอะแฟลชจะวิ่งได้เร็วขนาดนั้นหากมามองตามกฏของฟิสิกส์ งั้นมาดูกันว่ากฏของฟิสิกส์ได้กล่าวไว้อย่างไรโดยเราจะใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปในการข้ามเวลามาใช้อธิบาย
1
ในทางฟิสิกส์ทฤษฎีสะพานไอน์สไตน์-โรเซน (Einstein-Rosen bridge) ทฤษฎีของการเดินทางข้ามเวลามีทฤษฎีบางทฤษฎีที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้คือทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีสัมพัทธภาพทำนายว่าถ้าใครคนใดคนหนึ่งเคลื่อนที่ออกจากโลกด้วยความเร็วสัมพัทธ์แล้วย้อนกลับมายังโลกเวลาจะผ่านไปบนโลกมากกว่าเวลาของนักเดินทางคนนั่น
ภาพจากเว็ปไซต์ pinterest.com
โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้สังเกตการณ์(ผู้สังเกตุการณ์คือให้เรานึกว่าตัวเองเป็นพระเจ้าที่สามารถมองเห็นคนสองคนที่อยู่คนละปลายของขอบจักรวาลจะทำให้เรามองเห็นภาพมากขึ้น)แล้วเวลาจะเดินช้ามากสำหรับวัตถุที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วหรืออีกกรณีหนึ่งคือเมื่อเรามองนาฬิกาที่กําลังตกสู่หลุมดำเราจะสังเกตเห็นได้ว่านาฬิกานั้นเดินช้าลงเรื่อยๆ นั่นเอง
การเปลี่ยนขนาดของเวลาจากความเข้มสนามโน้มถ่วง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติซึ่งลอยอยู่เหนือพื้นโลกขึ้นไป 340 กม. เนื่องจากบนนั้นมีทั้งปัจจัยที่ทำให้เวลายืดและหดอยู่พร้อมกันๆ กล่าวคือปัจจัยที่ทำให้เวลายืดนั่นก็คือสถานีอวกาศนานาชาติเคลื่อนที่เป็นวงโคจรรอบโลกด้วยความเร็วสูงทำให้เวลาของเขานั้นเดินช้าลงและปัจจัยที่ทำให้เวลาหดอีกอย่างหนึ่งก็คือความเข้มของสนามโน้มถ่วงที่ลดลงเนื่องจากสถานีนี้อยู่ห่างจากโลกมากทำให้ความเข้มของสนามโน้มถ่วงน้อยกว่าที่อยู่บนโลกและนั่นก็ทำให้เวลาเขาเดินเร็วขึ้นแม้ปัจจัยทั้งสองจะขัดแย้งกันแต่สุดท้ายแล้วนาฬิกาของนักบินอวกาศก็จะเดินช้ากว่าคนที่อยู่บนโลกเพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงว่าความเร็วซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เวลายืดดูจะมีพลังที่รุนแรงกว่าแรงโน้มถ่วงที่ลดลงที่เป็นปัจจัยทำให้เวลาหด การยืดออกของเวลาเนื่องจากความเข้มของสนามโน้มถ่วงถูกอธิบายไว้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษทั่วไปว่า นาฬิกาที่อยู่ใกล้วัตถุที่มีมวลมากเช่นโลกจะเดินช้ากว่านาฬิกาที่อยู่ห่างออกไป กล่าวคือนาฬิกาที่อยู่ใกล้มวลมากก็เหมือนกับอยู่ในบ่อของแรงโน้มถ่วงยิ่งอยู่ลึกลงไปเวลาก็จะยิ่งเดินช้าลง เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับนักบินอวกาศเท่านั้นหากจะว่าไปแล้วนาฬิกาของนักปีนเขาสูงๆ ก็ควรที่จะเดินเร็วกว่านาฬิกาของคนที่อยู่บนโลกที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่ายิ่งสูงสนามโน้มถ่วงก็เบาบางลงนั้นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ดีทุกคนที่เป็นผู้สังเกตจะรู้สึกว่าทุกๆอย่างนั้นเป็นปกติอยู่ตลอดเวลาหาได้รู้สึกว่าเวลานั้นเดินเร็วขึ้นหรือเดินช้าลงแต่อย่างใด สืบเนื่องมาจากนาฬิกาของทุกๆ เรือนที่อยู่ในกรอบอ้างอิงเกี่ยวกับผู้สังเกตการณ์นั้นเดินเร็วเท่ากันหมดนั่นเอง ในกรณีของเวลายืดเนื่องจากความเร็วสัมพัทธ์ผู้สังเกตการณ์ทั้งสองจะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเคลื่อนที่ช้าลงเนื่องจากแต่ละฝ่ายจะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนที่แต่ในกรณีเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ระดับน้ำทะเลย่อมมีสนามโน้มถ่วงเข้มมากกว่าวิธีสังเกตการณ์อยู่บนภูเขา ดังนั้นบุคคลผู้ที่เป็นผู้สังเกตการณ์จากระดับน้ำทะเลอาจจะดูเชื่องช้าในสายตาของผู้ที่อยู่บนภูเขาและผู้ที่อยู่บนภูเขาอาจจะดูรวดเร็วในสายตาของผู้ที่อยู่เบื้องล่างแต่ในความเป็นจริงแล้วในกรณีของความแตกต่างของคนที่อยู่บนภูเขาและคนที่อยู่ในระดับน้ำทะเลความแตกต่างนั่นมันน้อยมากๆ จนเรานั้นถ้าไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ นอกเหนือจากว่าเราและคนที่อยู่บนภูเขาพวกนาฬิกาอะตอมไว้และเมื่อถึงเวลาหนึ่งเรานำนาฬิกาทั้งสองมาเปรียบเทียบกันเราอาจจะเห็นความแตกต่างของเวลาในระดับจุดทศนิยมสูงๆ จากที่ศึกษามาทำให้เราพบว่าการเดินทางข้ามเวลานั้นมีอยู่จริงอย่างน้อยก็คือการเดินทางไปสู่โลกอนาคตด้วยการเพิ่มความเร็วแบบง่ายๆ หรือใช้ความแตกต่างของสนามแรงโน้มถ่วงถึงแม้ว่าเรายังหาหนทางเพื่อฆ่าเวลาไปสู่อดีตไม่ได้สืบเนื่องมาจากวิทยาการและเทคโนโลยีในปัจจุบันอย่างน้อยก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะเป็นไปไม่ได้และเมื่อการทางพิเศษรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนก่อให้เกิดทฤษฎีเอกภาพ
ภาพจากเว็ปไซต์ pinterest.com
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า ยิ่งคุณเดินทางไปได้เร็วมากเท่าไรเวลาของคุณก็จะช้าลงมากเท่านั้น แค่คุณกำลังวิ่งแซงคนที่กำลังเดินเท่ากับว่าเวลาของคนที่กำลังเดินจะเร็วกว่าคุณและเวลาของคุณจะช้ากว่าคนที่กำลังเดินในระดับจุดทศนิยมที่อาจมีความยาวจากปลายจักรวาลด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่ง และหากคุณวิ่งเร็วพอที่จะไล่ตามความเร็วแสงได้ละก็คุณจะมองเห็นคนบนโลกที่กำลังคลื่นที่ด้วยความเร็วสูงมากๆ มากๆ
ซึ่งตรงกันข้ามกับเดอะแฟลชที่เขาเห็นภาพเป็นสโลโมชั่นเพราะเดอะแฟลซเขาวิ่งย้อนกลับไปยังอดีตซึ่งตามกฎของไอน์สไตน์มันไม่สามารถเป็นไปได้ที่เราจะย้อนเวลาไปสู่อดีตเพราะตามกฏของทฤษฎีอนุญาตให้เราเดินทางไปยังอนาคตได้เท่านั้น หากเดอะแฟลซเห็นพวกเรากำลังเดินช้าๆ เป็นภาพเป็นสโลละก็ เท่ากับว่าเข้าวิ่งได้ช้าเอามากๆ ช้ากว่าคนที่กำลังเดินปกติด้วยซ้ำ การที่เราเห็นว่าเดอะแฟลชคลื่นที่ได้รวดเร็วมากๆ ก็เท่ากับว่าเรานั้นไปเร็วกว่าเดอะแฟลชตามทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปนั่นเอง
"เวลาของคุณเดินช้าแค่ไหน เท่ากับว่าคุณไปได้เร็วเท่านั้น ยิ่งคุณไปได้ใกล้ความเร็วแสงเท่าไร คุณจะเห็นทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเร่งเร็วขึ้นเร็วเท่านั้น"
โฆษณา