19 พ.ค. 2020 เวลา 18:15
เราเป็นมนุษย์แม่ ที่ตอนนี้เรามีภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงมากๆ คือ การดูแลลูกชายวัย 1.8 ขวบ จะเรียกเราว่าเป็นคุณแม่ ฟูลไทม์ ก็ว่าได้ โดยงานของเราจะเริ่มราวๆ 6 โมงเช้า แล้วไปสิ้นสุดตอนประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง มีเข้ากะดึกบ้างประปราย รวมๆแล้วทำงานเกือบๆ 14-15 ชั่วโมงต่อวันได้ พอหลังจากส่งลูกเข้านอนแล้ว เราก็จะใช้เวลารับแปลเอกสาร กับตรวจสอบงานแปล จะนับว่าเป็นงาน part time ของเราก็ว่าได้ตอนนี้
Credit: https://www.momspresso.com
และก่อนที่เราจะมาเป็นมนุษย์แม่อย่างเต็มตัว เราก็เคยเป็น working mom มาก่อน ตอนนั้นเรามีเงินเดือนเป็นของตัวเองเราสามารถจับจ่ายใช้สอยตามที่เราสบายใจ โดยไม่ต้องขอเงินจากสามีเลย เรามีสังคมเพื่อนที่ทำงานที่น่ารัก ตอนพักเที่ยง เราสามารถพักผ่อนจากงาน เม้าท์มอยกับเพื่อนๆไป ทานข้าวไป ทานข้าวเสร็จแวะซื้อของ ดูของที่ตลาดนัดแถวออฟฟิศ หรือบางวันอยากนวด เราก็รีบทานข้าวแล้วใช้เวลาที่เหลือของช่วงพักไปนวดที่ร้านใกล้ๆออฟฟิศ เพราะพอถึงเวลาเลิกงานเราต้องรีบตรงกลับบ้านทันทีเพื่อให้ทันเวลาลูกเข้านอน ระหว่างวันมีคุณย่ามาช่วยเลี้ยงลูก เราก็สบายใจที่มีคนที่ไว้ใจได้มาดูแลลูกของเรา ตอนนั้นชีวิตมันก็ค่อนข้างสนุกมากที่เราทำอะไรได้หลายๆอย่างพร้อมกันแต่ด้วยสุขภาพคุณย่าไม่เอื้ออำนวย จะเอาลูกไปฝากเนิร์สเซอร์รี่ก็ไม่สบายใจ สุดท้ายเลยตัดสินใจออกมาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง
เป็นคุณแม่ฟูลไทม์สบายอย่างที่ใครๆเค้าพูดกันหรือเปล่า ?
การที่ต้องเลี้ยงลูก อยู่กับลูกแบบ 24/7 ต้องขอเงินสามีใช้ สังคมเพื่อนหายไป การมีชุดนอนกับชุดไปเที่ยวเป็นชุดเดียวกัน มีความกดดันจากคนรอบตัว ความภาคภูมิใจในตัวเองลดลง ก็ไม่ได้สบายอย่างที่ใครๆเค้าคิดกัน แถมยังห้ามป่วย ห้ามสาย ห้ามลา ห้ามตายอีกต่างหาก 555 เพราะเจ้านายตัวน้อยไม่ปล่อยให้มนุษย์แม่อย่างเราได้นอนอย่างสงบสุขเป็นแน่
แล้วข้อดีของการเป็นคุณแม่ฟุลไทม์มีไหม ?
มีซิ ถ้าให้ชั่งน้ำหนักตอนนี้ระหว่างกลับไปทำงาน กับ ยังเลี้ยงลูกเองอยู่ เราก็ยังยืนยันคำตอบเดิมว่าเราขอเลี้ยงลูกเอง
ข้อแรก
เราสามารถเลือกวิธีการเลี้ยงลูก หรือ เราสามารถออกกฎกติกาในการเลี้ยงลูกได้เอง ได้ด้วยตัวเอง เช่น เรื่องทานข้าวของลูก เราไม่เคยตามป้อนเหมือนที่สมัยปู่ ย่า ตา ยายที่เลี้ยงเรามา เราศึกษาวิธี Baby Led Weaning (BLW) แล้วก็เลือกนำมาใช้กับลูกของเรา ไว้วันหลังเราจะมาเล่าให้ฟังว่าวิธีคืออะไรนะคะ ในช่วงแรกผู้ใหญ่อาจจะคัดค้านวิธีของเรา เพราะมันค่อนข้างใหม่สำหรับเค้า แต่เมื่อเค้าได้เห็นว่าวิธีที่เราใช้มันได้ผล เค้าก็จะไม่ขัดอะไรเราอีก รวมถึงเรื่องอื่นๆที่เราจะสอนให้กับลูก
ข้อสอง
สามารถสร้างจังหวะชีวิตให้กับลูกได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเวลาทั้งหมดของเราให้กับลูกอยู่แล้ว เราสามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันของลูกได้อย่างสม่ำเสมอ ตรงเวลา พอลูกรู้จังหวะเวลาของชีวิตช่วยให้การเลี้ยงลูกง่ายขึ้นมาก ลูกจะไม่ค่อยงอแงหรืออิดออดเวลาจะให้ทำอะไร
ข้อสาม
ได้เห็นพัฒนาการของลูกทุกขั้นตอน ตั้งแต้วันแรกที่เค้านั่งได้ วันที่เค้าเริ่มคลาน เริ่มเดิน เริ่มพูด ไปจนตอนพูดไม่หยุด และเถียงไม่หยุด 555 จริงๆแล้วเป็น working mom ก็สามารถเห็นได้เช่นกัน แต่เรารู้สึกว่า การที่เราอยู่กับเค้าตลอดในช่วงเวลาที่เค้าต้องการ ลูกจะมีความรู้สึกที่มั่นคง เข้าใจกฎกติกาที่วางไว้เป็นอย่างดี เมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิดก็ยอมรับ มีโวยวายบ้างแต่สงบลงได้หลังจากบอกเหตุผล
สำหรับเรา 3 ข้อนี้ก็เพียงพอแล้ว
ฟังดูแล้วการเป็น คุณแม่ฟุลไทม์ก็ไม่ได้ดูแย่ไปเลยซะทีเดียวใช่ไหมคะ แม่ๆท่านอื่นมีประสบการณ์ยังไงกันบ้างมาเล่าให้ฟังกันได้นะคะ เราเองก็เพิ่งหัดเขียน อาจจะยังเขียนไม่เก่ง แต่สิ่งที่เราอยากได้มากที่สุดก็คือการได้แบ่งปัน การแชร์เรื่องราวของแม่ๆทั้งหลาย และการที่ได้มาเขียนเรื่องราว แชร์ประสบการณ์นี้ ถือว่าเป็นงาน part time ที่สองรองจากงานหลักเลี้ยงลูกและงานแปลเลยค่ะ
ปล. เรื่องการออกมาเลี้ยงลูกเอง เราก็ต้องขอบคุณสามีมากที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น และอดทนต่อความกดดันด่างๆเพื่อครอบครัว
โฆษณา