20 พ.ค. 2020 เวลา 10:28 • กีฬา
รู้หรือไม่ ทีมไหนเคยครองบุนเดสลีกาเหนือบาเยิร์น
ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ฟุตบอลลีกเยอรมันหันมาใช้ชื่อ “บุนเดสลีกา” อย่างเป็นทางการในปี 1963 บัลลังก์ของบุนเดสลีกาก็ได้ตกอยู่ในมือของราชันอย่างบาเยิร์น มิวนิคแชมป์ 28 สมัยแต่เพียงผู้เดียวตามโดยโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนท์ทีมละ 5 สมัยซึ่งถือว่าทั้งคู่โดนบาเยิร์นทิ้งอย่างไม่เห็นฝุ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันตั้งแต่ฤดูกาล 2012–13 เป็นต้นมา บาเยิร์นสามารถคว้าแชมป์ติดต่อกันมาได้อย่างยาวนานถึง 7 สมัยและในฤดูกาลนี้พวกเขาก็ยังคงนำจ่าฝูงอยู่อย่างเช่นเคยเพื่อลุ้นแชมป์ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 8 ซึ่งดูผิวเผินอาจมองได้ว่าลีกเยอรมันนี้เป็นลีกที่ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นตรงกับบาเยิร์นไปซะหมดและไร้ซึ่งการแข่งขันที่แท้จริงที่มีเพียงแค่การสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ช่วงหนึ่งแล้วสุดท้ายก็จบลงที่บาเยิร์นทุกทีเหมือนหนังม้วนเดิมที่นำมาฉายซ้ำวนไปวนมาจนน่าเบื่อ แต่รู้หรือไม่ว่าที่จริงมีอยู่ไม่กี่ทีมที่เคยสามารถครองบัลลังก์เหนือบาเยิร์นหรือขึ้นมาเทียบเท่าบาเยิร์นได้เลยทีเดียว
1.โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัคแห่งช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงช่วงทศวรรษ 1970
กลัดบัคภายใต้การคุมทีมของเฮนเนส ไวส์ไวเลอร์และอูโด ลัทเทคในยุคนั้นถือเป็นทีมที่แข็งแกร่งจนสามารถคู่คี่ สูสีกับบาเยิร์นได้เลยทีเดียว โดยสามารถคว้าแชมป์ลีกไปได้ถึง 5 สมัยในฤดูกาล 1969–70, 1970–71, 1974–75, 1975–76 และ 1976–77 ที่นำทีมโดย จุ๊ปป์ ไฮย์เกส อดีตยอดกองหน้าที่ได้กลายมาเป็นตำนานยอดกุนซือในปัจจุบันและอลัน ซิมอนเซ่น ผู้เล่นบัลลงดอร์ในปี 1977 นอกจากนี้กลัดบัคชุดนี้ยังเคยเป็นถึงทีมที่ได้แชมป์มากที่สุดในบุนเดสลีกาแห่งยุคบุกเบิกเหนือบาเยิร์นอีกด้วย
จุ๊ปป์ ไฮย์เกส
อลัน ซิมอนเซ่น ผู้เล่นบัลลงดอร์ในปี 1977
ช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของกลัดบัค
2. ฮัมบูร์กแห่งช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงช่วงต้นทศวรรษ 1980
ฮัมบูร์กภายใต้การคุมทีมของบลังโก้ ซีเบคและแอ็นสท์ ฮาปเพลซึ่งถือเป็นทีมที่สองที่สามารถขึ้นมาต่อสู้กับบาเยิร์นได้อย่างสูสีแต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่อาจทำได้เหมือนกับที่กลัดบัคเคยทำไว้ได้โดยพวกเขาคว้าแชมป์ลีกไปได้เพียง 3 สมัยในฤดูกาล 1978–79, 1981–82 และ 1982–83 ที่นำทีมโดยเควิน คีแกน ผู้เล่นบัลลงดอร์ 2 สมัยในปี 1978 และ 1979 และเฟลิกซ์ มากัท อดีตยอดกัปตันทีมของฮัมบูร์กยุครุ่งเรือง
เควิน คีแกน ผู้เล่นบัลลงดอร์ 2 สมัยในปี 1978 และ 1979
เฟลิกซ์ มากัท
นอกจากนี้ถึงแม้ฮัมบูร์กชุดนั้นจะไม่สามารถครองเยอรมันได้ยาวนานนักแต่พวกเขาก็ถือว่าเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในเยอรมันที่เคยมีมาเนื่องจากพวกเขาเป็นทีมที่สองต่อจากบาเยิร์นที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้ในฤดูกาล 1982–83 อีกด้วย
3. โบรุสเซีย ดอร์ทมุนท์แห่งช่วงกลางทศวรรษ 1990 และ ช่วงต้นทศวรรษ 2010
ช่วงกลางทศวรรษ 1990
ช่วงต้นทศวรรษ 2010
ดอร์ทมุนท์มีช่วงเวลาที่สามารถครองเยอรมันได้ถึงสองช่วง โดยช่วงแรกอยู่ภายใต้การคุมทีมของอ๊อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ซึ่งทีมชุดนี้สามารถคว้าแชมป์ลีกติดต่อกัน 2 สมัยในฤดูกาล 1994–95 และ 1995–96 ที่นำทีมโดย มัธธีอัส ซามเมอร์ ผู้เล่นบัลลงดอร์ในปี 1966, คาร์ลไฮน์ รีดเล่, สเตฟาน รอยเตอร์ และ อันเดรียส โมลเลอร์ ยิ่งไปกว่านั้นทีมชุดนี้ยังเป็นถึงทีมที่สามต่อจากฮัมบูร์กที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้ในฤดูกาล 1996–97 อีกด้วย
อ๊อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์
มัธธีอัส ซามเมอร์ ผู้เล่นบัลลงดอร์ในปี 1966
คาร์ลไฮน์ รีดเล่, สเตฟาน รอยเตอร์ และ อันเดรียส โมลเลอร์ (ซ้ายไปขวาตามลำดับ)
ภาพฉลองแชมป์ยุโรปของดอร์ทมุนท์
และช่วงที่สองอยู่ภายใต้การคุมทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ซึ่งทีมชุดนี้สามารถคว้าแชมป์ลีกติดต่อกัน 2 สมัยอีกเช่นเคยในฤดูกาล 2010–11 และ 2011–12 ที่นำทีมโดย โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, มาริโอ เกิทเซ่, ชินจิ คากาวะ และ มัตส์ ฮุมเมลส์
เจอร์เก้น คล็อปป์
ชินจิ คากาวะ, มาริโอ เกิทเซ่, มัตส์ ฮุมเมลส์ และโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (ซ้ายไปขวาตามลำดับ)
ถึงแม้ดอร์ทมุนท์จะไม่เคยครองบัลลังก์ได้ยาวนานเหมือนอย่างกลัดบัคและฮัมบูร์กแต่พวกเขาก็มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นกว่านั่นก็คือพวกเขาสามารถครองบัลลังก์ได้ถึงสองยุคเลยทีเดียวถึงแต่ละยุคจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
ความสำเร็จในช่วงกลางทศวรรษ 1990
ความสำเร็จในช่วงต้นทศวรรษ 2010
ด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีกาได้พิสูจน์แล้วว่าบาเยิร์น มิวนิคคือราชันที่แท้จริงแห่งเยอรมันที่มีน้อยทีมนักจะขึ้นมาเหนือกว่าหรือทัดเทียมได้ แต่แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้บาเยิร์น มิวนิคยังคงครองบัลลังก์แห่งเยอรมันได้จนถึงทุกวันนี้กันล่ะ
1.ประวัติศาสตร์
ขอบคุณรูปภาพจาก Bleacher Report
ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นจากศูนย์ด้วยกันทั้งนั้นและบาเยิร์น มิวนิคเองก็เช่นกัน ในช่วงแรกเริ่มพวกเขาค่อยๆสร้างตัวขึ้นมาด้วยผู้เล่นเยาวชนของพวกเขาที่นำโดย ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์, แกร์ด มุลเลอร์ และ เซฟ ไมเออร์
สามสุดยอดผู้เล่นเยาวชนของบาเยิร์น
และได้ค่อยๆกวาดความสำเร็จมาเรื่อยๆจนกลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่ในเยอรมันร่วมกับกลัดบัค ยิ่งไปกว่านั้นในยุโรปพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งไม่แพ้กันโดยกวาดแชมป์ยุโรปไปถึงสามสมัยติดต่อกันในฤดูกาล1973–74 ถึง 1975–76
แชมป์ยุโรปสามปีซ้อนของบาเยิร์น มิวนิค
และต่อมาพวกเขาได้ประสบปัญหาการเงินจึงทำให้บาเยิร์นต้องตกระกำลำบากไปพอสมควรแต่พวกเขาก็ยังสามารถคว้าแชมป์ลีกได้อยู่บ้าง จนกระทั่งการมาถึงของอ๊อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ที่ย้ายมาจากดอร์ทมุนท์ที่กำลังแข็งแกร่งอย่างมากในตอนนั้นซึ่งฮิตซ์เฟลด์ได้เข้ามาทำให้บาเยิร์นกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งและมันดันมากซะจนเหนือกว่าอดีตทีมเก่าของเขาเสียอีกโดยสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 5 สมัยในฤดูกาล1998–99, 1999–00, 2000–01, 2002–03 และ 2007–08 และแชมป์ยุโรปอีก 1 สมัยในฤดูกาล 2000–01
ด้วยอิทธิพลของฮิตซ์เฟลด์ที่ช่วยปูรากฐานของบาเยิร์นจึงทำให้บาเยิร์นกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานและเป็นถึงมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวในเยอรมันไปในที่สุด
อ๊อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ สมัยคุมบาเยิร์น มิวนิค
ในปัจจุบันบาเยิร์นเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเยอรมันที่ได้แชมป์ลีกบุนเดสลีกามากที่สุดถึง 28 สมัยและแชมป์ยุโรปอีกถึง 5 สมัย ซึ่งไม่มีทีมไหนในเยอรมันสามารถเอื้อมถึงได้เลย
ห้องแห่งเกียรติยศของบาเยิร์น มิวนิค
2. ความมั่งคั่ง
ด้วยประวัติศาตร์ความสำเร็จของบาเยิร์น มิวนิคทำให้พวกเขาเป็นสโมสรที่มีรายได้มหาศาลที่มีความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นอย่างมากและในปัจจุบันด้วยการจัดอันดับมูลค่าทีมกีฬาทั่วโลกโดยนิตยสารของอเมริกาอย่าง Forbes ล่าสุดในปี 2019 พบว่าบาเยิร์นมีมูลค่าสโมสรถึง $3.02 billion ซึ่งถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 17 ท่ามกลางเหล่าบรรดาทีมกีฬาชั้นนำทั่วโลกและยิ่งไปกว่านั้นบาเยิร์นยังถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของหมวดหมู่ทีมฟุตบอลด้วยกัน
1
ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของพวกเขาในโลกฟุตบอลเป็นอย่างมากและมันจึงทำให้พวกเขาสามารถจับจ่ายใช้สอยผู้เล่นที่ต้องการได้อย่างไม่จำกัดซึ่งยิ่งดูเหนือกว่าทีมอื่นๆในเยอรมันขึ้นไปทุกทีจะมีก็เพียงแต่ดอร์ทมุนท์เท่านั้นที่เรียกได้ว่าเป็นทีมที่มีกระตังอยู่ทีมเดียวโดยมีมูลค่าสโมสรถึง $896 million แต่มันก็ยังดูห่างไกลจากบาเยิร์นอยู่มากโข
3. ความชาญฉลาดในการซื้อผู้เล่น
คาร์ล ไฮน์ซ รุมเมนิเก้ ประธานบอร์ดบริหารสโมสรบาเยิร์น มิวนิค
สืบเนื่องจากข้อที่ 2 เมื่อบาเยิร์น มิวนิคเป็นทีมที่ร่ำรวยที่สุดในเยอรมันจึงทำให้พวกเขามีเงินจำนวนมหาศาลที่จะซื้อผู้เล่นและมอบค่าเหนื่อยสูงๆได้ไม่ยากจึงส่งผลให้มันช่างได้เปรียบทีมอื่นในเยอรมันไปซะเหลือเกิน แต่อย่างไรก็ดีนอกจากบาเยิร์นจะได้เปรียบในเรื่องของการเงินแล้วพวกเขาก็ยังมีความชาญฉลาดในการจับจ่ายใช้สอยอีกด้วย
โดยถึงแม้พวกเขาจะมีเงินเยอะแต่ความจริงแล้วพวกเขาแทบจะไม่ได้ซื้อผู้เล่นราคาแพงเลยเมื่อเทียบกับทีมที่ร่ำรวยเหมือนกันในลีกอื่นๆอย่างเรอัล มาดริดและบาร์เซโลน่าจากสเปน และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้จากอังกฤษ เป็นต้น แต่พวกเขากลับซื้อผู้เล่นที่เก่งๆหรือที่พอมีแววจากทีมร่วมลีกเดียวกันมาในราคาไม่แพงมากซึ่งราคาที่บาเยิร์นยอมจ่ายแพงที่สุดนั้นสูงเพียงแค่ 37 ล้านยูโรในตอนคว้า มาริโอ เกิทเซ่ จากทีมคู่แข่งตัวฉกาจในตอนนั้นอย่างดอร์ทมุนท์
ขอบคุณรูปภาพจาก Planet Football
และผู้เล่นกุญแจสำคัญที่บาเยิร์นแย่งชิงมาจากทีมในลีกเดียวกันแล้วส่งผลให้พวกเขากลายเป็นแชมป์ 7 สมัยติดตั้งแต่ฤดูกาล 2012–13 ได้แก่
ในฤดูกาล 2012-13 มาริโอ มานด์ซูคิช ราคา 13 ล้านยูโรจากโวล์ฟสบวร์กและ ดันเต้ ราคา 4.7 ล้านยูโรจากกลัดบัค,
ในฤดูกาล 2013-14 มาริโอ เกิทเซ่ ราคา 37 ล้านยูโร จากดอร์ทมุนท์,
ในฤดูกาล 2014-15 โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เซ็นฟรีจากดอร์ทมุนท์,
ในฤดูกาล 2015-16 โจชัว คิมมิช ราคา 8.5 ล้านยูโร จากสตุ๊ตการ์ต,
ในฤดูกาล 2016-17 มัตส์ ฮุมเมลส์ ราคา 35 ล้านยูโร จากดอร์ทมุนท์,
ในฤดูกาล 2017-18 นิคลาส ซูเล่ ราคา 20 ล้านยูโรจากฮอฟเฟนไฮม์,
ในฤดูกาล 2018-19 เลออน โกเร็ตซ์ก้า เซ็นฟรีจากชาลเก้ 04
และในฤดูกาลปัจจุบัน 2019-20 แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ ราคา 35 ล้านยูโรจากสตุ๊ตการ์ต
ด้วยการเดินเกมตลาดซื้อขายผู้เล่นอันชาญฉลาดของบาเยิร์นทำให้พวกเขาไร้เทียมทานซะจนทีมอื่นไม่อาจมีวันลืมตาอ้าปากได้เลย
จากเรื่องทั้งหมดอาจดูเหมือนว่าหนทางที่ลีกสูงสุดของเยอรมันจะเปลี่ยนจากลีกที่ทุกสิ่งขึ้นตรงกับบาเยิร์นกลายเป็นลีกที่มีการขับเขี้ยวลุ้นแชมป์กันอย่างสนุกนั้นแทบจะลิบหลี่ไปซะทุกที แต่อย่างน้อยกลัดบัค, ฮัมบูร์ก และ ดอร์ทมุนท์ ทั้งสามก็ได้เคยทำให้เห็นแล้วว่าไม่มีอะไรแน่นอนในโลกฟุตบอล ซึ่งก็เหมือนกับดอร์ทมุนท์กับกลัดบัคสองทีมเดิมที่เคยทำสำเร็จและไลป์ซิกที่ตอนนี้ทั้งสามทีมต่างกำลังไล่ล่าบาเยิร์นอย่างไม่ย้อท้อ พวกเราก็ได้แต่หวังว่าฤดูกาลนี้หนังม้วนเดิมจะไม่วนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของบาเยิร์น มิวนิคที่พวกเขาแข็งแกร่งเกินไปในทุกๆด้านแต่สิ่งเหล่านี้ได้เกิดจากการค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นของพวกเขาตั้งแต่ในอดีตด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการที่ลีกเยอรมันจะกลายเป็นลีกที่สนุกขึ้นและมีการแข่งขันลุ้นแย่งแชมป์กันทุกๆปีได้นั้นทุกๆทีมก็ควรจะเอาอย่างบาเยิร์น มิวนิคที่เริ่มต้นตั้งแต่ดินสู่ดาวจนมีทุกวันนี้
และรูปภาพโดย
โฆษณา