28 พ.ค. 2020 เวลา 02:08 • ประวัติศาสตร์
'เกออร์กี ซูคอฟ' จอมพลผู้ไร้พ่ายแห่งสหภาพโซเวียต
'เขาคือจอมพลที่มีชื่อเสียงที่สุดของสหภาพโซเวียต ได้รับสมญานาม ‘ผู้ไม่เคยพ่ายแพ้’ และยังได้รับตำแหน่ง ‘ฮีโรแห่งสหภาพโซเวียต’ จอมพลเกออร์กี ซูคอฟ (Georgy Zhukov) คือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการทำสงครามทหารม้า ก่อนผันตัวไปเป็นนักการสงครามยานยนต์ และเป็นหนึ่งในหัวหอกนำกองทัพแดงตีโต้เยอรมนีจากสตาลินกราดไปจนถึงกรุงเบอร์ลิน ตลอดชีวิตเขาได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติและเหรียญมาไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง และนี่คือชีวิตของยอดแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งกองทัพแดง
1.ชีวิตวัยเยาว์
.
ปี 1896 เกออร์กี ซูคอฟ (Georgy Zhukov) เกิดในครอบครัวที่ยากจนจากเมืองสเตรลคอฟกา (Strelkovka) พ่อของเขาเป็นช่างทำรองเท้า ส่วนแม่เป็นเกษตรกร ซูคอฟเคยบอกว่าบ้านหลังเล็กๆ ของครอบครัวตนนั้น “ดูย่ำแย่ที่สุดในหมู่บ้าน”
.
ครั้นอายุได้ 9 ปี ซูคอฟต้องจากบ้านเกิดไปแสวงโชคในกรุงมอสโกเช่นชาวชนบทอื่นๆ แต่แล้วกลับต้องพบว่าภาพของกรุงมอสโกไม่ได้สวยหรูเท่าไหร่นักสำหรับคนยากจน ที่นั่นเขาต้องฝึกงานกับลุงผู้เป็นช่างทำเสื้อผ้าขนสัตว์จนกระทั่งปี 1915
.
.
2.จับอาวุธเข้าสงครามครั้งแรก
.
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นไม่ถึงหนึ่งปี ซูคอฟถูกเกณฑ์เป็นทหารสังกัดกรมทหารม้าดรากูนนอฟโกรอดที่ 10 (10th Dragoon Novgorod Regiment) ผลงานของชายหนุ่มเริ่มเป็นที่ประจักษ์ เขาร่วมรบในการบุกทะลวงบรูซิลอฟ (Bruzilov Offensive) ในปี 1916 ซูคอฟสามารถจับเชลยเยอรมันได้และยังเอาตัวเข้ารับลูกระเบิดจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกระทั่งรัสเซียถอนตัวจากสงคราม ผลงานทั้งสองทำให้เขาได้รับเหรียญแห่งเซนต์จอร์จถึงสองครั้ง และยังได้เลื่อนขั้นเป็นนายทหารชั้นประทวน
1
3.บอลเชวิคแถวหน้า
.
เมื่อเกิดปฏิวัติเดือนตุลาคมขึ้นในปี 1917 ซูคอฟเข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิคทันที ฐานะที่ยากจนทำให้เขาเป็นบุคลากรช่วยโปรโมตให้พรรคได้เป็นอย่างดี
.
ปี 1919 ระหว่างสงครามกลางเมืองรัสเซีย ซูคอฟเข้าร่วมกรมทหารม้าอีกครั้งและได้เป็นผู้นำกองทหารม้า ในปี 1921 เขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ธงแดงจากวีรกรรมในการปราบกบฎทัมบอฟ (Tambov Rebellion) ต่อมายังได้เป็นผู้บัญชาการทหารม้าในปี 1933 และเลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการในเบลารุส
.
1
4.โชคชะตาขึ้นๆ ลงๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2
.
ในปี 1939 สงครามกับญี่ปุ่นที่ ‘คัลคินโกล’ (Khalkhyn Gol) ทำให้ซูคอฟก้าวขึ้นเป็นดาวเด่นของสหภาพโซเวียต นายพลผู้นี้ฉายแววความสามารถในการทำสงครามยานยนต์จนเป็นที่ยกย่อง เมื่อเขานำกองทัพทหารม้าและรถถังของโซเวียต-มองโกเลียเข้าโจมตีที่มั่นของญี่ปุ่นจนต้องล่าถอย วีรกรรมครั้งนี้ทำให้เขาได้รับตำแหน่ง ‘ฮีโร่แห่งสหภาพโซเวียต’ เป็นครั้งแรก และยังได้รับรางวัลแห่งเลนินเป็นครั้งที่ 2 ซูคอฟยังได้รับตำแหน่งหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการอีกด้วย
.
2
ปี 1941 ซูคอฟเอาชนะสตาลินในเกมจำลองสงครามได้ทั้งๆ ที่ไม่มีใครกล้าเอาชนะ ด้วยความที่สตาลินไว้ใจจอมพลดาวรุ่งผู้นี้มาก เขาจึงกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถโต้แย้งสตาลินได้อย่างเปิดเผย เมื่อเยอรมนีเข้ารุกรานโซเวียตในปี 1941 ซูคอฟถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการ ภายหลังเขาแนะให้สตาลินทิ้งเมืองเคียฟ ความดื้อรั้นของสตาลินทำให้เมืองเคียฟถูกล้อมโดยกองทัพเยอรมัน ต่อมาซูคอฟจึงถูกส่งไปป้องกันมอสโกและสตาลินกราด
.
1
ที่สตาลินกราด ซูคอฟเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มปฏิบัติการยูเรนัส (Operation Uranus) เพื่อตีโอบล้อมและตัดเส้นทางขนส่งของกองทัพอักษะจนกองทัพเยอรมันต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด หลังจากนั้นเขายังเป็นหัวหอกสำคัญในการตีโต้กลับและบุกเข้าไปจนถึงกรุงเบอร์ลินในปี 1945
.
3
หลังสงครามสงบไม่นาน ซูคอฟยังสานสัมพันธ์กับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ‘ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวเออร์’ (Dwight D. Eisenhower) ด้วย ทั้งสองเคยพบปะและถกกันถึงปัญหาปรัชญาครั้งหนึ่ง แม้แต่ไอเซนฮาวเออร์ยังบันทึกถึงนายพลโซเวียตด้วยความชื่นชมไว้ว่า “ซูคอฟคือผู้อุทิศตัวให้อุดมการณ์มาร์กซิสต์อย่างแท้จริง”
.
.
1
5.สูงสุดคืนสู่สามัญ บั้นปลายชีวิตหลังสงคราม
.
หลังเยอรมนีประกาศยอมแพ้ ซูคอฟได้รับหน้าที่ในการดูแลพื้นที่ ยึดครองในเยอรมนี สตาลินเริ่มหวาดระแวงถึงอิทธิพลทั้งการเมืองและการทหารของซูคอฟที่เฉิดฉายขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกับทหาร ประชาชนท้องถิ่น และผู้นำของชาติสัมพันธมิตรอื่นๆ ที่ได้เห็นผลงานของเขา สตาลินจึงสั่งปลดซูคอฟออกทันที และเรียกตัวกลับมาดำเนินคดีข้อหาไม่จงรักภักดี แม้ว่าซูคอฟเองจะไม่เคยขัดขาหรือแสดงอาการไม่พอใจต่อสตาลินเลยก็ตาม
.
1
หลังจากนั้นเขาถูกย้ายไปประจำการยังเมืองห่างไกลในแถบไครเมียจนกระทั่งสตาลินเสียชีวิตในปี 1953 ประธานาธิบดีคนใหม่ ‘นิกิตา ครุสชอฟ’ (Nikita Khrushchev) จึงเลื่อนขั้นให้ซูคอฟได้เป็นรองรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ต่อมาทั้งสองต่างขัดแย้งกันเรื่องนโยบาย ซูคอฟจึงโดนปลดออกจากตำแหน่งและพรรคในปี 1957 ภายหลังเขาหันไปชีวิตเงียบๆ และไม่ได้มีบทบาทในพรรคอีกเลย
1
กระทั่งเกษียณไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ก่อนเสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อปี 1974
.
.
6.งานอดิเรกของจอมพล
.
ซูคอฟเป็นคนชอบตกปลามาก และยังมีความสนใจเกี่ยวกับโลกใต้น้ำ ประธานาธิบดีโซเวียต ‘นิกิตา ครุสชอฟ’ เคยเล่าถึงงานอดิเรกนี้ให้ประธานาธิบดีไอเซนฮาวเออร์ฟังระหว่างเยี่ยมเยียนสหรัฐฯในปี 1959 ต่อมาประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงส่งชุดตกปลาไปให้จอมพลที่ตนนับถือ แน่นอนว่าของขวัญนี้ถูกใจซูคอฟเป็นอย่างยิ่ง เขายังพกชุดตกปลาของไอเซนฮาวเออร์ติดตัวไปตลอดชีวิตด้วย
.
.
32
7.จ้าวแห่งเหรียญรางวัล
.
เกออร์กี ซูคอฟ ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติทั้งหมดมากกว่า 50 ครั้ง ตั้งแต่เริ่มรับราชการทหาร จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเครื่องแบบของเขาถึงเต็มไปด้วยเหรียญรางวัลต่างๆ ผลงานอันห้าวหาญและเฉียบขาดทำให้เขาได้รับรางวัลจากทั้งประเทศบ้านเกิดและต่างประเทศรวมทั้งหมด 12 ประเทศด้วยกัน (นับรวมรัสเซียกับโซเวียต)
.
1
จอมพลซูคอฟได้รับการประดับเหรียญรางวัลเท่าที่นับได้ทั้งหมดจากจักรวรรดิรัสเซีย 1 ครั้ง รางวัลของสหภาพโซเวียต 23 ครั้ง รางวัลจากมองโกเลีย 7 ครั้ง เชคโกสโลวาเกีย 3 ครั้ง โปแลนด์ 5 ครั้ง ฝรั่งเศส 2 ครั้ง บัลแกเรีย 2 ครั้ง สหรัฐอเมริกา 1 ครั้ง สหราชอาณาจักร 1 ครั้ง จีน 1 ครั้ง ยูโกสลาเวีย 1 ครั้ง อียิปต์ 1 ครั้ง และอิตาลี 1 ครั้ง
.
.
1
8.อนุสรณ์อุทิศแด่แม่ทัพผู้ไร้พ่าย
.
เมืองสเตรลคอฟกาอันเป็นบ้านเกิดของจอมพลผู้นี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ซูคอฟ’ตามจอมพลผู้นี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ผลงานโดดเด่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังใช้ชื่อนี้จนถึงปัจจุบัน
.
หลังสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991 อนุเสาวรีย์ของซูคอฟในมองโกเลียและอนุเสาวรีย์ของเขาบนหลังม้าในกรุงมอสโกกลับเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานสมัยโซเวียตไม่กี่แห่งที่ไม่ถูกทำลาย
.
ในปี 1975 ขณะที่สหรัฐและโซเวียตกำลังแข่งขันกันด้านอวกาศ ดาวเคราะห์น้อย ‘2132 ซูคอฟ’ ค้นพบโดยลุดมิลา เชอร์นิค (Lyudmila Chernykh) ก็ถูกตั้งชื่อตามอดีตจอมพลซูคอฟผู้ล่วงลับไป 1 ปีก่อนหน้า
.
ปี 1996 รัฐบาลรัสเซียประกาศจัดตั้งเครื่องอิสริยภรณ์แห่งซูคอฟเพื่อรำลึกถึงครบรอบ 100 ปีวันคล้ายวันเกิดของจอมพลในตำนานผู้นี้.
.
.
1
เรื่อง อันโตนิโอ โฉมชา
ภาพประกอบ เพ็ญนภา บุปผาเจริญสุข
.
อ้างอิง
โฆษณา