21 พ.ค. 2020 เวลา 04:53 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ชายผู้สร้างเครื่องย้อนเวลา
โรนัลด์ มาลเล็ตต์และตัวต้นแบบเครื่องย้อนเวลา (ภาพจาก BBC)
เราทุกคนล้วนมีอดีต ทุกๆ การตัดสินใจในครั้งก่อนหล่อหลอมตัวเราขึ้นในวันนี้ แต่คุณเคยรู้สึกอยากจะย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ ไหม เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต หรือเพื่อกลับไปเฝ้ามองบางสิ่งบางอย่างที่คุณอาจจะพลาดไป
โรนัลด์ มาลเล็ตต์ (Ronald Mallet) อยากจะย้อนเวลาตั้งแต่เด็ก จักรวาลของเขาสิ้นสุดลงเมื่อพ่อของมาลเล็ตต์หัวใจวายเฉียบพลันเมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ หนูน้อยมาลเล็ตต์ไม่รู้มาก่อนว่าพ่อเป็นโรคหัวใจ สำหรับหนูน้อยมาลเล็ตต์แล้วพ่อเป็นผู้ชายที่แข็งแรงและเป็นช่างซ่อมทีวีและวิทยุยอดฝีมือ การจากไปของพ่ออย่างกะทันหันทำให้หนูน้อยมาลเล็ตต์จมดิ่งลงสู่ความเศร้า ราวกับดวงอาทิตย์ดับไปและจักรวาลทั้งมวลจบสิ้นลง
ครอบครัวของหนูน้อยมาลเล็ตต์ (เด็กคนที่กำลังยืน)
ครอบครัวของมาลเล็ตต์ยากจน มรดกของพ่อไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง หากแต่เป็น “นิสัยรักการอ่าน” ที่พ่อปลูกฝังไว้ภายในตัวของหนูน้อยมาลเล็ตต์จนมันเจริญงอกงาม การอ่านหนังสือทำให้มาลเล็ตต์รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้พ่ออีกครั้ง แล้วการอ่านก็ก่อให้เกิดประกายแสงแห่งความหวังท่วมท้นจิตใจของหนูน้อยมาลเล็ตต์เมื่อเขาพบหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์ “The Time Machine” แต่งโดย H. G. Well เขาตื่นเต้นเมื่อได้เห็นความเป็นไปได้ในการย้อนเวลา หากเขาสามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาได้ เขาก็จะได้กลับไปเตือนพ่อให้กินยาป้องกันโรคหัวใจ พ่อจะไม่ตาย และพ่ออาจจะยังอยู่กับเขา
ปกหนังสือ “The Time Machine” แต่งโดย H. G. Well
ครั้งหนึ่งเวลาเคยเป็นสิ่งจริงแท้และเท่าเทียม
เซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ร่ายมนต์คาถาเป่าให้เวลาของทุกสิ่งในจักรวาลเท่าเทียมกันหมด นิวตันเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล นับตั้งแต่ดวงดาราขนาดมหึมาจนถึงอนุภาคขนาดเล็กจิ๋ว ต่างก็ล่องลอยอยู่ในสายธารแห่งเวลาที่ไหลไปสู่อนาคตด้วยอัตราเดียวกันหมด
เวทมนต์ของนิวตันคงอยู่ยาวนานเป็นเวลาร้อยกว่าปี จนกระทั่งมีชายผู้หนึ่งค้นพบวิธีคลายเวทย์มนต์ ชายคนนั้นคือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์
ไอสไตน์หักล้างแนวคิดเกี่ยวกับกระแสเวลานิรันดร์ของนิวตัน แล้วเปิดตาคนทั้งโลกให้เห็นว่า “เวลาเป็นสิ่งลวงตา” สิ่งต่างๆ หาได้มีเวลาไม่หากไร้กรอบอ้างอิง คนที่กำลังนั่งอยู่บนรถไฟจะมีความเร็วเป็นศูนย์เมื่อเทียบกับกรอบอ้างอิงที่เป็นรถไฟ แต่เขาหรือเธอจะมีความเร็วเท่ากับรถไฟเมื่อเทียบกับกรอบอ้างอิงที่เป็นพื้นโลก ไอสไตน์ทำให้ช่วงเวลาของสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปตามความเร็วของกรอบอ้างอิง ผลลัพธ์นี้ชัดเจนยิ่งขึ้นหากกรอบอ้างอิงเคลื่อนที่เร็วมากใกล้เคียงกับความเร็วแสง ไอสไตน์ยังถักทอเวลาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “กาลอวกาศ” หรือ spacetime เวลาในตอนนี้ถูกลดทอนให้กลายเป็นเพียงแกนหนึ่งของกาลอวกาศเหมือนกับแกน x, y และ z สิ่งต่างๆ สามารถเดินไปข้างหน้าหรือถอยกลับหลังได้บนแกนเวลา ไอสไตน์พบว่ากาลอวกาศถูกทำให้บิดเบี้ยวได้ และถ้าหากกาลอวกาศบิดเบี้ยวแล้วเวลาในนั้นก็จะบิดเบี้ยวตามไปด้วย
ลองจินตนาการแกนเวลาที่ถูกบิดเบี้ยวอย่างหนักจนกระทั่ง “เวลาในอนาคตย้อนกลับไปซ้อนทับกับเวลาในอดีต” นี่คือการย้อนเวลา ปัจจุบันใหม่คืออดีตซ้อนทับกับอนาคต
การย้อนเวลาคือการซ้อนทับกันของอดีตและอนาคต
หนูน้อยมาลเลตต์ได้รู้จักกับไอสไตน์จากการอ่านหนังสือ The UNIVERSE and Dr. Einstein เขาได้รู้ว่าไอสไตน์ทำให้การย้อนเวลาเป็นไปได้ แต่ในขณะนั้นเครื่องย้อนเวลายังเป็นเพียงอุปกรณ์แฟนตาซีในนิยายวิทยาศาสตร์ เมื่อมาลเลตต์ถามไอสไตน์ในจินตนาการว่าเขาจะสร้างเครื่องย้อนเวลาจริงๆ ได้อย่างไร ไอสไตน์ตอบเขาสั้นๆ ว่า “เธอต้องเรียนฟิสิกส์”
มาลเล็ตต์จบปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์เมื่อเขาอายุได้ 26 ปี จากมหาวิทยาลัย Pennsylvania State และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาฟิสิกส์ ประจำมหาวิทยาลัย University of Connecticut เมื่ออายุได้ 30 ปี ตั้งแต่นั้นมา เขาสอนและทำงานวิจัยอยู่ที่ University of Connecticut จนได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์เมื่ออายุได้ 42 ปี
ตำแหน่งศาสตราจารย์ของมาลเล็ตต์ไม่ได้มาจากผลงานเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา อันที่จริงแล้วเขาเก็บมันไว้เป็นความลับและมุ่งความสนใจให้กับงานวิจัยในกระแสหลักทางฟิสิกส์ดาราสาสตร์ มาลเล็ตต์เริ่มเปิดเผยแบบแปลนของเครื่องย้อนเวลาหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์แล้ว ปัจจุบันมาลเล็ตต์เกษียณแล้ว และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณสาขาฟิสิกส์จาก University of Connecticut ในปี 2018
ศาสตราจารย์ โรนัลด์ มาลเล็ตต์ ในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์มาลเล็ตต์ใช้สมการของไอสไตน์เพื่อออกแบบเครื่องย้อนเวลา เครื่องมือของเขามีเพียงกระดาษ ปากกา และคอมพิวเตอร์ธรรมดาเพื่อใช้ในการคำนวณตัวเลข
มาลเล็ตต์ค้นพบว่า ถ้าเขาสามารถทำให้ลำแสงเลเซอร์กำลังสูงเกิดการหมุนวนเป็นเกลียวแล้ว เกลียวแสงเลเซอร์นี้จะสามารถดึงกาลอวกาศให้หมุนวนเป็นเกลียวตามไปด้วย และถ้ามีอนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้า (เช่น อนุภาคนิวตรอน) วางตัวอยู่ภายในบริเวณที่ถูกห้อมล้อมด้วยเกลียวแสงแล้ว เวลาของอนุภาคนี้จะถูกหมุนวนให้ย้อนกลับไปยังอดีตของมัน มาลเล็ตต์เปรียบเทียบแนวคิดนี้กับการหมุนวนของเมล็ดกาแฟในแก้วกาแฟ โดยช้อนคนกาแฟแทนเกลียวแสงเลเซอร์ กาแฟภายในแก้วแทนกาลอวกาศ และเมล็ดกาแฟแทนอนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟ้า การหมุนวนของเมล็ดกาแฟในแก้วกาแฟแทนการหมุนวนของเวลา
แนวคิดการย้อนเวลาโดยใช้ลำแสงเลเซอร์ของมาลเล็ตต์
เครื่องย้อนเวลาของมาลเล็ตต์นี้ไม่สามารถส่งคนไปยังอดีตเหมือนอย่างในหนังฮอลลีวูดได้ แต่สามารถใช้ส่งข้อความหรือข้อมูลสำคัญไปยังอดีตได้ เราอาจจะมองว่ามันเป็นเหมือนเครื่องโทรศัพท์ย้อนเวลาที่ใช้โทรคุยกับผู้คนในอดีต อีกข้อจำกัดหนึ่งเกี่ยวกับการใช้งานคือ ข้อความที่ถูกส่งกลับไปยังอดีตจะไปไกลสุดได้แค่ตอนที่เครื่องนี้ถูกเปิดเป็นครั้งแรก ข้อความจะไปไม่ถึงตอนที่ยังไม่มีเครื่องนี้ ดังนั้นลูกหลานของเราจะสามารถส่งข้อความมาถึงเราได้ แต่เราจะไม่สามารถส่งข้อความถึงบรรพบุรุษของเราได้
มาลเล็ตต์สร้างตัวต้นแบบเครื่องย้อนเวลา
ตัวต้นแบบเครื่องย้อนเวลาของมาลเล็ตต์เมื่อมองจากด้านบนและจากด้านข้าง
เกลียวแสงเลเซอร์ทำขึ้นมาจากลูปสี่เหลี่ยมของลำแสงเลเซอร์ที่วางซ้อนกันหลายชั้น ลูปสี่เหลี่ยมของลำแสงเลเซอร์นี้เกิดขึ้นจากการสะท้อนของแสงเลเซอร์บนกระจกเงาที่วางอยู่ตรงหัวมุมทั้งสี่ของสี่เหลี่ยม อนุภาคนิวตรอนจะถูกกักไว้ภายในหลอดแก้ว อุปกรณ์นี้ต้องใช้สารหล่อเย็นเพื่อลดการรบกวนจากอุณหภูมิ
แต่จนถึงปัจจุบัน มาลเล็ตต์ก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานทางการทดลองเพื่อยืนยันทฤษฏีการย้อนเวลาด้วยลำแสงเลเซอร์ของเขาได้ นักฟิสิกส์ชื่อดังอย่าง มิชิโอะ คะกุ (Michio Kaku) วิจารณ์ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่เครื่องย้อนเวลานี้จะทำงานได้จริง เพราะต้องใช้เลเซอร์พลังงานระดับหลุมดำจึงจะสามารถบิดเบี้ยวกาลอวกาศได้จริง
มาลเลตต์ไม่ใช่คนเดียวที่เชื่อว่ามนุษย์จะสามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาได้ในสักวัน สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชื่อดังผู้ล่วงลับไปแล้ว เคยเชื่อมั่นว่ามนุษย์ในอนาคตสร้างเครื่องย้อนเวลาได้สำเร็จ พวกเขาเดินทางย้อนเวลากลับมาอยู่ปะปนกับพวกเราโดยที่พวกเราไม่รู้ตัว ในปี 2009 เขาเคยทำการทดลองง่ายๆ เพื่อพิสูจน์ว่ามีมนุษย์จากอนาคตเดินทางมาเยือนอดีตหรือไม่ วิธีการของฮอว์กิงคือ การจัดปาร์ตี้ลับ ฮอว์กิงจัดปาร์ตี้สำหรับนักเดินทางข้ามเวลาโดยไม่ประกาศคำเชิญใดๆ คำเชิญจะถูกประกาศจนกระทั่งเวลางานมาถึง ฮอว์กิงอธิบายว่าถ้ามีนักเดินทางข้ามเวลาจริงๆ พวกเขาจะต้องปรากฏตัวขึ้นในงานเพราะว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าจะมีงานปาร์ตี้ ฮอว์กิงบอกว่าเขานั่งรออยู่ตรงนั้นนานมาก แต่ก็ไม่มีใครมา เขาพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าการเดินทางข้ามเวลาไม่มีอยู่จริง
ป้ายต้อนรับนักเดินทางข้ามเวลาในปาร์ตี้ของฮอว์กิง
โฆษณา