21 พ.ค. 2020 เวลา 14:33
ถอดบทเรียนชีวิตที่วิกฤตโควิดสอนเรา
พอดแคสต์ "ที่นี่มีเรื่องเล่า" ขอส่งท้ายซีซั่นแรกนี้ ด้วยการชักชวนแขกรับเชิญคนพิเศษทั้ง 4 คนมาร่วมแบ่งปันมุมมอง แง่คิดที่ได้จากวิกฤตโควิดครั้งนี้
โควิดทำให้ฉันเปลี่ยนไป (ในทางที่ดีขึ้น)
จริงอยู่ที่วิกฤตโควิดทำให้ใครหลายคนได้รับผลกระทบเชิงลบทั้งในเรื่องงาน รายได้ การใช้ชีวิตภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ แต่จะว่าไปมันก็ยังมีข้อดีหลายๆ ด้านที่ควรค่าต่อการพูดถึง ก็เพราะข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปที่ทำงานได้ ต้องอยู่ติดบ้านเพราะการประกาศ Lockdown ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนที่เคยเป็นมา เราจึงใช้ความพยายามมากมายเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากความไม่ได้ดั่งใจ และนี่คือ 10 เรื่องเด่นที่ผมขอนำมาแชร์ให้ฟังจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เมื่อหัวใจติดปีกบินคืนสู่รัง (Spend more time at home)
เราต่างแสวงหาความสุขนอกบ้านจนเคยชิน นอกเวลาทำงานก็ยังออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ช่วงวันหยุดนัดแฟนไปกินข้าวนอกบ้าน ถ้าเป็นช่วงลาพักร้อนเราคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ที่ไม่ใช่บ้านและที่ทำงาน เมื่อบ้านกลายเป็นแค่ที่ซุกหัวนอน เราจึงอาจหลงระเริงว่าการใช้ชีวิตนอกบ้านคืออิสระ เมื่ออิสรภาพถูกยึดไป บ้านกลายเป็นทั้งที่ทำงาน ที่พักผ่อน ที่ทานข้าว ที่ออกกำลังกาย และเป็น 7-11 ที่ต้องอยู่ให้ได้ใน 24 ชั่วโมง วันแรกๆ มันก็รู้สึกอึดอัดหน่อย แต่พอนานไป มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และอยู่กับที่เรารักและเขารักเรามากขึ้น ถ้าไม่นับโมเมนต์ที่ปรี๊ดใส่กัน มันก็จัดว่าเรื่องที่ดีอยู่นะ
ปาฏิหาริย์ที่ไม่ต้องรอคอยอีกต่อไป (Reunited by Coincidence)
เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราจะเห็นคุณค่าของคนที่เราคบหามากยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นมันทำให้เรานึกขึ้นได้ว่าเราอาจหลงลืมใครบางคนไประหว่างทาง 20 กว่าปีมาแล้วก่อนที่จะมี Facebook และ IG ผมติดต่อหาเพื่อนที่เรียนด้วยตอนอยู่ต่างประเทศผ่านทางอีเมล พอเริ่มห่างกันไปนานก็คุยกันน้อยลง จนต่างคนต่างแต่งงานมีครอบครัวมีลูกกันไปหมดแล้ว และด้วยวิกฤตโควิดนี้ทำให้เราคิดหาหนทางในการรวมทุกคนกลับมาผ่าน Zoom Meeting น้ำตาแทบไหลเมื่อเห็นทุกคนกลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง แม้จะมองได้แค่ผ่านจอคอมพ์เท่านั้น
เหตุผลของการมีชีวิตอยู่อย่างไม่อยากมากจนเกินไป (Reasons for being minimal)
เมื่อมีเวลาอยู่กับตัวเองนานวัน มันทำให้เกิดคำถามเดิมขึ้นซ้ำๆ ว่าพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาทำอะไร ถ้าไม่มีเป้าหมายอยู่ในหัว เป็นไปได้มากที่เราจะกลายเป็นคนเฉื่อยชาและซึมเศร้าในสักวัน โชคดีที่เป็นคนที่ชอบเขียนเป้า และมี task-list ประจำสัปดาห์ เลยทำให้ทุกวันมันมีเหตุผลที่จะต้องตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพื่อทำอะไรสักอย่าง เวลาผ่านไปแต่ละสัปดาห์ด้วยความภาคภูมิใจว่าฉันทำอะไรไปได้ตั้งมากมายจากการได้อยู่บ้านเฉยๆ
ออกเดินทางค้นหาศักยภาพที่ซ่อนเร้น (Explore your true Potential)
แน่นอนครับมันก็ต้องมีโมเมนต์ที่น่าเบื่อหน่ายบ้าง แต่ทำไงได้ล่ะ ก็ออกไปไหนไม่ได้นี่ ผมเห็นผู้คนมากมายใช้สมองซีกขวาสั่งการให้ตัวเองลุกขึ้นมาทำอะไรที่อยู่นอกเหนือ comfort zone ของตัวเอง เช่นลุกขึ้นมาปลูกพืชผักสวนครัว เปิดตำราบน youtube เพื่อทำเมนูอาหารจานเด็ด อย่างผมก็ใช้เวลาช่วงนี้ฝึกถ่ายรูป รีวิวอาหาร ทำ podcast ประกอบกับการฝึกร้องเพลงไปพลางๆ เพลิดเพลินดีออก
เสริมสมรรถภาพทางการกีฬา(ในร่ม) (Exercise Anyhow)
หนึ่งในกิจกรรมที่ผมคิดถึงมากที่สุดคือการออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ในวันที่สวนสาธารณะและสนามกีฬาและฟิตเนสทุกแห่งปิด คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำจะเข้าใจดีว่ามันเหมือนใจจะขาด แต่ในเมื่อออกไปวิ่งข้างนอกไม่ได้ ก็วิ่งลู่แทน หรือไม่ก็กระโดดเชือก วิดพื้น planking เล่นฮูล่าฮูป ปิงปองแทน ผมเชื่อว่าหลายคนคิดค้นกีฬาในร่มแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาได้เพียบเลย
สร้างเสริมลักษณะนิสัยด้วย 5 ส (Cleanup your Mess)
การจัดเก็บบ้านนี่เป็นอะไรที่ท้อแท้มาก นึกถึงทีไรก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ยามนี้เป็นช่วงเวลาอันดีที่จะลุกขึ้นมาจัดการ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และสร้างนิสัย ไปพร้อมๆ กัน นอกจากได้บ้านใหม่ที่สะอาดน่าอยู่กลับมาแล้ว ยังถือเป็นปลูกนิสัยที่ดีกับการจัดวางข้าวของให้อยู่เป็นที่เป็นทางอีกด้วย
จุดไฟสร้างวินัยในตัว (From Routine to Discipline)
ในช่วงที่หลายคนทำงานอยู่กับบ้าน บ้างก็บอกว่าเหมือนงานจะเยอะขึ้นเพราะว่าต้องประชุมกันอยู่ตลอดเวลา แต่กับบางคนเหมือนทำให้กลายเป็นคนที่มีวินัยมากยิ่งขึ้น ต้องคอยจัดสรรเวลาให้พอเหมาะ ทำงานเสร็จให้ทัน เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระกับผู้อื่น
โบกมือลาให้กับของที่ไม่จำเป็นต้องมี (Say Goodbye to Luxury)
นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นเป็นมั้ย แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ค่าใช้จ่ายส่วนตัวในช่วงที่กักตัวอยู่กับบ้านลดลงไปมหาศาล ค่าน้ำมันรถนี่ลดหายไปฮวบๆ เลย ค่าบัตรเครดิตนี่ถือว่าทำ New Low ในรอบ 20-30 ปีเลยนะ นอกจากของกินและของจำเป็นที่ต้องใช้จริงๆ มันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการช้อปปิ้งเอาซะเลย
เสพสื่ออย่างมีสติ (You are what you eat)
ในขณะที่คนอยู่ติดบ้าน หนึ่งในพฤติกรรมที่เราเห็นก็คือคนเสพสื่อมากกว่าปกติ เพราะช่องทางออนไลน์แทบจะเป็นช่องทางหลักช่องทางเดียวในการรับรู้ข่าวสารจากผู้คนรอบข้าง มันจะมีคน 2 จำพวกครับ พวกที่ชอบสร้างคอนเทนต์ มันทำให้เราเห็นว่าคนในยุคนี้ต้องมาสร้างตัวตนให้เป็นที่รู้จักจริงๆ ครับ เช่นการเล่น Tiktok หรือแม้กระทั่งคนที่ชอบ forward ข่าวปลอมออกมาเป็นระยะๆ และอีกพวกคือคนเสพสื่อจนขาดสติ กลายเป็นคนขี้ระแวงหวาดกลัวเพราะติดตามสถิติการแพร่เชื้อและอัตราการตายอย่างใกล้ชิด หรือไม่ก็กลายเป็นคนที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนน่าจะปลอม
ธรรมชาติกำลังปรับสมดุล (Nature Power is Supreme)
ผมแอบมีความคิดเล่นๆ ด้วยการตั้งสมมติฐานว่านี่อาจเป็นหนึ่งในวิธีที่ธรรมชาติกำลังจัดสรรความสมดุลให้แก่โลก ที่ผ่านมามนุษย์ได้เบียดเบียนธรรมชาติเพื่อแลกกับความก้าวล้ำในด้านเทคโนโลยีและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ วิกฤตนี้เหมือนเป็นบทลงโทษเพื่อให้มนุษย์ชะลอการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร้ขีดจำกัด
ถ้าทุกคนได้ให้เวลาในการทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนนี้ บางทีเราอาจได้ค้นพบคำตอบอะไรบางอย่างที่มันจีรังยั่งยืนกว่าการใช้ชีวิตตามกระแสสังคมเหมือนที่ผ่านมา เราไม่มีทางรู้ได้ว่าวิกฤตนี้จะหยุดลงเมื่อไหร่ ต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าที่เราจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ แต่ผมเชื่อว่าสถานการณ์มันคงดีขึ้นสักวัน และก็เชื่อด้วยเช่นกันว่าวิกฤตครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
โฆษณา