23 พ.ค. 2020 เวลา 15:03 • การศึกษา
ภูตป่าแฟรี่ มีตัวตนอยู่บนโลก ??
ในอดีตเมื่อปี 1800/1900 ได้มีการบันทึกยืนยันกันอย่างชัดเจนว่า เคยมีการค้นพบแฟรี่หรือภูตป่ามาแล้ว และมีการยืนยันอย่างเป็นทางการ
เวลาเราพูดถึงตำนานภูตป่า ภูตจิ๋วหรือตัวแฟรี่ เชื่อว่าหลายๆคนคงจะจำภาพในรูปแบบของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ 100% แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีขนาดตัวที่เล็กกว่ามนุษย์หลายสิบเท่ามาก มีหูที่แหลมคล้ายกับเผ่าเอลฟ์ ที่สำคัญคือมีปีกคล้ายกับผีเสื้อหรือแมลง และสามารถบินได้อย่างรวดเร็ว จนในตำนานว่ากันว่าคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะรู้จักภูตป่าหรือแฟรี่กันประมาณนี้ แต่ถามว่าในตำนานแฟรี่เป็นแบบที่เรารู้แบบนั้น 100% เลยหรือเปล่า ถ้าเอาตามข้อมูลที่หามา มันถูกต้อง แต่ไม่ได้ถูกต้อง 100%
1
ตำนานแฟรี่เป็นตำนานที่มีอยู่ทั่วโลก ในรูปแบบของภูตขนาดเล็ก หรือผีพลายที่อาศัยอยู่ในป่า วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในป่า ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่ตำนานภูตป่าหรือแฟรี่เหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบของมนุษย์ตัวจิ๋ว และจะถูกพบเห็นหรือถูกค้นเจอในพื้นที่ป่าลึก หรือบนภูเขาอย่างเดียวเท่านั้น
1
ถ้ายกตัวอย่างชื่อที่เราคุ้นหูกัน หรือชื่อในตำนาน ได้ค้นเจอมาประมาณ 3-4 ชื่อ คือ Fer Sidhe,Pixy,Fairy โดยชื่อทั้งหมดเป็นชื่อของภูตป่าหรือภูตขนาดจิ๋วทั้งหมดเลย ซึ่งลักษณะของทั้งสามตัวนี้ไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ข้อแตกต่างของสามตัวนี้มีอยู่เล็กน้อยคือ Fer Sidhe และ Fairy จะมีลักษณะนิสัยสนุกสนาน ร่าเริง และเป็นมิตรต่อมนุษย์ ว่ากันว่ามีพลังพิเศษที่สามารถทำให้ผลไม้ในป่าเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และถ้าผู้ใดที่มีอาการอ่อนล้า ปวดเมื่อย หรือมีอาการป่วยอยู่ ได้กินผลไม้ที่เหล่าแฟรี่ทำให้เจริญเติบโตขึ้นมานั้น ก็จะทำให้อาการปวดเมื่อยเหล่านั้นหายไปอย่างปลิดทิ้ง ส่วน Pixy จะมีพลังที่แตกต่างกันออกไปอยู่ 1 อย่างคือ ถ้าใครทำให้ Pixy โกรธหรือทำให้ไม่พอใจ ก็จะเสกให้คนเหล่านั้นเจอแต่เรื่องร้ายๆ
2
ว่ากันว่าเคยมีคนไปเจอกับ Pixy และก่อกวนทำให้ Pixy ไม่พอใจ จึงได้สาปมนต์ใส่คนๆนั้น ขณะที่มนุษย์คนนั้นเดินทางกลับ เขาได้พลัดตกเขาและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
1
ซึ่งตำนานภูตจิ๋วหรือภูตป่า ในประเทศไทยเราก็มีตำนานเหล่านั้นเหมือนกัน โดยในประเทศไทยเราจะเรียกตำนานภูตป่าหรือภูตจิ๋วเหล่านั้นว่า "มักกะลีผล" จากข้อมูลที่ไปหามาและสรุปมาได้ เรื่องรูปลักษณ์หรือลักษณะต่างๆ และความเป็นมา อาจจะไม่ได้เหมือนภูตป่าแฟรี่ แต่มักกะลีผลถูกมองว่าเป็นวิญญาณ เป็นภูตที่อาศัยอยู่ในป่าเหมือนกับแฟรี่
และจากข้อมูลที่ไปหามาตรงนี้เขาก็ยังบอกอีกว่า คนในยุโรปส่วนใหญ่เชื่อว่าตำนานแฟรี่นี้มีอยู่จริง ซึ่งในตามความเชื่อของพวกเขา ได้บอกว่าตามป่าที่พวกเขาอาศัยอยู่หรือไปเที่ยวกัน จะมีนางฟ้าอาศัยอยู่เพื่อรักษาผืนป่าเหล่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเห็นพวกเธอได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้เลย จะมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ภูตเหล่านั้นจะออกมาให้เห็น โดยภูตป่าหรือแฟรี่เขาบอกว่า คนๆนั้นเป็นคนที่ดีและเป็นคนที่มีจิตใจสะอาด เลยเผยตัวออกมาให้เห็นเพื่อที่จะมาเล่นสนุกและให้พรกับคนๆนั้นนั่นเอง และนี่เป็นความเชื่อที่คนยุโรปส่วนใหญ่เชื่อกัน และเชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะตั้งคำถามว่า ทำไมคนในปัจจุบันถึงไม่มีการมองเห็นภูตป่าหรือแฟรี่เลย ทั้งๆที่มีคนไปบุกป่าหรือไปเที่ยว แต่ในปัจจุบันมีการเห็นน้อยมาก หรือแทบไม่มีการเห็นเลย
6
ถ้ามองตามความเชื่อและตามข้อมูลที่หามาได้ ส่วนใหญ่เขาเชื่อกันว่า ภูตป่าเหล่านี้จะมีคล้ายๆกับอีกหนึ่งมิติที่เขาอาศัยอยู่ โดยมิตินั้นจะเป็นมิติเอกเทศ แยกออกมาจากโลกเรา ซึ่งในมิตินั้นว่ากันว่า 1 นาทีบนโลกเราอาจจะเทียบเท่ากับ 10 ปีหรือ 100 ปีในมิตินั้นเลยก็ว่าได้ ซึ่งตรงนี้ถ้าลองฟังดูดีๆแล้วมันคล้ายกับตำนานอะไรสักอย่างหนึ่งของไทยเราหรือเปล่า คิดดูดีๆแล้วมันคล้ายกับตำนานเมืองลับแลในประเทศไทยเรา
1
เพราะเมืองลับแลเขาว่ากันว่า 1 นาทีในมิติของเมืองลับแลคือ 10 ปีในโลกมนุษย์ปัจจุบัน และข้อมูลที่ไปเจาะลึกมายังไม่ได้จบแต่เพียงเท่านั้น แต่เมื่อลองเจาะลึกข้อมูลลงไปเรื่อยๆปรากฏว่า เรื่องของแฟรี่ ในอดีตเคยมีการค้นพบและมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และมีภาพยืนยันอย่างเป็นทางการมาแล้ว โดยข้อมูลเหล่านี้ต้องขออธิบายก่อนว่าเรื่องของภูติผี เรื่องของปีศาจ หรือพูดจิ๋วตำนานต่างๆในอดีตจะมีแต่เรื่องเล่า มีแต่คำบอกต่อที่ไม่ได้มีหลักฐานหรือลายลักษณ์อักษรชัดเจน แต่สำหรับเรื่องของแฟรี่ได้มีการพูดถึงและมีการบันทึกภาพไว้ได้โดยข้อมูลตรงนี้ได้บันทึกและบอกไว้ว่าเมื่อประมาณปี 1917 ได้มีเด็กผู้หญิง 2 คนที่มีชื่อว่า Elsie Wright และ Frances Griffiths ทั้งคู่ได้ถ่ายรูปติดสิ่งมีชีวิตประหลาดได้โดยสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้นมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ แต่มีลักษณะตัวที่เล็กกว่ามนุษย์หลายเท่า และมีปีกคล้ายกับผีเสื้อลอยอยู่บริเวณรอบๆตัวเธอ ซึ่งภาพนี้ได้ถูกบันทึกไว้ ตามข้อมูลคือเป็นพื้นที่บริเวณหุบเขา Cottingley ในประเทศอังกฤษ ซึ่งภาพที่ถ่ายได้คือภาพจากกล้องของพ่อพวกเธอ และพวกเธอยังบอกอีกว่าเขาได้ไปเจอกับแฟรี่ตัวเป็นๆมาและได้ไปเล่นกับแฟรี่เหล่านั้นพร้อมกับยืนยันอีกว่าแฟรี่เหล่านั้นคือเพื่อนของพวกเธอ
ซึ่งในตอนแรกพ่อของเด็กทั้งสองก็คิดว่าเป็นเรื่องเล่น เป็นเรื่องของการหยอกล้อ คิดว่าเป็นภาพที่แต่งขึ้นมาและก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ในเวลาอีก 2 เดือนต่อมาพวกเธอทั้งสองก็ได้ถ่ายภาพกับภูตอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้แปลกกว่าครั้งที่แล้วคือภูตที่พวกเธอเจอไม่ใช่พูดแฟรี่แต่พวกเขาเจอภูตในรูปแบบของ Gnome (โนม) ในที่นี้ก็คือ คล้ายกับคนแคระที่ตัวเล็กมากๆมีส่วนสูงราวประมาณ 50 ถึง 80 cm เท่านั้น พูดเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในบริเวณต้นไม้หรือรากต้นไม้ และจะออกมาหากินหรือหาอาหารในช่วงเวลากลางคืนที่ไม่มีมนุษย์มาพบเจอพวกเขานั่นเอง ซึ่งการถ่ายภาพติดภูต ครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะว่า พ่อของพวกเธอได้นำภาพของภูต Gnome ตัวนี้ไปส่งให้กับ Sir Arthur Conan Doyle ที่เป็นผู้แต่งเรื่อง Sherlock Holmes เพราะพ่อของพวกเธอต้องการให้ Sir Conan Doyle พิสูจน์ภาพเหล่านี้ว่าเป็นภาพจริงหรือเปล่าหรือเป็นภาพที่เกิดขึ้นมาจากการแต่งภาพ การซ้อนภาพ และการอัดภาพออกมา ปรากฏว่าผลที่ออกมาจากการวิจัยของ Sir Conan Doyle นั่นก็คือรูปนี้เป็นรูปจริงไม่มีการซ้อนภาพ หรือการตัดแต่งภาพแต่อย่างใด เลยเป็นเรื่องที่ทำให้โลกจับตามองเพราะ Sir Conan Doyle ได้ป่าวประกาศและกระจายข่าวไปทั่วว่ามีเด็กผู้หญิง 2 คนพบภูตป่า ในบริเวณเทือกเขา Cottingley และได้มีการนำรูปถ่ายนั้นไปลงในนิตยสารของเขาพร้อมกับยืนยันลายเซ็นจาก Sir Arthur Conan Doyle ว่ารูปนี้เป็นรูปจริงไม่ได้มีการตัดต่อ แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อและคนที่ไม่เชื่อ สำหรับคนที่ไม่เชื่อเขาก็ได้ไปหาท่าน Sir Conan Doyle และบอกว่าเขาต้องการภาพอื่นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเด็กเหล่านั้นพูดความจริงไม่ได้โกหกและไม่ได้แต่งภาพขึ้นมา Sir Conan Doyle จึงได้บอกให้เด็กสองคนนั้นไปถ่ายรูปกับแฟรี่เพิ่มขึ้นมา ปรากฏว่า Elsie และ Frances ก็ได้ไปถ่ายรูปกับแฟรี่เพิ่มมาอีก 3 รูปซึ่งทั้ง 3 รูปล่าสุดที่ได้ถ่ายมาเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนาหูและเป็นระยะเวลานานมาก ว่าสรุปภาพนี้เป็นภาพจริงหรือภาพแต่ง แต่สุดท้ายแล้ว Sir Conan Doyle ก็ได้ออกมาป่าวประกาศว่ารูปใหม่ทั้ง 3 รูปที่ถูกถ่ายได้กับภูตเป็นรูปจริงไม่ได้มีการแต่งแน่นอน และในเวลาต่อมาในช่วงที่เป็นกระแสภาพถ่ายติดคู่กับแฟรี่กำลังโด่งดังคนจำนวนมากก็แห่กันไปที่ภูเขา Cottingley และได้พิสูจน์ความจริงว่าแฟรี่นั้นมีอยู่จริงหรือเปล่าแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพบเห็นกับแฟรี่เหล่านั้นเลยแต่ Sir Conan Doyle ก็ยังยืนยันอย่างหนักแน่นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตว่าแฟรี่นั้นไม่ใช่เทพ ไม่ใช่ตำนาน แต่เป็นอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่มีตัวตนจริงอยู่บนโลก
และข้อมูลตรงนี้ตอนที่ไปหามาค่อนข้างมั่นใจเลยว่าแฟรี่มีอยู่จริงแน่นอน แต่ข้อมูลต่อไปที่ได้มาเขากลับบอกว่าในวันที่ 24 พฤษภาคมปี 1965 Elsie คนที่ถ่ายรูปติดพวกแฟรี่ เขาก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่าแฟรี่เหล่านั้นเป็นภาพที่เขาปลอมขึ้นมาเกือบทั้งหมดเลย แต่การปลอมขึ้นมาครั้งนั้นไม่ได้มีการตัดต่อ ไม่ได้มีการซ้อนภาพ แต่เป็นการนำกระดาษแข็งมาวาดรูปและระบายสีให้มีลักษณะคล้ายกับภูตแฟรี่ หลังจากนั้นก็นำไปติดไว้กับต้นไม้และถ่ายรูปเพื่อความสนุกสนานแค่นั้น แต่ตรงนี้ Elsie ยืนยัน 1 อย่างว่ามีเพียง 1 รูปเท่านั้นที่ไม่ได้ Make ขึ้นมา ไม่ได้แต่งขึ้นมา แต่เขาถ่ายติดแฟรี่ และ Elsie กับ Francis นั้นได้ไปเจอกับแฟรี่มาจริงๆ
เมื่อข่าวได้แพร่กระจายออกไปคนก็เริ่มหมดความเชื่อในตัวของภูตแฟรี่กันไปพอสมควร แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ยังเชื่อว่าแฟรี่มีอยู่จริง เพราะคนเหล่านั้นได้อ้างว่าเขาได้ไปเจอกับพวกแฟรี่มา แต่ภูตที่เขาพูดถึงกันตรงนี้ เขาไม่ได้เจอในรูปแบบของนางฟ้าแบบที่เอลซี่เจอ แต่เขาเจอในรูปแบบของมนุษย์ต่างดาวและเขาบอกว่าแฟรี่จริงๆแล้วอาจจะเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกในอดีตก็เป็นได้ และนี่ก็คือข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตำนานภูตแฟรี่ที่รวบรวมมาได้
โฆษณา