25 พ.ค. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #ชัยชนะที่ล้มเหลว ]
หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามนำเอซี มิลานผงาดแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 4 สมัยและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกสมัยในเวลาเพียงแค่ 5 ปี ชื่อของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็ติดตลาดทันที
ลอเรนโซ่ ซานซ์ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด ลงทุนบินมาถึงอิตาลีเพื่อทาบทามให้ไปนั่งตำแหน่งกุนซือ
ข้อเสนอที่น่าสนใจ บวกกับโปรเจคต์ใหญ่ในอนาคตทำให้ คาเปลโล่ ยอมสละเก้าอี้ที่มิลาน เปลี่ยนมาเผชิญความท้าทายในสเปนบ้าง
จุดแข็งของ คาเปลโล่ คือละเอียดทุกระเบียดนิ้วในเรื่องแท็คติก ช่างคิดช่างค้นหา รวมถึงมีความมั่นใจเต็มร้อย
แต่อะไรที่มากเกินไป มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอ
คาเปลโล่ มาถึงซานติอาโก้ เบร์นาเบว พร้อมลงมือผ่าตัดใหญ่ด้วยตัวเอง ปะผุโมดิฟายแทบจะยกเครื่องเรื่องวิธีการเล่นทั้งหมด
เขาบอกกับ ซานซ์ ว่าต้องการทำทีมในแบบที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งได้รับไฟเขียวอย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าไว้ว่ามาดริดต้องกลับมาเขย่าบัลลังก์ยุโรปให้ได้ เพราะหนล่าสุดต้องกลับไปยังปี 1966 นานถึง 30 ปีเต็มแล้ว
คาเปลโล่ ทำอย่างที่พูดไว้ เริ่มจากเปลี่ยนฟอร์เมชั่นหรือสูตรการเล่น มาใช้กองหน้าลงพร้อมกันถึง 3 คน ดาวอร์ ซูเคอร์ , เปแดร็ก มิยาโตวิช และ ราอูล กอนซาเลซ
นอกจากนี้ยังเน้นการใช้บอลยาวมากกว่าเดิม ในแดนหลังจะมี เฟร์นานโด เอียร์โร่ เป็นศูนย์กลางทิ้งบอลมาให้พวกแนวรุก ส่วนตัวริมเส้นยึด โรแบร์โต้ คาร์ลอส ที่ได้รับคำสั่งให้เติมเต็มสูบ ครอสเข้าไปให้หนัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากองเชียร์ส่วนใหญ่จะหงุดหงิดกับแนวทางที่เปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกว่ามันทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ ฟุตบอลของมาดริดต้องสวยงามและเอนเตอร์เทน
คาเปลโล่ เข็นมาดริดเข้าวินลาลีกาสำเร็จทันทีในฤดูกาล 1996/97 เฉือนบาร์เซโลน่าอย่างระทึกแค่ 2 แต้ม
อย่างไรก็ตามแฟนบอลกลับไม่พอใจ นอกเหนือจากสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนโฉมสิ้นเชิงแล้ว ยังจับ ราอูล แข้งขวัญใจไปเล่นทางฝั่งซ้ายด้วย ทั้งที่ควรจะศูนย์กลางในแนวรุก
นอกจากนี้ยังยัดแย้งกับ ซานซ์ อีกด้วย ดังนั้นจึงอยู่ได้แค่ปีเดียว ก่อนแพ็กกระเป๋ากลับมิลานตามเดิม
ว่ากันในซีซั่นถัดมา จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ซึ่งมารับไม้ต่อ ใช้มรดกตกทอดจาก คาเปลโล่ นี้แหล่ะ สามารถนำมาดริดทะยานสู่เจ้ายุโรปได้สำเร็จ ยุติการรอคอยอันยาวนาน 32 ปี
ไม่มีใครคาดคิดว่า 9 ปีถัดมา คาเปลโล่ จะหวนคืนสู่อ้อมกอดของราชันชุดขาวอีกครั้ง
และอ้อมกอดนี้ก็ไม่ได้อบอุ่นไปกว่าเดิมเลย
"ดอน คาเปลโล่" นี่คือสมญาที่สื่อสเปนตั้งให้กับ คาเปลโล่ เพราะมาดที่สะท้อนความเป็นเจ้าพ่อ อีกทั้งผ่านความสำเร็จในบทบาทกุนซือมากมาย
1
ช่วงดังกล่าวมาดริดร้างความสำเร็จมายาวนาน ในฤดูร้อน 2006 จึงแต่งตั้ง คาเปลโล่ มากู้วิกฤตที่อาจบานปลายได้ถ้าไม่ปรับเปลี่ยน
ครั้งสุดท้ายที่ครองแชมป์ลีกคือปี 2003 ส่วนยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกปี 2002 และโกปา เดล เรย์ต้องถอยหลับไปไกลถึงปี 1993 โน่นเลยทีเดียว
การให้สัมภาษณ์ครั้งแรกในการกลับมารอบสองของ คาเปลโล่ สร้างความเกรียวกราวได้ไม่น้อย
เขายืนยันเจตนาเดิมนั่นคือเน้นที่ผลลัพธ์มากกว่าสไตล์การเล่น ในเมื่อคุณอยากได้โทรฟี่อย่าตั้งคำถามให้มากถึงวิธีการที่ได้มา
คาเปลโล่ ยังเหมือนเดิมใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือเต็มที่ เพื่อจัดการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการ
เดวิด เบ็คแฮม โดนดร็อปเพราะความขัดแข้งส่วนตัว โรนัลโด้ ดาวถล่มประตูบราซิเลี่ยนก็โดนแช่แข็งที่ข้างสนาม จากเหตุผลน้ำหนักตัวมากเกินไป สภาพความฟิตไม่เพียงพอ
อันโตนิโอ คาสซาโน่ เป็นอีกคนที่ต้องรับเคราะห์ไปด้วย ข้อหาแค้นส่วนตัวมาเมื่อตอนอยู่โรม่าด้วยกัน
การตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง แบบไม่แคร์ประธานสโมสร ไม่สนใจความรู้สึกแฟนบอล ทำให้ภาพในอดีตของ คาเปลโล่ ลอยขึ้นมาอีกครั้ง
มีนาคม 2007 ข่าวลือโหมแรงว่า คาเปลโล่ อาจโดนเชือดก่อนจบซีซั่น แต่สุดท้ายก็รอดมาได้และหันกลับมาเรียกใช้ เบ็คแฮม จนฝ่าวิกฤตสู่แชมป์ลาลีกาได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม คาเปลโล่ โดนไล่ออก บอร์ดอ้างส่วนหนึ่งมาจากผลงานไม่ตามเป้า แต่ความจริงเกิดจากแรงกระเพื่อมในห้องแต่งตัว แข้งดาวดังหลายคนไม่มีความสุขภายใต้คอนโทรลของเจ้านายคนนี้
ภายหลังจากแยกย้ายกันเรียบร้อย คาเปลโล่ ย้อนอดีตให้ฟัง ด้วยการวิจารณ์ โรนัลโด้ ออกสื่อ
ครั้งแรกเมื่อ 5 ปีก่อน ยืนยันว่าการทำงานร่วมกับ โรนัลโด้ เต็มไปด้วยขวากหนามยากลำบากที่สุดแล้ว
ตอนเขามาคุมมาดริดใหม่ๆ โรนัลโด้ ยังบาดเจ็บอยู่ กระทั่งค่อยๆฟื้นตัวช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่น้ำหนักกลับพุ่งถึง 96 กิโลกรัม ซึ่งเกินเรตปกติอยู่มาก
"บอกตามตรงหุ่นเขาเหมือนนักมวยเฮฟวี่เวท เลยถามไปว่าตอนคว้าแชมป์โลกกับบราซิลน้ำหนักเท่าไร เขาบอก 84 ผมเลยตอบว่าต้องลดเหลืออย่างน้อย 88"
"แต่มันเลวร้ายมาก แทนที่เขาจะตั้งใจดูแลตัวเอง รีดน้ำหนักลงมาตามเกณฑ์ แต่เปล่าเลย เขายังคงสนุกกับการใช้ชีวิตกินเที่ยวตามปกติ ลดมาได้แค่ 2 โลเหลือ 94 เท่านั้น"
"ผมยังกล้าส่งเขาลงเล่นคู่กับ รุด ฟาน นิสเตลรอยนะ แต่ปรากฏว่าแพ้รวดเลย 3 เกมติดต่อกัน"
"ใครว่ารับมือกับ คาสซาโน่ ยากสุดแล้ว บอกเลยว่าผิดถนัด โรนัลโด้ ต่างหากที่จะทำให้คุณเหนื่อย"
เมื่อไม่กี่วันก่อน คาเปลโล่ ออกมาเปิดเผยเหตุการณ์ช่วงคุมมาดริดรอบสองอีกครั้ง
"มีอยู่วันหนึ่ง รุด ฟาน นิสเตลรอย เดินมาฟ้องผมว่า ในห้องแต่งตัวมีกลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งเต็มไปหมด"
1
"แล้วนักเตะที่ชอบปาร์ตี้และชอบสร้างปัญหามีอยู่ไม่กี่คนหรอก โรนัลโด้ เองก็อยู่ในกลุ่มนั้น
แม้จะไม่ได้ระบุชื่อโดยตรงว่าใครคือต้นตอของกลิ่นเหล้า แต่เมื่อพาดพิงถึงดาวยิงแซมบ้า เราก็พอจะเดาได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตามคล้อยหลังเพียงแค่วันเดียว รุด ต้องออกมาแก้ต่างว่า บรรยากาศในห้องแต่งตัวของมาดริดช่วงนั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก เต็มไปด้วยสปิริตและทุกคนมีความเป็นมืออาชีพ
รุด ไม่ได้ปฏิเสธหรือรับว่าพูดประโยคนั้น แต่พยายามสื่อว่าสิ่งที่ คาเปลโล่ เล่าไม่น่าจะใช่ความจริง
ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจำเป็นต้องออกมาปกป้องตัวเองด้วย ไม่อย่างนั้นอาจเกิดความบาดหมางกับ โรนัลโด้ ได้ง่ายๆ
แต่ คาเปลโล่ ล้ำลึกไม่ใช่ย่อยที่ดึง รุด มาอยู่ในเหตุการณ์ อย่างที่รู้กันภาพลักษณ์ของหัวหอกดัตช์คือพวกขี้ฟ้องและพูดมากอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่ คาเปลโล่ พูดออกมาทำให้ใครที่ได้ฟัง ย่อมคล้อยตามเอาง่ายๆ สามารถมโนไปไกลได้เลย
ทั้งที่ความจริง รุด ได้ร่วมงานกับ โรนัลโด้ แค่ครึ่งปีเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าน้อยมาก เพราะพอเข้าสู่มกราคม 2007 โรนัลโด้ ตัดสินใจย้ายไปเอซี มิลานแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรผิดใจกัน
ในขณะเดียวกันเรามาสามารถเชื่อมั่นได้ว่า คาเปลโล่ เป็นกุนซือที่เฮี้ยบมากพอๆกับมั่นใจในตัวเองสูง ตามแบบฉบับของคนที่เคยผ่านความสำเร็จมาก่อน
เขาพร้อมจะหักกับลูกทีมทุกคนทันที หากไม่พอใจขึ้นมา ชนิดไม่สนด้วยว่าใครจะใหญ่หรือมีชื่อเสียงมากแค่ไหน
วิธีการที่ไม่ประนีประนอมหรือผ่อนปรน อาจนำไปสู่ชัยชนะได้ไม่ยาก แต่ในอีกทางมันก็ยากที่จะรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้
เขาได้คุมเรอัล มาดริดถึง 2 รอบ แต่มีเวลาอยู่แค่ 2 ปีและแชมป์ลาลีกา 2 สมัยก็ไม่อาจต่อลมหายใจได้อีกต่างหาก
อีกทั้งกล้าฉีกจารีต ไม่สนใจความรู้สึกของแฟนบอล อยากเปลี่ยนสไตล์การเล่นหรือจับนักเตะคนไหนไปยืนตำแหน่งแปลกๆ จะลงมือทำทันที
ต่อให้มีอำนาจมากกว่าใครในห้องแต่งตัว แต่ถ้าบรรยากาศมันน่าอึดอัด อีกทั้งไม่สามารถชนะใจกองเชียร์ได้ นั่นหมายความว่าอนาคตจบลงแล้ว
คาเปลโล่ อาจนำโทรฟี่มาประดับตู้โชว์สโมสรได้จริง ทว่าไม่พยายามเข้าใจในความเป็นเรอัล มาดริด มันก็เปล่าประโยชน์
"สำหรับผมเขาไม่ได้เป็นโค้ชที่เก่งกาจอะไรหรอก ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำ"
โรนัลโด้ เคยวิจารณ์อดีตเจ้านายไว้เช่นนี้
บางทีความสามารถในการเป็นกุนซือ มันอาจไม่ได้วัดที่จำนวนโทรฟี่อย่างเดียวก็ได้
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา