25 พ.ค. 2020 เวลา 17:46 • ไลฟ์สไตล์
คนเก่ง ไม่ค่อยฟังใคร
คนที่ฟังคนอื่น คือ คนแบบไหน
รับฟังกับไม่รับฟัง แตกต่างกันยังไง?
มนุษย์เราจะมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างนึง คือ อยากเป็นคนเก่ง ทุกคนก็มีความเก่งอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย บางคนไม่มีอะไรอวดได้เลย แต่ก็มีสิ่งที่ตัวเองภูมิใจแอบซ่อนอยู่
ผมเคยเล่นเทนนิสอยู่พักนึง จากที่เล่นไม่เป็นเลย ก็ไปที่สนามในหมู่บ้านทุกเช้าเพื่อให้เพื่อนๆในหมู่บ้านสอนให้จนเล่นกับเขาได้ คุณเชื่อไหม ผมเนี่ย เล่นแย่ที่สุดในหมู่บ้าน แต่ว่าทุกวันหลังจากเล่นเสร็จแล้ว ในใจผมมันจะมีภาพช็อทที่ดีๆ เจ๋งๆ ของวันนั้น ผุดขึ้นมาในหัวตลอดทั้งวันเลย มันลืมยากมาก คิดถึงช็อทนั้นทีไรมันมีความสุขทุกที
นี่ขนาดผมไม่เก่งนะครับเนี่ย แต่ก็จำแต่ภาพที่ตัวเองทำได้ดี ช็อทแย่ๆจำไม่ค่อยได้ 55
มันเป็นธรรมชาติของคนใช่ไหมครับ เอ หรือว่าผมเป็นคนเดียว คุณผู้อ่านคงไม่เป็นเหมือนผม ใช่ไหมครับ?
ที่ผมยกประเด็นนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่า ความเก่งของคนเรา มันก็ดี แต่ถ้าดูอีกมุมนึง คือมุมที่ผมจะมาถกกันเนี่ยแหละ ว่ามันก็มีผลเสียหลายอย่างเหมือนกันนะครับ
ก็ตามเคยครับ ผมจะเล่าเรื่องนึงใน Bible ให้ฟังก่อนนะครับ จะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า " ที่เยรูซาเล็มมีสระน้ำอยู่สระนึง ชื่อสระเบธซาธา ที่นั่นมีคนป่วยมากมาย คนตาบอด, คนง่อย, คนหูหนวก, คนพิการต่างๆ, และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ ที่เขาไปล้อมกันก็เพราะว่า มีข่าวว่า ถ้าน้ำในสระนั้นกระเพื่อม แสดงว่ามีทูตสวรรค์กำลังลงมา ก็ให้รีบกระโดดลงไปเป็นคนแรก คนนั้นจะหายโรคที่ตัวเองเป็น
แต่ว่าด้านหลังสระน้ำนั้น มีคนป่วยเป็นอัมพาตนอนอยู่ตรงนั้นมา 38 ปีแล้ว พระเยซูได้เสด็จมาหาคนเป็นอัมพาตคนนี้ แล้วตรัสว่า "เจ้าปราถนาจะหายโรคหรือ? ชายคนนี้ก็บอกว่า" ครับ ผมอยู่ตรงนี้นานมากแล้ว ที่สระนั้นมีคนล้อมกันเต็มไปหมด ผมไม่มีปัญญาไปล้อมกับเขาหรอกครับ ญาติก็ไม่มีเลยครับ "
พระเยซูจึงตรัสว่า" จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าเดินไปเถิด " ชายคนนั้นอยู่ๆก็ลุกขึ้นตามคำพูดของเยซูทันที แล้วเขาก็หายโรค ยกแคร่เดินไป "
เรื่องนี้มีคนสองประเภท
ประเภทแรก คือ คนที่ล้อมสระน้ำ คนเหล่านี้เป็นคนป่วยก็จริง แต่ยังมีอะไรดีอยู่บ้าง เช่น คนตาบอดแต่แขนขาของเขายังดีอยู่ หูก็ดีมาก ถ้าน้ำกระเพื่อมหูฉันดีกว่าคนอื่น ฉันได้ยินก่อนใครแน่นอน ฉันได้ยินก่อนฉันก็กระโดดลงไปเป็นคนแรกได้ หรือ คนหูหนวก อาจจะไม่ได้ยินเสียงน้ำกระเพื่อม แต่ตาฉันไวมาก ฉันเห็นก่อนใครแน่นอน
คือแต่ละคนต่างก็มีอะไรที่ดีอยู่ เขาก็เชื่อในส่วนดีของเขานั้น พระเยซูไม่เสด็จมาหาคนเหล่านี้ก็เพราะ พระองค์รู้ดีว่า เขาไม่ฟังคำพูดพระองค์แน่นอน เขาเชื่อในความสามารถของเขา
แต่คนประเภทที่สอง ก็คือ ชายป่วยเป็นอัมพาตมา 38 ปีแล้ว ชายคนนี้ ไม่มีอะไรดีเลย ทั้งตัวไม่มีอะไรที่ใช้การได้เลย ญาติที่จะพาไปลงสระน้ำนั้นก็ไม่มี พระเยซูจึงเสด็จไปหาเขา เพราะพระองค์รู้ว่าเขาจะฟังคำพูดพระองค์แน่นอน แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินตามคำพูดของพระเยซู
เราก็ไม่ต้องไปสนใจหรือสงสัยว่า ทำไมเขาจึงลุกขึ้นเดินตามคำพูดพระเยซู เขาเอาแรงมาจากไหน อยู่ๆใครก็ไม่รู้มาบอกให้ลุกขึ้นเดิน ก็ลุกขึ้นเดินได้ง่ายแบบนี้เลยเหรอ
เพราะว่าถ้าอธิบายก็จะยาวมากแน่นอน
เรามาสนใจเรื่อง การฟังคนอื่นกับไม่ฟัง มันแตกต่างยังไงดีกว่า
ปัญหาของการไม่ฟังใคร มันก็เป็นเพราะ มีอะไรที่เก่ง ที่ดีกว่าคนอื่นอยู่ คุณสังเกตุดูสิ คนที่มีความรู้เยอะ จะชอบสอน จะไม่ชอบฟัง หรือบางครั้งฟังแต่ก็ฟังไปงั้นแหละ ฟังเพื่อจะได้รีบพูด
บางคนก็ดูเหมือนตั้งใจฟัง จ้องตาแป๋วเลย แต่สมองคิดเรื่องที่จะพูดอยู่
แล้วการไม่ฟังคนอื่น มันมีผลเสียอะไรกับใคร เรื่องใหญ่เหรอ การไม่ฟังใครเนี่ย
มีผลเสียเยอะครับ แต่เราไม่ค่อยรู้
หลายปีก่อน ผมทำข้อสอบ เพื่อได้ใบอนุญาตเป็นผู้บรรยายเรื่องจิตใจ ของมูลนิธินึงของเกาหลี แต่ผมสอบตก เหตุเพราะ ผมไม่ได้ทำข้อสอบอีก 2 ข้อ
ทำไมไม่ทำรู้ไหมครับ เพราะตอนเขาประกาศว่า สองข้อสุดท้ายจำเป็นต้องทำ ซึ่งมันอยู่ด้านหลังกระดาษข้อสอบใบสุดท้าย ผมไม่ฟังครับ
เขายังประกาศไม่เสร็จ ผมรีบทำข้อสอบ เพราะคิดว่า ไม่ยากเท่าไหร่ สุดท้ายคะแนนขาดไปนิดนึง สองข้อนั้นแค่เขียนอะไรนิดหน่อยก็ได้แล้ว ไม่มีอะไรมาก ทุกวันนี้ยังเจ็บใจตัวเองอยู่เลยครับ
นี่แค่เรื่องเล็กๆ ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆล่ะครับ
การฟังอะไรไม่ชัดเจน มันทำให้ผิดพลาดง่ายมาก
การไม่ฟัง ก็เพราะ มีความมั่นใจว่าเก่ง ทำได้แน่ ฟังนิดเดียวแล้วก็สรุปเองเลย
ชายป่วยคนนั้น เขาไม่มีอะไรที่ทำได้เลย ถ้าให้เปรียบเทียบก็คือ คนโง่ คนไม่เก่ง คนที่มีจิตใจที่เชื่อว่า ฉันยังไม่เก่ง คนแบบนี้จะอยากเรียนรู้ อยากฟังคำแนะนำจากคนอื่น
แต่คนเก่งจะไม่ค่อยอยากฟังใคร
มีเรื่องเล่าของจีนเรื่องนึง เรื่องเมืองที่มีแต่คนฉลาด ทำสงครามกับเมืองที่มีแต่คนโง่ ปรากฏว่า เมืองที่มีแต่คนโง่ชนะครับ
ทำไมชนะ? เพราะว่า เมืองที่มีแต่คนฉลาด พอบอกว่า บุกเข้าไป ทุกคนก็ฉลาดเลยคิดกันว่า บุกยังไงดี คนนี้ก็ว่าอย่างนั้น คนนั้นว่าอย่างนี้ วุ่นวายมาก
แต่เมืองที่มีแต่คนโง่ พอนายทัพสั่งว่ายังไงก็ทำตามทุกอย่าง บอกให้บุกก็บุก บอกให้ถอยก็ถอย คือ เชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง ก็ชนะเพราะแบบนี้
ผมไม่ได้บอกให้ทุกคนว่า มาเป็นคนโง่กันเถอะ ก็ไม่ใช่นะครับ ผมแค่บอกว่า ทุกวันนี้หาคนที่รับฟังกันยากมากขึ้นนะครับ เพราะต่างคนต่างเก่งกันหมด แข่งขันกันน่ากลัวทุกเรื่อง
คนในบ้านเดียวกันยังไม่ฟังกันเลยครับ สามีภรรยาไม่ฟังกัน พูดอะไรหน่อยก็หาว่าบ่น ลูกก็ไม่ฟังพ่อแม่ ตอนเด็กๆก็ฟังดี พอโตหน่อยปีกกล้าขาแข็งก็ไม่ฟังใครแล้ว
สังคมทุกระดับไม่ฟังกัน ต่างคนต่างก็คิดว่า ต้องฟังฉัน แบบนี้เรื่องใหญ่นะครับ
สุดท้ายนี้ผมก็หวังว่า ผมจะเป็นคนที่รับฟังคนอื่นดีขึ้น สนใจจิตใจคนอื่นให้มากขึ้น ไม่ใช่คิดแต่เรื่องของตัวเอง แค่นี้ก็คงจะมีความสุขมากขึ้นแน่นอนครับ.
โฆษณา