27 พ.ค. 2020 เวลา 14:00 • กีฬา
วีว่าหามาบอก : ผ่าน 15 ปีกับคืนมหัศจรรย์ที่อิสตันบูล
1-0 เปาโล มัลดินี่ น.1
2-0 เอร์นัน เครสโป น.39
3-0 เอร์นัน เครสโป น.44
3-1 สตีเว่น เจอร์ราร์ด น.54
3-2 วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ น.56
3-3 ชาบี อลอนโซ่ น.60
.
ผ่าน 90 นาทีหฤหรรษ์ด้วย 3-3 และ ลิเวอร์พูล โอนไปเอนมาจะโดนเม็ด 4 อยู่หลายรอบ โดยเฉพาะลูกชาร์จของ อันเดร เชฟเชนโก้ ที่ดีดจ่อๆ 2 หลา ติดซูเปอร์เซฟ เจอร์ซี่ ดูเด็ค
.
ดวลจุดโทษ...
แซร์จินโญ่ ❌ (ข้ามคาน)
ดีทมาร์ ฮามันน์ ✅
อันเดรีย ปีร์โล่ ❌ (ติดเซฟ)
ชิบริล ซิสเซ่ ✅
ยอน ดาห์ล โทมัสสัน ✅
ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ❌ (ติดเซฟ)
กาก้า ✅
วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ✅
อันเดร เชฟเชนโก้ ❌ (ติดเซฟ)
.
ลิเวอร์พูล ชนะดวลเป้า เอซี มิลาน 3-2 หลังเสมอในเวลา 3-3
.
วันนี้เมื่อ 15 ปีก่อน, 25 พ.ค. 2005 ,เกิด #ปาฏิหาริย์อิสตันบูล ขึ้น
.
แน่นอน สตีเว่น เจอร์ราร์ด คู่ควรกับเสียงยกย่องในการนำทีมพลิกนรกกลับมา หรือนักเตะหงส์แดงทุกคนก็เหมาะสมกับคำชมเชยในลูก "ใจสู้" ไม่ต่างกัน ราฟาเอล เบนิเตซ ก็ต้องได้เครดิตกับความสำเร็จครั้งนี้
.
แต่หนึ่งในคนที่คุณอาจไปลืมว่านี่แหละ #ฮีโร่ตัวจริง ณ อตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม คือชายคนนี้ - เจอร์ซี่ ดูเด็ค
.
เซฟสุดสำคัญช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไม่โดนเม็ดสี่ / เซฟ 2 จุดโทษในช่วงดวลเป้าชี้ขาด
"มันคือความโกลาหลอย่างแท้จริงหลังจากช่วงต่อเวลาพิเศษจบลง เป็นการผสมผสานกันของความเหนื่อยล้า, ความตึงเครียดและความไม่เชื่อว่าเราจะกลับมาอยู่ในเกมได้อีกครั้ง ทั้งหมดทั้งมวลทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดมาก" ดูเด็ค ร่ายผ่านหนังสืออัตชีวประวัติ A Pole In Our Goal
.
"นักเตะของเรา 2-3 คนเดินมาหาผม แล้วบอก 'ยอดเยี่ยมมากเจอร์ซี่! ตอนนี้โฟกัสกับจุดโทษ มันคือเกมของนายแล้ว นายนำแชมป์มาให้เราได้!'"
.
"คาร์ร่า (เจมี่ คาร์ราเกอร์) ตื่นเต้นกว่าใครทั้งหมด เขาเข้ามาผลักผม จ้องหน้าผม ตะโกนใส่หน้าผม 'เจอร์ซี่, นายต้องทำอะไรสักอย่างนะโว้ย! จำ บรูซ กร๊อบเบลาร์ ได้มั้ย? ทำเหมือนเขาสิ ปั่นหัวทุกคนซะ! เขย่าขาของนายซะ! เคลื่อนไปรอบๆ เล่นงานทุกคนซะ!'"
.
"โอเคคาร์ร่า โอเค โอเค แต่ให้ฉันอยู่เงียบๆ เถอะ กูกำลังทำสมาธิกับจุดโทษอยู่โว้ย!"
.
"เขายังว่าต่อ 'จำไว้! ทำบางอย่างซะ นายต้องทำบางอย่าง! กร๊อบเบลาร์ไง! นายต้องทำนะ!' ซึ่งผมก็ได้แต่พูดว่า โอเคๆๆ กับเขา เพราะผมอยากคุยเรื่องจุดโทษกับ โฆเซ่ โอโชโตเรน่า โค้ชประตูของเรามากกว่า แต่ผมก็เก็บสิ่งที่คาร์ร่าพูดไว้ในใจ เพราะบางทีมันก็คุ้มที่จะลอง"
.
"ตอนอยู่เฟเยนูร์ด ผมมีสมุดที่จดบันทึกไว้ว่านักเตะคนไหนยิงจุดโทษอย่างไร รู้สึกว่าผมจะเคยอ่านเจอที่ไหนด้วยว่านายทวารคนดังชาวดัตช์ ฮันส์ ฟาน บรูเคเลน ที่ช่วยให้ พีเอสวี ชนะ เบนฟิก้า ในการดวลจุดโทษนัดชิง ยูโรเปี้ยน คัพ 1988 ก็ใช้วิธีนี้ ผมก็เลยเลียนแบบเขามา"
.
"สมุดบันทึกของผมมีข้อมูลเกี่ยวกับว่านักเตะคนไหนมักจะยิงแบบไหน ยิงเน้นแรงหรือเน้นทักษะ ถนัดเท้าขวาหรือเท้าซ้าย ประตูฝั่งซ้ายหรือขวาที่คนนั้นๆ มีแนวโน้มจะยิง หรือใครมักจะยิงมาตรงกลาง ผมใช้วิธีจุดแบบนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ในฮอลแลนด์ แต่ที่ลิเวอร์พูล ผมไม่ได้ใช้"
.
"ราฟา เป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดมาก และก่อนที่จะถึงนัดชิง ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับตัวยิงจุดโทษและฟรีคิกของมิลาน ถูกนำมาเขียนลงบอร์ดในห้องแต่งตัว นอกจากนี้ยังมีคลิปวิดีโอสำหรับผมที่จะดูนักเตะของพวกเขาจัดการจุดโทษและฟรีคิก การเซฟจุดโทษได้ของผมถือเป็นผลพวงจากการทำงานร่วมกันของผมกับ ราฟา ตลอดทั้งซีซั่น"
.
"'นายจะจัดการกับจุดโทษอย่างไร' เขาพูดกับผม ‘สูง ต่ำ หรือตรงกลาง นายต้องมองมันให้ต่างออกไป' เขาแนะนำให้ผมแบ่งกรอบประตูออกเป็น 6 ช่อง เริ่มจากมุมขวาบนจะเป็นสี่เหลี่ยมอันที่หนึ่ง แล้วก็เรียงลำดับมาเรื่อยๆ จนเป็นหกช่อง จากนั้นผมจะดูวิดีโอของตัวยิงจุดโทษของพวกเขา และดูว่าใครจะยิงไปตรงช่องไหนมากที่สุด"
.
"ผมใช้เวลาร่วม 4 เดือนกว่าจะเข้าใจมันอย่างจริงจัง และทุกครั้งที่เบนิเตซทดสอบผม 'แลมพาร์ดยิงไปทางไหน? เบอร์อะไร?' ซึ่้งผมจะตอบ 'เบอร์ 6' มุมล่างขวาของประตู โดยที่นอกจากตัวผมกับราฟาแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใจว่าเรากำลังคุยอะไรกัน นี่คือโค้ดจุดโทษเฉพาะของเรา"
.
"ตอนที่เรากำลังรอดวลจุดโทษ ซึ่งเป็นจุดตัดสินหลังจากเกมที่มี 6 ประตูในอตาเติร์ก สเตเดี้ยม ต่อหน้าแฟนบอลเอซี มิลาน 'โอโช่' เขียนรายละเอียดตัวยิงจุดโทษของมิลานให้ผม มันออกมาเป็นโค้ดว่านักเตะคนไหนชอบยิงไปที่เบอร์ไหน มันยาวอย่างกับม้วนกระดาษทิชชู่! 'ผมจำมันไม่ได้หรอกนะ' ผมบอกกับโอโช่ 'คุณต้องช่วยผม'"
.
"ผมขอให้เขามายืนอยู่ข้างหลังประตู เพื่อให้คำแนะนำแก่ผม แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ตัดสินจะไม่อนุญาตให้ทำ ดังนั้นผมจึงวางแผนใหม่แทน ‘ก่อนการยิงจุดโทษแต่ละครั้ง ผมจะมองหาคุณ คุณต้องยืนขึ้นและยกมือ ถ้าคุณยกมือเดียว ผมจะพุ่งไปทางซ้าย ถ้าคุณยกสองมือ ผมจะไปทางขวา มันจะช่วยผมได้'"
.
"ผมไม่แน่ใจว่ามีใครสังเกตเห็นสิ่งนี้รึเปล่า เพราะพอเอาจริงแล้วมันกลายเป็น สกอตต์ คาร์สัน ที่เป็นคนยกมือส่งสัญญาณ โอโช่จะคอยดูโน้ตแล้วบอก สกอตต์ ให้ยกมือในตอนที่นักเตะมิลานแต่ละคนเดินมาทำหน้าที่ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับเขา เพราะนักเตะบางคนมีการยิงที่หลากหลาย ฉะนั้นผมจึงสังเกตเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของโอโช่อยู่ตลอดทุกครั้งที่เขาต้องตัดสินใจว่าผมจะต้องพุ่งไปทางไหน"
.
"มันทำให้ผมนึกถึงกีฬาแข่งสกี ที่โค้ชจะคอยโบกธงเพื่อส่งสัญญาณเมื่อนักแข่งของพวกเขาเริ่มพุ่งลงมาจากเนินเขา เขาต้องรอลมที่เหมาะสมถึงวินาทีสุดท้ายก่อนโบกธง มันเป็นการทดสอบประสาทคนเป็นโค้ช และนักแข่งก็ต้องให้ความเชื่อมั่นกับโค้ชของเขาอย่างเต็มที่ นั่นคือสิ่งที่ผมทำกับโอโช่ แขนของ สกอตต์ คาร์สัน ก็คือธงสำหรับผม อ่า... ผมไม่ได้นึกถึงโค้ดของราฟาเลย!"
.
"เราเป็นแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก เราเป็นแชมป์ยุโรป หลังจากตามอยู่ 3-0 ในครึ่งแรก และผมเซฟจุดโทษสุดสำคัญไว้ได้ นี่มันเกินกว่าที่ผมฝันไว้ไปเยอะเลย!"
.
"ตอนที่เรากำลังรอขึ้นแท่นชูถ้วยแชมป์ เบนิเตซ เข้ามาคุยกับผมโดยที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาบอก 'เจอร์ซี่ บอกผมทีซิ ทำไมนายถึงได้พุ่งไปคนละทิศกับที่เราส่งสัญญาณให้?'"
.
"เขาพูดถูก ผมคิดว่าผมพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ สกอตต์ และ โอโช่ ส่งสัญญาณมาประมาณ 3 ครั้ง ซึ่งผมไม่ได้คิดเรื่องนี้ในตอนฉลอง ไม่เหมือนราฟา แต่ผมก็ดีใจนะที่เลือกพุ่งไปคนละทาง!"
#ลิเวอร์พูล #มิลาน #แชมเปี้ยนส์ลีก #อิสตันบูล2005 #วีว่าซอค #vivasoc
www.vivasoc.com เว็บฟุตบอลปลอดพนัน
โฆษณา