ไม่มีคำถามติดค้างสงสัยในฝีเท้าของ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า แม้เพียงเล็กน้อย
ชัดเจนว่านี่คือนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาในโลก เป็นพระเจ้าของชาวอาร์เจนไตน์ เป็นพระเจ้าของชาวนาโปลิตัน
ประวัติศาสตร์มากมายถูกจารึกไว้โดยสองเท้า (และหนึ่งมือ!) ของ "เสือเตี้ย" นอกจากแชมป์ที่ได้ร่วมกับต้นสังกัดและทีมชาติ เกียรติยศส่วนตัวของเขาก็ยาวเหยียดเป็นสมุดหน้าเหลือง...เหนื่อยเกินไปถ้าจะร่ายให้ครบ
อย่างที่บอก ไม่มีคำถามสำหรับฝีเท้า (และเล่ห์เหลี่ยม) ของเขา แต่ก็มีเรื่องน่าฉงนสงสัยประการหนึ่งว่า...พี่ไปทำอะไรที่ เซบีย่า ครับพี่?
อาจใช่ที่ เซบีย่า ในความรับรู้ของเรา คือทีมที่ "ไม่ย่อย" ในความหมายไม่ใช่ท้องอืดท้องเฟ้อ แต่ศักดิ์ในบอลสเปนคงเป็นรองเพียง บาร์เซโลน่า กับ 2 ยักษ์กรุงมาดริด เรอัล-แอตเลติโก เท่านั้น
แต่นั่นก็เป็นเพราะความสำเร็จในเวทียุโรประยะ 1 ทศวรรษหลังกว่าๆ เท่านั้นเอง
แชมป์ ยูฟ่า คัพ / ยูโรป้า ลีก
2005/06
2006/07
2013/14
2014/15
2015/16
แล้วก็มีแชมป์บอลถ้วย โกปา เดล เรย์ 2 สมัย / สมัยที่ 4 กับ 5 ของตัวเอง
2006/07
2009/10
ส่วนข้อเท็จจริงในยุคเก่าคือ เซบีย่า เป็นแค่ "ตัวประกอบ" ลา ลีกา เพียงเท่านั้น
ช่วงที่ดีที่สุดของทีมสีขาวแดงแห่งอันดาลูเซีย คือยุค 40-50 ที่คงไม่จำเป็นต้องย้อนความสืบสาวราวเรื่องใครคุมใครเตะให้เสียเวลา
1939 (ยุคสงคราม / ไม่มี ลา ลีกา / มีบอลถ้วยที่เตะจบใน 2 เดือน) แชมป์โกปา เดล เรย์ (ในชื่อ Copa del Generalisimo)
1939/40 รองแชมป์ลา ลีกา
1942/43 รองแชมป์ลา ลีกา
1945/46 แชมป์ลา ลีกา (เฉือนบาร์ซ่า 1 แต้ม)
1947/48 แชมป์โกปา เดล เรย์
1950/51 รองแชมป์ลา ลีกา
1956/57 รองแชมป์ลา ลีกา
นั่นหมายถึงว่าตลอดหน้าประวัติศาสตร์ 130 ปีสโมสร พวกเขาก้าวไปถึงบัลลังก์แชมป์ลีกแดนกระทิงได้เพียง "ครั้งเดียวถ้วน" เท่านั้น
ถัดจากนั้น
ยุค 70 เป็นช่วงเสื่อมสภาพ ตกชั้นสลับเลื่อนชั้น
ยุค 80 ต่อ 90 ยืนระยะ ลา ลีกา ในฐานะ "ทีมกลางๆ"
ปลาย 90 ต่อมิลเลนเนียม กลับไปตกชั้นสลับเลื่อนชั้นอีกหน
2001 - ปัจจุบัน ค่อยเป็น เซบีย่า ที่ประสบความสำเร็จพอตัว อย่างที่เราคุ้นเคย
แน่นอน ตอนที่ มาราโดน่า เลือกจะมายัง ราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน
เซบีย่า ก็คือทีมประเภท "ชายกลาง" ที่แท้ทรู จบอันดับ 10-9-6-8-12 ในระยะห้าปีคาบเกี่ยวบริเวณนั้น เท่านั้นเอง
มันจึงเป็นคำถามน่าฉงนสงสัย ว่าพี่เตี้ยมาทำอะไรกับทีมแบบนี้ -- และพอเชื่อได้ว่าคุณก็อาจนึกไม่ออก ว่าครั้งหนึ่ง คนระดับนี้ก็เคยสวมเครื่องแบบขาวแดงแห่งคณะเซบีย่า มาด้วย
ก็ต้องย้อนไปถึงช่วงยุค 80-90
การก้าวกระโดดจากบ้านเกิด โบคา จูเนียร์ส มายัง บาร์เซโลน่า ปี 1982 ลงเอยแบบออกจะเอียงไปทาง "ล้มเหลว" จากความห่ามดิบเถื่อนไม่จำกัดของ มราโดน่า ในขวบวัยที่ความ "ห้าว" ยังเป็นคุณสมบัติเด่น (ที่จริงก็ห้าวจนถึงวันนี้!)
การมีเรื่องมีราววิวาทฟาดปาก แจกหมัดเท้าเข่าศอก กับ อันโดนี่ กอยโคเชีย และกลุ่มนักเตะแอธเลติก บิลเบา ในนัดชิงชนะเลิศ โกปา เดล เรย์ 1984 (บิลเบาชนะ 1-0) เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนบอล 100,000 คน--ย้ำ--หนึ่งแสนคนที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ไม่พอ ยังเกิดต่อหน้าพระพักตร์ของกษัตริย์ ฆวน คาร์ลอส ด้วย
เรื่องนี้ทำให้ประธานบาร์ซ่าเวลานั้น โจเซป หลุยส์ นูนเยซ ลั่นออกสื่อว่า "ไม่ต้องการเห็นนักเตะคนนี้" ซึ่งคือ มาราโดน่า ในสีเสื้อเลือดหมูน้ำเงินอีกต่อไป ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น ตำนานของเสือเตี้ย ณ นาโปลี ก็เริ่มต้นขึ้น
การลงทุนสถิติโลกตอนนั้น 6.9 ล้านปอนด์ (ปี 1984 แกรม ซูเนสส์ ค่าตัว 6 แสนปอนด์, มาร์ค เฮทลี่ย์ 9 แสน, เรย์ วิลกิ้นส์ 1.5 ล้าน) กลายเป็นดีลที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของสโมสรฟุตบอลนาโปลี
ตำนานของ มาราโดน่า กับทัพอัซซูร์ร่า กินเวลายาวนาน 7 ปี ตั้งแต่ 1984/85 ไปจนถึง 1990/91
ประเด็นคือ มาราโดน่า พา นาโปลี คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 2 สมัย (1986/87 กับ 1989/90), โคปปา อิตาเลีย 1, ยูฟ่า คัพ 1 และซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า อีก 1
ยิ่งสำคัญมากขึ้นอีกเมื่อสคูเด็ตโต้ 2 สมัยนั่น คือ 2 สมัยแรกและ 2 สมัยสุดท้ายของ นาโปลี จนวันนี้ทีเดียว
(เช่นกัน แชมป์ยูฟ่า คัพ 1989 ก็เป็นความสำเร็จเดียวในเวทียุโรปของสโมสร)
เพียงแต่ควบคู่กันไปกับความเป็นเลิศในสนาม มาราโดน่า ก็ถลำลึกลงไปเรื่อยๆ กับ "ด้านมืด" ของตัวเขา ที่มีเรื่องของ "โคเคน" เป็นอาหารหลัก
เมื่อถูกตรวจพบสารเสพติดโคเคนในร่างกาย ก่อนเกมพบ บารี่ ในเดือน มี.ค. 1991 มาราโดน่า ก็โดนสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีสั่งฟันฉับ แบนยาวเหยียด 15 เดือน ส่งผลให้ซีซั่น 1991/92 ของเขา หายวับไปกับตาทั้งซีซั่น และที่สุดแล้ว นาโปลี ก็เปิดประตู ซาน เปาโล ให้พระเจ้าของพวกเขาก้าวเท้าออก
และเมื่อแยกทางกับ นาโปลี แล้ว สถานีต่อมาของ มาราโดน่า กลับเป็นทีมอย่าง เซบีย่า
มีเสียงเล่าลือว่าทั้ง เรอัล มาดริด และ โอลิมปิก มาร์กเซย ต่างสนใจใช้บริการของพี่เตี้ย ให้หลังจากหมดโทษแบน 15 เดือน (คนละกรณีกับโด๊ปในฟุตบอลโลก 94) แต่ปรากฏว่าไปลงเอยกับ เซบีย่า เสียอย่างนั้น
น่าแปลกใจ... แต่ที่จริงก็ไม่ถือว่าซับซ้อนนัก
นับว่ามันคือการ "ถูกหวยสองเด้ง" ของ เซบีย่า เมื่อพวกเขาคว้าตัว คาร์ลอส บิลาร์โด้ ยอดโค้ชอาร์เจนไตน์ อดีตกุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่า 1983-1990 เข้ากุมบังเหียนแทน วิกเตอร์ เอสปาร์ราโก้ โค้ชชาวอุรุกวัย ตอนกลางปี 1992
เมื่อหัวหน้ามาแล้ว ใยเลยลูกน้องคนสนิทที่ร่วมงานกันมาตลอดในทีมชาติอย่าง มาราโดน่า จะปฏิเสธคำเชิญชวน -- โดยเฉพาะเมื่อเวลานั้น มาราโดน่า ก็เจอปัญหาในการควานหาต้นสังกัดใหม่อยู่พอควร เนื่องด้วยภาพลักษณ์ที่มัวหมองจากยาเสพติด
กลับ โบคา จูเนียร์ส...? ก็เป็นอีกทางเลือกที่กะเก็งกัน เพียงแต่อุปสรรค (ตามที่มีบันทึก) คือข้อเรียกร้องตัวเลขค่าจ้างของ มาราโดน่า เวลานั้น สูงเกินกว่าที่ โบคา จะจ่ายไหว
หลังการเปิดตัวเข้าคุมเซบีย่า บิลาร์โด้ กระแซะทีเล่นทีจริงไปยังประธานสโมสร หลุยส์ เกร์บาส "ท่านประธาน เซ็นมาราโดน่าเป็นของขวัญให้ผมหน่อย" ได้ยินดังนี้ เกร์บาสก็ปาดเหงื่อหนึ่งที แล้วเอาวะ... ลองดูสักตั้งไม่เสียหาย
หลังผ่านการประชุมกับฟีฟ่า ร่วมด้วย ฮูลิโอ กรอนโดน่า ประธานสมาคมบอลฟ้าขาว และตัวแทนจากหลายสโมสรที่สนใจ ว่าตกลงมาราโดน่าเคลียร์ตัวเองจากคดีได้แน่นอนแล้วไหม เกร์บาสก็ตัดสินใจยื่น 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับนาโปลี ซื้อตัวพี่เตี้ยออกจากสัญญาที่ยังคงเหลืออีก 1 ปี
ที่สุดแล้วก็ปิดจ๊อบ มาราโดน่าในวัยย่าง 32 เข้าเปิดตัวที่ราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน ตอนบ่ายของวันที่ 22 ก.ย. 1992
ที่นั่น มาราโดน่าเข้าไปเป็นเพื่อนร่วมทีมของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ และ ดาวอร์ ซูเคอร์ "สิ่งแรกที่เราทำ คือตั้งให้เขาเป็นกัปตันทีม เพราะเรานึกภาพไม่ออกเลยว่า มาราโดน่า จะขาดปลอกแขนไปได้อย่างไร" ฆวน มาร์ตากอน กองหลังในทีมชุดนั้น ระบุ
สมาชิกสโมสรเซบีย่า เพิ่มขึ้นจาก 26,000 รายเป็น 40,000 รายภายใน 3 วันหลังการมาถึงของ มาราโดน่า และยังฟันเงินค่าตั๋วได้ถึง 2.2 ล้านปอนด์ "ผมโตมาด้วยการดูมาราโดน่าคว้าแชมป์โลก แล้วดูตอนนี้สิ เขาเป็นเพื่อนร่วมทีมผมแล้ว" ปริเอโต้ อีกหนึ่งกองหลังเซบีย่า บอก
ซิเมโอเน่ ก็รำลึกช่วงยามนั้นไว้เช่นกัน "มันคือความสนุกและความสุข การมาของมาราโดน่าในตอนนั้นมันคือก้าวสำคัญมาก เป็นโมเมนท์สำคัญของทีม"
"นักเตะรุ่นๆ ในทีมต่างรู้สึกตื่นเต้นกับการมีเขาร่วมทีม มันทำให้เราเติบโตขึ้น และผมดีใจมากที่เราได้มีช่วงเวลาในฟุตบอลร่วมกับมาราโดน่า"
หรือ ดาวอร์ ซูเคอร์ ก็ปลื้มปริ่มไม่แพ้กัน... "ตอนผมยังเด็ก ผมดู มาราโดน่า ผ่านทีวีบ่อยมาก แต่แล้ว ผมก็พบว่าตัวเองกำลังกินมื้อเช้า, ร่วมซ้อม และแชร์ล็อคเกอร์กับเขา"
"ผมหวังว่าเขาจะสอนบางอย่างกับผม และวันหนึ่งเขาก็เรียกผมไปคุย 'ฉันไม่อยากให้นายวิ่งออกริมเส้นหรืออะไรแบบนั้น แต่มุ่งตรงไป วิ่งเข้าหานายประตู ฉันจะปล่อยบอลให้นายเอง' จะมีนักเตะกี่คนบนโลกที่กล้าพูดแบบนี้"
"และถ้าคุณดูประตูที่ผมยิงให้เซบีย่าได้ มันก็มาจากแนวทางนี้ นี่คือบางสิ่งที่จะติดตัวผมไปตลอดกาล"
เซบีย่า รู้ดีกว่าให้หลังการเรื้อสนามยาวนาน 1 ปีเต็มๆ กับอีก 3 เดือน ไหนจะยังมีเรื่องของน้ำหนักตัว พวกเขาจะไม่สามารถรีดเค้นความ "สมบูรณ์แบบ" ของเทพเจ้าลูกหนังอาร์เจนไตน์ ออกมาได้อยู่แล้ว ราม่อน โรดริเกซ เบร์เดโฆ่ "มอนคี่" ผอ.คนดังในปัจจุบัน ที่เวลานั้นยังสวมถุงมือเฝ้าเสาให้เซบีย่า เอ่ยในภายหลังว่าถ้ามองย้อนไป มาราโดน่า ร่ายมนต์แข้งออกมาแค่ราวๆ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่แค่ 30% ก็เกินพอ
มาราโดน่า ยิง 6 ประตูจาก 29 เกม มีหลายนัดที่ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง เช่นกันกับมีหลายเกมที่ถือเป็นแมตช์แห่งความทรงจำ เช่นเกมที่ เซบีย่า สยบ เรอัล มาดริด สวยงาม 2-0 (หรือเกมลับแข้งนัดเปิดตัวเสือเตี้ย เซบีย่า อัด บาเยิร์น 3-1) ก่อนที่ซีซั่นนั้น เซบีย่า จะเข้าป้ายอันดับ 7
อย่างไรก็ตาม ตำนานของมาราโดน่ากับเซบีย่า มีระยะสั้นกุดเพียง 1 ปีเท่านั้น
รอยร้าวเริ่มต้นเพราะความขัดแย้งระหว่าง "สโมสร" กับ "ทีมชาติ"
เวลานั้น อาร์เจนติน่า กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการลุยฟุตบอลโลก 1994 และทีมฟ้าขาวที่คุมโดย อัลฟิโอ บาซิเล่ ก็มี มาราโดน่า อยู่ในแผนการ
มีอยู่นัดหนึ่ง เซบีย่า ต้องการให้ มาราโดน่า อยู่เล่นเกมกับ โลโกรนเยส แต่ "เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ขณะนี้"
มาราโดน่า ไปเข้าแคมป์รับใช้ทีมชาติ โดยไม่ขออนุญาตจากสโมสร
อาส ยังเผยว่า ความขัดแย้งระหว่างตัว มาราโดน่า กับเจ้านาย บิลาร์โด้ ยังค่อยๆ ปะทุขึ้น เช่นเดียวกับรองประธานสโมสร โฆเซ่ มาเรีย เดล นีโด้ (ที่ได้ขึ้นนั่งเก้าอี้ใหญ่ในเวลาต่อมา)
นอกจากนั้นยังมีข้อขัดแย้งเรื่องเงินๆ ทองๆ ว่ากันว่า เซบีย่า ติดเงินค่าจ้างพี่เตี้ยถึงกว่า 6 แสนปอนด์ ซึ่งในขณะที่มาราโดน่ายื่นเรื่องฟ้องจะเอาเงินก้อนนี้ เซบีย่า ก็ยืนกรานว่าพวกเขาไม่มีทางจ่ายเพราะ มาราโดน่า "ทำผิดเงื่อนไขของทางสโมสร"
กลางปี 1993 มาราโดน่า ตัดสินใจมุ่งหน้ากลับบ้าน ไปเล่นกับ นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ ตามด้วยกลับแขวนสตั๊ดกับ โบคา จูเนียร์ส (ภายหลังโดนแบนเป็นปีๆ อีกครั้ง จากบอลโลก 94)
อย่างที่บอก เรื่องราวของ มาราโดน่า กับ เซบีย่า เข้าข่ายอะไรที่ถูกลืม เมื่อระยะเวลามันสั้นแค่ 1 ปีถ้วน แถมจบไม่สวยด้วยต่างหาก
เพียงแต่ในแง่ของแฟนบอลเซบีย่า (ยุคนั้น) แล้ว พวกเขาสามารถคุยโม้ได้ตลอด
ว่าครั้งหนึ่ง เซบีย่า ก็เคยมีนักเตะเบอร์ 1 โลกในทีมด้วยนะเออ...