29 พ.ค. 2020 เวลา 10:02 • ประวัติศาสตร์
“วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill)” รัฐบุรุษแห่งสหราชอาณาจักร ตอนที่ 2
ชีวิตการทำงาน
วินสตันใช้เวลาเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ เป็นเวลา 15 เดือน โดยเขาได้เรียนการขี่ม้า การนำทัพ
ด้วยความที่ได้เรียนในสิ่งที่ตนชอบ ทำให้วินสตันนั้นเรียนได้ดี โดยเขาเรียนจบในปีค.ศ.1894 (พ.ศ.2437) และทำคะแนนได้ที่ 8 จากนักเรียนในห้องจำนวน 150 คน
ในขณะที่อาชีพการงานของวินสตันกำลังจะไปได้ดี พ่อของวินสตันเองกลับล้มป่วยและเสียชีวิตในปีค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) ขณะมีอายุได้ 45 ปี
ลอร์ด แรนดอล์ฟ เชอร์ชิลล์ (Lord Randolph Churchill)
วินสตันนั้นเสียใจเรื่องการจากไปของลอร์ด แรนดอล์ฟ พ่อของตน แต่ในปีเดียวกันนี้ วูเมนี่ หรือ “เอลิซาเบธ เอเวอเรสต์ (Elizabeth Everest)” พี่เลี้ยงของวินสตันก็ได้เสียชีวิตเช่นกัน
วินสตันได้ลากองทัพ กลับมาบ้าน มาอยู่กับวูเมนี่ โดยวินสตันได้อยู่ข้างเตียงของเธอขณะที่เธอจากไป
วินสตันได้เขียนถึงวูเมนี่ว่า
“เป็นเพื่อนที่สนิทและดีที่สุดในชีวิตที่เกิดมา 20 ปีของฉัน”
เอลิซาเบธ เอเวอเรสต์ (Elizabeth Everest)
ภายหลังเรียนจบจากแซนด์เฮิสต์ วินสตันก็ได้รับแต่งตั้งเป็นร้อยตรีแห่งกองพันทหารม้า และต้องฝึกอีกหกเดือน
แต่วินสตันต้องการจะเห็นการต่อสู้จริงๆ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) เขาจึงได้เดินทางไปคิวบาในฐานะของผู้สื่อข่าว ทำข่าวสงครามประกาศอิสรภาพของคิวบา โดยเขาได้ทำสัญญากับหนังสือพิมพ์ “Daily Graphic” ว่าจะเขียนข่าวขณะอยู่คิวบาและส่งมาให้หนังสือพิมพ์
ขณะอยู่ที่คิวบานี้เอง วินสตันได้ลองสูบซิการ์คิวบา และก็ติดมาตั้งแต่นั้น
วินสตันในวัยหนุ่ม
ภายหลังกลับจากคิวบา วินสตันก็ถูกส่งไปยังเมืองบังคาลอร์ ประเทศอินเดีย พร้อมกับกองทหาร
อังกฤษได้ยึดครองอินเดียมาตั้งแต่ปีค.ศ.1858 (พ.ศ.2401) และรัฐบาลอังกฤษก็ได้ส่งกองทหารมาประจำการอยู่บนเขาในเมืองบังคาลอร์เพื่อดูแลความเรียบร้อย
ในช่วงแรก วินสตันมีเวลาว่างมาก และเขาก็ได้ใช้เวลาว่างเขียนหนังสือถึงเรื่องราวการผจญภัยของเขาและอ่านหนังสือ
แต่ในช่วงหลัง ชาวอินเดียจำนวนมากได้แข็งข้อ ต้องการให้อินเดียเป็นเอกราชจากอังกฤษ และได้ก่อการแข็งเมือง ซึ่งวินสตันก็ได้เข้าร่วมสงคราม ปราบปรามชาวอินเดียที่แข็งข้อ
1
วินสตันขณะอยู่กองพันทหารม้า
วินสตันออกจากอินเดียในเดือนมีนาคม ค.ศ.1899 (พ.ศ.2442) และได้เดินทางไปแอฟริกาใต้เพื่อร่วมรบในสงครามบูร์ (Boer War)
สงครามบูร์เป็นสงครามระหว่างอังกฤษกับชาวบูร์ โดยต่างฝ่ายต่างต้องการจะปกครองแอฟริกาใต้
สงครามบูร์
ในระหว่างสงครามนี้เอง วินสตันได้ช่วยรถไฟอังกฤษจากการถูกซุ่มโจมตีของทหารบูร์ไว้ได้ แต่ตัววินสตันเองก็ได้ถูกฝ่ายตรงข้ามจับเป็นนักโทษ และขังเขาไว้ในห้องขัง
วินสตันได้ฉลองวันเกิดปีที่ 25 ในห้องขังฝ่ายศัตรู แต่เขาก็ได้หนีออกมาทางหน้าต่างห้องน้ำได้สำเร็จ
หนังสือพิมพ์ที่อังกฤษได้รายงานข่าววีรกรรมของวินสตัน ทำให้เขามีชื่อเสียงในอังกฤษ
วินสตันเดินทางกลับอังกฤษในปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) ในฐานะของวีรบุรุษสงคราม และเขาก็คิดว่าถึงเวลาที่เขาควรจะลงการเมือง
วินสตันไม่ต้องการจะรอให้พระราชินีแต่งตั้งตนให้มีตำแหน่งทางการเมือง แต่เขาอยากดำรงตำแหน่งจากการเลือกของประชาชน
วินสตันได้ลงเลือกตั้ง ชิงตำแหน่งในรัฐสภาและเขาก็ทำได้สำเร็จ
ภายหลังการเลือกตั้ง เขาก็ได้ออกเดินทางไปทั่วอังกฤษ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา โดยวินสตันได้ออกทัวร์บรรยายเรื่องต่างๆ ให้ประชาชนฟัง และเขายังทำรายได้เล็กๆ น้อยๆ ได้จากการบรรยายเรื่องเล่าสมัยสงครามบูร์อีกด้วย
สมัยแรกของวินสตันในรัฐสภาเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1901 (พ.ศ.2444)
ในเวลานั้น “สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร (Queen Victoria)” เพิ่งจะสวรรคตมาได้เพียงหนึ่งเดือน และพระประมุขพระองค์ใหม่ ก็คือ “สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร (Edward VII)”
สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร (Edward VII)
สมาชิกรัฐสภานั้น จะเป็นสมาชิกพรรคเสรีนิยม (Liberal Party) พรรคแรงงาน (Labour Party) และ พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) พรรคใดพรรคหนึ่ง
พรรคอนุรักษ์นิยมนั้นสนับสนุนเหล่าชนชั้นสูงในสังคม ในขณะที่พรรคแรงงานและพรรคเสรีนิยม จะเน้นไปที่กลุ่มชนชั้นแรงงานและคนยากจน
วินสตันได้กล่าวปราศรัยครั้งแรก หลังจากรับตำแหน่งในสภาได้เพียงสี่วัน
โดยปกติ สมาชิกสภาจะรอให้ผ่านไปซักพัก ถึงค่อยกล่าวปราศรัยแรก แต่วินสตันนั้นชอบการพูดต่อหน้าสาธารณชน เขาจึงไม่รีรอที่จะกล่าวปราศรัยแรกและทำได้ดี
ในทีแรก วินสตันเป็นสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม แต่ภายหลัง เขาก็เริ่มจะมีความเห็นไม่ตรงกับสมาชิกพรรคคนอื่นๆ
วินสตันต้องการจะช่วยเหลือเหล่าคนยากจน ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกอนุรักษ์นิยมสนใจหรือให้ความสำคัญ ในปีค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) วินสตันจึงย้ายไปอยู่พรรคเสรีนิยม
พรรคอนุรักษ์นิยมต่างไม่พอใจวินสตัน แต่เขาเลือกแล้ว และวินสตันก็เป็นผู้ที่มีความคิดเป็นอิสระ และไม่สนใจว่าใครจะว่าอย่างไร
ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) วินสตันได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการการค้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก
วินสตันได้พยายามช่วยเหลือเหล่าคนยากจน รวมทั้งคนตกงาน
ชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัวของวินสตันดูเหมือนจะอยู่ในช่วงที่รุ่งเรือง เขาชอบการออกงาน ดื่มกินอาหารดีๆ และพูดคุยสนุกสนาน
แต่วินสตันนั้นขี้อายเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิง ที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยได้ออกเดทกับผู้หญิงคนไหน สาเหตุก็มาจากเขาคิดว่าตัวเองไม่หล่อ เขานั้นทั้งอ้วนทั้งหัวเริ่มล้าน
วินสตันพบกับ “คลีเมนไทน์ (Clementine)” ครั้งแรกขณะเขาอายุได้ 34 ปี
คลีเมนไทน์ เชอร์ชิลล์ (Clementine Churchill)
คลีเมนไทน์นั้นมาจากครอบครัวชนชั้นสูงไม่ต่างจากวินสตัน ซึ่งในทีแรก วินสตันก็ไม่กล้าจะเข้าไปคุยกับคลีเมนไทน์ เขาเอาแต่จ้องมองอย่างเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในเดือนกันยายน ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451)
วินสตันในวันแต่งงาน
ทั้งคู่มีลูกด้วยกันห้าคน และวินสตันก็ชอบที่จะใช้เวลาอยู่กับลูกๆ
ในปีค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) วินสตันได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งวินสตันก็ได้ใช้ตำแหน่งนี้ ช่วยเหลือปรับปรุงคุณภาพชีวิตของนักโทษเมื่อพ้นโทษ ซึ่งตัวเขาเองนั้น ก็เคยถูกจับเป็นนักโทษในสมัยสงครามบูร์ เขาจึงเข้าใจดีว่าการเป็นนักโทษนั้นเป็นอย่างไร
1
ค.ศ.1911 (พ.ศ.2454) เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือ
วินสตันไม่รู้เลยว่าตัวเขาและกองทัพเรืออังกฤษกำลังจะมีบทบาทอย่างมากในประวัติศาสตร์โลก
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้านะครับ
โฆษณา