อาร์แซน เวนเกอร์ เคยพูดเอาไว้ว่าในทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ไม่ว่าจะมีนักเตะแนวรุกเก่งๆ มากมายแค่ไหน แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือ ทีมทีมนั้นจำเป็นที่จะต้องมีนักเตะประเภท "คนแบกเปียโน" อยู่ในทีมด้วย ทีมถึงจะประสบความสําเร็จ
"จิลแบร์โต้ ซิลวา" คือคนแบกเปียโนคนนั้นครับ
แม้ เธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ ปิแรส, เฟรดดี้ ลุงเบิร์ก จะเป็นสตาร์เด่นที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักจากการเล่นเกมรุกด้านบนของสนาม เช่นเดียวกับ ริวัลโด้, โรนัลดินโญ่ และ โรนัลโด้ ที่เป็นบุคคลสำคัญซึ่งคอยทำประตูให้กับ บราซิล ในฟุตบอลโลก จนคว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่
แต่ตรงกลางค่อนไปทางช่วงล่างสนาม คือพื้นที่สำคัญที่เป็นกุญแจแห่งชัยชนะของทีมเช่นเดียวกัน และตรงนั้นก็มี จิลแบร์โต้ คอยยืนกำกับการแสดงอยู่อย่างเงียบเชียบ ทว่า ทีมไม่สามารถขาดเขาได้เลย
"การลงเล่นเป็นตัวเก็บกวาดมันค่อนข้างยากและใช้พลังงานเยอะพอสมควร ผมต้องดูแลร่างกายให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เพราะต้องดูแลพื้นที่ให้ครอบคลุมเพื่อทำให้ทีมครองเกมเอาไว้ในมือให้ได้" จิลแบร์โต้ เล่า
"ผมต้องห้ามหลุดตำแหน่งที่ดูแลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเติมเกมบุก ผมต้องแน่ใจว่าเมื่อทีมโดนโต้กลับมา ผมจะต้องกลับไปอยู่ในตำแหน่งของตัวเองได้ทันท่วงที"
บางคนอาจบอกว่างานที่เขาทำมันดูง่ายดาย เพียงแค่รับบอลมาและส่งออกไปง่ายๆ ในระยะไม่กี่เมตร แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ การเล่นให้เรียบง่ายที่สุดแบบนี้นี่แหล่ะ มันยากกว่าที่คิดเยอะเลยทีเดียว
"ตั้งแต่เด็ก ผมถูกปลูกฝังให้ส่งบอลเป็นร้อยๆ พันๆ ครั้งทุกวัน การแปบอลง่ายๆ ให้ตรงจุด มันไม่ง่ายและไม่ค่อยสนุกเท่ากับการเลี้ยงบอลไปยิงประตูหรอกนะ แต่สำหรับผมแล้ว การฝึกทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นมาตลอด มันกลับเป็นความสนุกขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ"
จิลแบร์โต้ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกตั้งแต่อายุ 12 แต่ด้วยความที่ฐานะทางบ้านยากจนมาก เขาจึงหยุดเล่นฟุตบอลไปหลายปี เนื่องจากรายได้จากการเตะฟุตบอลในตอนนั้น มันไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้
เมื่ออายุได้ 21 จิลแบร์โต้ หวนกลับมาสวมสตั๊ดลงเล่นอาชีพอีกครั้งกับสโมสร อเมริกา มิเนโร่ โดยเริ่มต้นเล่นในตำแหน่ง เซนเตอร์ฮาล์ฟ ก่อนที่การย้ายทีมไปอยู่กับ แอตเลติโก มิเนโร่ ในภายหลังจากนั้น จะเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
"ฉันว่านายมีเทคนิคที่ดีมากกว่าจะเล่นกองหลัง นายลองไปเล่นเป็นกองกลางตัวรับดูสิ จิลแบร์โต้"
คาร์ลอส อัลแบร์โต้ เปย์เรย์ร่า อดีตผู้จัดการทีมชาติบราซิล ซึ่งคุม แอตเลติโก มิเนโร่ ในเวลานั้น คือคนแรกที่มองเห็นแววของความเป็นยอดกองกลางจากตัว จิลแบร์โต้
"เมื่อคุณเริ่มต้นก้าวแรก คุณยังคงเป็นได้แค่นักฝัน ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ทำสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในปัจจุบันให้ออกมาดีที่สุด ต้องพยายามพาตัวเองไปเล่นในที่ที่ดีกว่าเดิม ในทีมที่มีการแข่งขันมากกว่าเดิม เมื่อนั้นคุณจะเก่งขึ้น แล้วโอกาสต่างๆ จะวิ่งมาหาคุณเอง นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อมาโดยตลอด"
จิลแบร์โต้ กับบทบาทใหม่ในฐานะกองกลาง กลายเป็นของดีที่สร้างความประหลาดใจให้คนในในวงการลูกหนัง บราซิล เป็นอย่างมาก ฟอร์มการเล่นของเขาไปเข้าตาของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ นายใหญ่ทีมชาติเข้าอย่างจัง
แต่ที่ปุบปับรับโชคมากกว่านั้น นั่นก็คือก่อนทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกจะเริ่ม กองกลางตัวจริงอย่าง เอเมอร์สัน ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องถอนตัวออกไป จึงทำให้ จิลแบร์โต้ ซิลวา ผงาดขึ้นมาเป็นกองกลางตัวจริงของ บราซิล ชุดนั้นอย่างพลิกโผ
7 นัดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ จิลแบร์โต้ ไม่พลาดการลงสนามเลยสักนาทีเดียว เขาสถาปนาตัวเองเป็นห้องเครื่องคนสำคัญ เป็นคนที่ทำให้ 3R เดินเกมรุกบนแดนคู่แข่งได้อย่างสบายใจ เป็นคนที่ทำให้เกมตรงกลางของ บราซิล เกิดสมดุลจนทำให้พวกเขาไปไกลจนถึงตำแหน่งแชมป์โลกได้ในที่สุด
และในมุมหนึ่งจากลอนดอน, อาร์แซน เวนเกอร์ รีบยกหูโทรศัพท์กริ๊งกร๊างหา เดวิด ดีน อย่างเร็วจี๋
"นายได้ดูเกมของบราซิลบ้างมั้ย? ฉันอยากได้ตัวกองกลางของพวกเขา คนที่ชื่อ จิลแบร์โต้ ซิลวา นายพอจะมีทางรีบดึงตัวหมอนั่นมาอยู่กับเราก่อนที่ทีมอื่นจะเริ่มไหวตัวได้มั้ย"
เดวิด ดีน ยังไม่เข้าใจอะไรมากนักในตอนนั้น แต่เขาก็รีบเดินเรื่องเพื่อยกขันหมากไปสู่ขอนักเตะโนเนมที่ เวนเกอร์ ต้องการในทันที
4.5 ล้านปอนด์ คือค่าตัวของ จิลแบร์โต้ หลังจบฟุตบอลโลก ซึ่ง เวนเกอร์ บอกว่านี่คือการเซ็นสัญญาที่ถูกเหมือนได้เปล่ายังไงยังงั้นเลย
"จิลแบร์โต้ สามารถเล่นได้หลากหลายในแดนกลาง ทั้งตัวคุมเกม ตัวโฮลด์บอล ตัวตัดเกม กระทั่งให้ถอยไปเล่นเซนเตอร์ก็ยังได้ แต่ผมรู้ดีว่าเด็กคนนี้เกิดมาเพื่อเล่นกองกลางตัวรับ นั่นคือตำแหน่งที่ดีที่สุดของเขา"
ในขณะที่ อาร์เซน่อล เซ็น จิลแบร์โต้ มาร่วมทีม ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เซ็น เคลแบร์สัน มาร่วมทีมเช่นเดียวกัน และมันก็กลายเป็นการเปรียบเทียบไปโดยปริยาย
จิลแบร์โต้ ยึดตัวจริงของ อาร์เซน่อล ได้อย่างรวดเร็ว การมาถึงของเขาสามารถเติมเต็มช่องว่างที่ เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ทิ้งไว้ได้อย่างไร้ที่ติ เขาจับคู่กับ ปาทริค วิเอร่า ได้อย่างน่าเกรงขาม โดยเฉพาะฤดูกาล 2013-14 ที่ อาร์เซน่อล กลายเป็นแชมป์ไร้พ่าย
ดาวเตะชาวบราซิลเล่นให้ อาร์เซน่อล อยู่ถึง 6 ฤดูกาล ลงสนามไป 244 นัด ยิงได้ 24 ประตู คว้าแชมป์ลีก 1 ครั้ง และเอฟเอ คัพ อีก 2 ครั้ง ซึ่งในวันที่เขาอำลาทีมไป แฟนๆ เดอะ กันเนอร์ส ต่างอาลัยและให้เกียรติเขาอย่างสูงไม่แพ้ตำนานคนอื่นๆ เลยทีเดียว
"ผมสามารถมองย้อนกลับไปมองเส้นทางที่ผ่านมาได้ด้วยความภาคภูมิใจ จากคนที่เกือบเลิกเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพไปแล้ว จู่ๆ ก็มาไกลถึงแชมป์โลก และได้มาอยู่กับ อาร์เซน่อล พร้อมได้รับความรักจากแฟนๆ มาโดยตลอด"
"ผมดีใจนะที่ทุกวันนี้พวกเขายังคงพูดถึงผมอยู่ เป็นเกียรติมากที่ได้ยินว่านักเตะแบบผม คือคนสำคัญของทีมไม่แพ้ตัวรุกคนอื่นๆ พวกเขาเรียกผมว่า คนแบกเปียโน ของทีม ซึ่งมันทำให้ผมดีใจมากที่นักเตะในตำแหน่งนี้ ได้รับการพูดถึงมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย"
น้อยแต่มาก
เรียบง่ายแต่ทำได้ยาก
ทรงประสิทธิภาพแต่ไม่หวือหวา
ถ้อยคำข้างต้น น่าจะเป็นคำจำกัดความที่แสดงออกถึงความเป็นคนแบกเปียโนมือทองที่ชื่อว่า จิลแบร์โต้ ซิลวา ได้ชัดเจนที่สุดแล้ว
และนับตั้งแต่วันนั้น...
อาร์เซน่อล ก็ยังคงตามหาคนแบกเปียโนเก่งๆ แบบ จิลแบร์โต้ ไม่เจออีกเลย