30 พ.ค. 2020 เวลา 12:30 • ประวัติศาสตร์
กบฏธรรมเถียร บัณฑิตติดไฝและไพร่ชาวนา
รัชกาลสมเด็จพระเพทราชาเป็นยุคสมัยที่มีความวุ่นวายทางการเมืองสูง เพราะมีการก่อกบฏเกิดขึ้นมากที่สุดยุคสมัยหนึ่ง
แม้ว่าการ “ปฏิวัติ” ของสมเด็จพระเพทราชาเพื่อกำจัดฟอลคอนและอิทธิพลของฝรั่งเศสออกไปจากสยามจะได้รับการสนับสนุนจากทั้งพระราชวงศ์ชั้นสูง ข้าราชการ พระภิกษุสงฆ์ และราษฎรจำนวนมากในระยะแรก แต่เมื่อพระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์สองพระองค์คือเจ้าฟ้าอภัยทศและเจ้าฟ้าน้อยที่หลายฝ่ายนับถือว่าเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรมถูกสำเร็จโทษ แล้วสมเด็จพระเพทราชาเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเองหลังจากสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต ทำให้เกิดกระแสตีกลับไปต่อต้านสมเด็จพระเพทราชาแทน
กบฏธรรมเถียรตั้งทัพริมทำนบรอทางเหนือกรุงศรีอยุทธยา จิตรกรรมโคลงภาพพระราชพงศาวดาร สมัยรัชกาลที่ ๕ เขียนโดยพระคด ที่มาภาพ : https://www.silpa-mag.com/history/article_16882
หลักฐานชั้นต้นคือจดหมายเหตุของบาทหลวงเดอ แบซ (Claude de Bèze) ระบุว่า มีคนจำนวนมากแม้แต่พระสงฆ์ที่เคยสนับสนุนพระองค์แสดงออกถึงความไม่พอใจและประณามสมเด็จพระเพทราชาอย่างเปิดเผย เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาที่กรุงศรีอยุทธยาก็เกิดการลุกฮือต่อต้านจากหลายฝ่ายอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ต้องมีการปราบปรามกบฏหลายครั้งนับตั้งแต่ช่วงแรกของการขึ้นครองราชย์
หนึ่งในกบฏสำคัญช่วงต้นรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาคือ “กบฏธรรมเถียร” ที่เกิดขึ้นในปลายเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๖๘๙ (พ.ศ. ๒๒๓๒)
ธรรมเถียร เป็นข้าหลวงเดิมของเจ้าฟ้าอภัยทศ (ทรงมีอีกพระนามว่า ‘เจ้าพระขวัญ’) เอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดระบุว่าเป็น “บัณฑิต” แสดงว่าเป็นผู้ที่ผ่านการบวชเรียนศึกษาพระธรรมมาแล้ว สอดคล้องกับชื่อธรรมเถียรที่เข้าใจว่าเป็นฉายานามสื่อถึงผู้มั่นคงในธรรม
หลักฐานชั้นต้นของดัตช์คือจดหมายเหตุรายวัน (Daghregister) ของ ปีเตอร์ ฟาน เด็น โฮร์น (Pieter van den Hoorn) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Vereenigde Oostindische Compagnie; VOC) ประจำสยามในเวลานั้น อ้างคำให้การของ ดาเนียล บร็อชบูร์ด (Daniel Brochebourde) ศัลยแพทย์หลวง ที่ได้รับข้อมูลมาจากสมเด็จพระเพทราชาอีกต่อหนึ่ง ระบุว่าธรรมเถียรเป็นพระภิกษุที่ทำความผิดที่เมืองตะนาวศรี จึงถูกส่งตัวมาที่กรุงศรีอยุทธยา แต่สามารถหลบหนีจากการจองจำไปได้ สอดคล้องกับจดหมายเหตุของ เอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ชาวเยอรมันที่เดินทางเข้ามาในสยามพร้อมคณะทูตดัตช์เมื่อ ค.ศ. ๑๖๙๐ (พ.ศ. ๒๒๓๓) ระบุว่าธรรมเถียรเป็น “พระมอญ” (Peguaan ʃche Prieʃter) ที่เคยถูกจองจำอยู่ที่กรุงศรีอยุทธยา และรู้ความเป็นไปของราชสำนักดี
.
จารึกวัดโพธิ์หอม อำเภอกงไกรลาส จังหวัดสุโขทัย มีเนื้อหากล่าวถึง “ม่หาถำม่เทยีร” (มหาธรรมเถียร?) และ “ญ่ศเทยีร” (ยศเถียร?) พี่น้อง ๒ คนได้สร้างพระพุทธเจ้าในวัดเหนือเมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๐๒๕ (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. ๒๐๒๔) สร้างวัดใต้ในปีฉลู พ.ศ. ๒๐๒๘ (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. ๒๐๒๗) และสร้างพระเจดีย์ในปีมะโรง พ.ศ. ๒๒๓๒ (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. ๒๒๓๑) พร้อมจารึกคำอธิษฐานว่า ขอให้เกิดในตระกูลทั้ง ๓ คือเศรษฐี มหาพราหมณ์ มหากษัตราธิราช และขอให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พิจารณาจากช่วงเวลาแล้ว “ม่หาถำม่เทยีร” อาจเป็นบุคคลเดียวกับธรรมเถียรผู้นี้
จารึกวัดโพธิ์หอม ตำบลดงเดือย อำเภอกงไกรลาส จังหวัดสุโขทัย มีเนื้อหากล่าวถึง “ม่หาถำม่เทยีร” (มหาธรรมเถียร?) และ “ญ่ศเทยีร” (ยศเถียร?) พี่น้อง ๒ คน ที่มาภาพ : https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/612
หลังจากเจ้าฟ้าอภัยทศถูกสำเร็จโทษ ธรรมเถียรหลบหนีไปอยู่แขวงเมืองตะวันออก แล้วเริ่มก่อจลาจลขึ้นในแขวงเมืองนครนายก พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่า ธรรมเถียรออกอุบายโกหกว่าเจ้าฟ้าอภัยทศยังไม่ตาย โดยตัวธรรมเถียรเอามารักษาไว้อย่างมิดชิด เวลาผู้จากับชาวบ้านผู้ใหญ่ก็เข้าไปในม่านทำทีเป็นทูลเจ้าฟ้าอภัยทศที่อยู่ข้างในม่านเบาๆ โดยดัดเสียงเป็น ๒-๓ เสียง ผู้คนชาวบ้านในลุ่มแม่น้ำป่าสักแขวงเมืองสระบุรี แขวงเมืองลพบุรี แขวงขุนละครพากันหลงเชื่อมาเข้าด้วยเป็นอันมาก
ในขณะที่พงศาวดารฉบับอื่นๆ ระบุว่าธรรมเถียรนั้นปลอมตัวเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศตั้งแต่แรก ด้วยการเอาไฝมาติดใบหน้า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นเจ้าฟ้าอภัยทศก็หลงเชื่อว่าเป็นตัวจริง มาเข้าร่วมด้วยจำนวนมาก
การกระทำของธรรมเถียรเป็นการเสริมสร้างฐานอำนาจของตนเองโดยอาศัยบารมีของเจ้าฟ้าอภัยทศผู้มีความชอบธรรมที่จะได้รับราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระนารายณ์ และยังเป็นการประกาศบารมีในฐานะ “ผู้มีบุญญาธิการ” ที่ถูกสำเร็จโทษแต่ไม่ตาย จึงทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเข้าร่วมเป็นอันมาก ดังที่เอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดระบุว่า
“ฝ่ายอาณาประชาราษฎรทั้งปวงนั้น เลื่องฦๅกันว่าพระขวัญนี้มีบุญญาธิการนักหนา ถึงฆ่าเสียแล้วก็ไม่ตาย เพราะเหตุฉนี้อ้ายธรรมเถียรมันจึ่งทำมาให้แทนที่ มันจึ่งติดไฝที่แก้มแล้ว ทำเปนพูดจาพาทีให้เหมือน ว่าตัวนี้เปนผู้มีบุญ อันคนในแว่นแคว้นแดนประสักนั้นจงรักภักดีแล้วเข้าอุดหนุนเข้าเกลี้ยกล่อม บ้างก็ยอมลงทุน บ้างก็อุดหนุนตกแต่งให้ทั้งเครื่องอุปโภคต่าง ๆ นา ๆ”
.
จดหมายเหตุรายวันของฟาน เด็น โฮร์น รายงานว่าในช่วงต้น พ.ศ. ๒๒๓๒ มีความไม่สงบในแถบเมืองตะนาวศรีและนครศรีธรรมราช ในกรุงศรีอยุทธยาเองมีโจรผู้ร้ายปล้นฆ่าวางเพลิงชุกชุม จนทางการต้องรักษาความปลอดภัยในพระนครอย่างเข้มงวด ออกญายมราชเสนาบดีกรมพระนครบาลขยายขอบเขตการสอบสวนเข้าไปถึงชุมชนชาวต่างประเทศทั้งชาวโปรตุเกสและดัตช์ โดยนำตัวผู้อยู่อาศัยบางคนไปสอบสวน ทางการยังแสดงความกังวลถึงความปลอดภัยของชาวดัตช์ โดยเจ้าพระยาศรีธรรมราช (ปาน) เสนาบดีกรมพระคลังได้ขอให้ดัตช์เพิ่มลูกจ้างในสถานีการค้ามากขึ้น และแนะนำอย่างจริงจังให้มีการจัดเวรยามตอนกลางคืน VOC จึงทำการสำรวจสำมะโนครัวในชุมชนของตนเพื่อตรวจสอบคนแปลกปลอม ทั้งนี้ ฟาน เด็น โฮร์น สงสัยว่าทางการไทยกำลังปิดบังเรื่องที่ร้ายแรงบางอย่างอยู่ ในเวลาเดียวกันราชสำนักยังเบี่ยงเบนความสนใจของราษฎรที่กำลังหวาดกลัวโจรผู้ร้ายด้วยการจัดงานเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่อย่างใหญ่โต และมีการเปิดวัดวาอารามทุกแห่งทั่วอาณาจักรในวันขึ้นปีใหม่ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาหลายปี
ในเดือนมีนาคม ออกญายมราชจับคน ๒๐ คนไป “ทรมานอย่างหนัก” เพื่อสอบสวนเรื่องข่าวลือว่าพระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เข้าใจว่าในเวลานั้นข่าวเรื่องธรรมเถียรได้แพร่มาถึงกรุงศรีอยุทธยาแล้ว
ปราสาทนครหลวง ตำบลนครหลวง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถานที่ตั้งทัพของกบฏธรรมเถียรก่อนโจมตีกรุงศรีอยุทธยา
ในเดือน ๓ พ.ศ. ๒๒๓๒ ธรรมเถียรรวบรวมพรรคพวกพร้อมแล้ว ขึ้นขี่ช้างพลายกาง ถือพัดโบก คุลา (หมายถึงชาวต่างประเทศ) ข้าในเรือนขี่ท้ายช้าง ยกมาตามทางท้องทุ่ง กวาดต้อนฝูงชนชายหญิงซึ่งทำนาอยู่เข้ามาเป็นพรรคพวกจำนวนมาก “ฝูงชนทั้งนั้นคิดว่าพระขวัญจริง บ้างได้หอกดาบแลคันหลาว คานหาบข้าวแลเคียว ก็ห้อมล้อมมา”
จากนั้นธรรมเถียรจึงเข้าไปอยู่ที่ตำหนักพระนครหลวง ซึ่งเป็นที่ทรงประทับร้อนอยู่เหนือกรุงศรีอยุทธยาไม่ไกลนัก “เข้าไปสวรตัวปั้นเป็นไฝดำไฝแดงติดเข้าให้เหมือนเจ้าพระขวัญ”
มีข้าราชการบางคนไปเข้าร่วมกับธรรมเถียรด้วย ปรากฏในเอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดว่า “...จนแต่หลวงเทพราชาที่รักษาวังอยู่ที่พระนครหลวงนั้น ก็เอาเครื่องสูงเกณฑ์แห่มาได้ครบครัน กับขุนศรีคชกรรม์กองช้างที่อยู่ป่าอรัญญิกนั้น ก็เอาพลายมงคลรัตนาศน์ไปกำนัน ช่างพากันไปด้วยคนร้าย...”
ธรรมเถียรตั้งอยู่ที่ตำหนักพระนครหลวงได้ ๓ วันจึงส่งคนไปนิมนต์พระพรหม วัดปากคลองช้าง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนารายณ์และเจ้าฟ้าอภัยทศว่า เจ้าฟ้าอภัยทศเสด็จมาอยู่ตำหนักพระนครหลวงแล้ว ให้นิมนต์ขึ้นไป
พระพรหมจึงกล่าวกับผู้มานิมนต์ว่า “ถ้าลูกกูยังอยู่จริง จะอยู่ใยแต่พระนครหลวงเล่า ก็จะมาหากูถึงวัด สูเจ้าอย่าเชื่อฟังมันจะพลอยตายเสียเปล่า” ผู้ไปนิมนต์กลับไปบอกกับพรรคพวก จึงพากันแตกหนีไปจำนวนมาก
.
หลักฐานดัตช์ระบุว่าวันก่อการของธรรมเถียรคือวันที่ ๒๔ เมษายน ค.ศ. ๑๖๘๙ พระราชพงศาวดารระบุว่าตอนรุ่งเช้า ธรรมเถียรขี่ช้างผูกกระโจมแดง เอาอภิรุมกรรภิรมย์เครื่องสูงของตำหนักพระนครหลวงกั้นแห่หน้าแห่หลังทำเหมือนเจ้านายเสด็จ ยกไพร่พลลงไปกรุงศรีอยุทธยา ประกาศแก่คนทั้งหลายว่า “ตัวกูคือเจ้าฟ้าอภัยทศ จะยกลงไปตีเอาราชสมบัติคืนให้จงได้”
ชาวบ้านที่ได้ยินก็หลงเชื่อ “...ต่างคนก็ถือเครื่องศัสตราวุธต่าง ๆ ตามมี ที่ไม่มีอาวุธสิ่งใดก็ถือพร้าบ้าง บ้างก็ได้ปฏักและเคียว แห่ห้อมล้อมช้างขบถธรรมเถียรมาเป็นอันมาก และโห่ร้องยกมาทางคลองบ่อโพง จะเข้ามายังเพนียด”
คำให้การขุนหลวงหาวัดระบุใกล้เคียงกันว่า “...อันอ้ายธรรมเถียรนั้นมันคิดผิดผลที่มันจักตาย แต่งตัวขึ้นขี่ช้างแล้ว แห่แหนมาด้วยอภิรุมชุมสายเปนอันมาก เมื่อยกทัพมากลางทางที่คนรู้ก็ไปเข้าด้วย ลางคนแต่มือเปล่าก็เข้ามาหา ลางคนก็ได้แต่พร้าวิ่งตามไป”
พระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) กล่าวถึงไพร่พลของธรรมเถียรว่า “เอาช้างมงคนรัตะนาศซึงอยู่ลพบุรียขีเฃ้ามา ไพร่ซึ่งมาดอัยนั้นประมาณ ๕๐๐ ไพร่ชาวนาเกยีวเฃ้าถืวหอกบาง คานหลาวบัาง” ในขณะที่คำให้การขุนหลวงหาวัดระบุว่ามีไพร่พลถึง ๒,๐๐๐ คน สอดคล้องกับหลักฐานดัตช์ที่ระบุว่ามีผู้เข้าร่วมหลายพันคน
เค็มพ์เฟอร์ระบุว่ากบฏเหล่านี้ "ส่วนมากเป็นโจรที่ไม่มีระเบียบวินัย" และ "เคลื่อนเข้ามากรุงอย่างไร้ระเบียบ"
ภาพถ่ายการคล้องช้างที่เพนียดกรุงเก่า สมัยรัชกาลที่ ๕
พระราชพงศาวดารระบุว่า วันนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระเจ้าเสือ) เสด็จไปทอดพระเนตรมวยที่เพนียด (บ้างก็ว่าเสด็จทรงช้างไปทอดพระเนตรให้จับช้างอยู่กลางแปลง) มีผู้มากราบทูลว่าพวกกบฏจะเข้ามาตีกรุง จึงมีพระบัณฑูรตรัสใช้ตำรวจให้เอาม้าเร็วรีบออกไปสืบดู เห็นพวกกบฏมาถึงตำบลบ่อโพงจะข้ามคลองช้าง แล้วเห็นพันชัยธุชที่ธรรมเถียรแต่งตั้งไว้ให้ถือธงขี่กระบือนำหน้าพลมาก่อน ตำรวจจับตัวไว้ได้ไปถวายกรมพระราชวังบวรฯ
กรมพระราชวังบวรฯ จึงมีพระบัณฑูรตรัสพันชัยธุชถามว่า “ใครยกมา” พันชัยธุชกราบทูลว่า “เจ้าฟ้าอภัยทศยกมา” จึงตรัสว่า “ยกมาก็สู้กัน เราจะกลัวอะไร” แล้วจึงทอดพระเนตรไปเห็นกบฏยกพลเข้ามาตามท้องทุ่ง จึงมีพระบัณฑูรให้ขุนอินทราธิบาล เจ้ากรมพระตำรวจในซ้ายวังหน้า ไปกราบทูลสมเด็จพระเพทราชาให้ทรงทราบ
สมเด็จพระเพทราชาจึงทรงช้างต้นพลายมงคลจักรพาฬเสด็จไปวังหน้า แล้วมีพระราชโองการให้มหาดเล็กไปอัญเชิญพระแสงขอพลพ่ายของสมเด็จพระนเรศวรที่ใช้กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจากโรงแสงมาถวาย (นัยว่าเป็นมงคลเอาฤกษ์เอาชัย)
ฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ จะทรงเสด็จรับศึกที่เพนียด แต่เจ้าพระยาธารมาเสนาบดีกรมวังกราบทูลว่าที่เพนียดนี้ลังเลหนัก ขอพระราชทานเชิญเสด็จเข้าไปรับในกรุงเห็นมั่นคงกว่า จึงเสด็จกลับเข้าพระนคร
พระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ระบุว่า กรมพระราชวังบวรฯ เข้าไปกราบทูลสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเพทราชาตรัสว่า “ถ้าผู้มีบุญมาจริงแล้วเราจะยกให้”
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จไปป้อมมหาชัยเตรียมการรับศึก ฝ่ายธรรมเถียรขี่ช้างเข้ามาริมวัดมหาโลก เข้ามาถึงกลางทำนบรอทางเหนือพระนคร กรมพระราชวังบวรฯ จึงมีพระบัณฑูรให้ตำรวจออกไปดูตัวให้แน่ ตำรวจกลับมากราบทูลว่าไม่ใช่เจ้าฟ้าอภัยทศ จึงมีพระบัณฑูรให้ระดมยิงปืนใหญ่ออกไปพร้อมกัน ถูกพวกกบฏบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก สุดท้ายธรรมเถียรกับพรรคพวกก็แตกพ่ายหลบหนีไป
ฝ่ายสมเด็จพระเพทราชาเสด็จพระราชดำเนินไปถึงต้นสะพานช้าง มหาดเล็กซึ่งรับสั่งใช้ให้ไปเชิญพระแสงขอพลพ่ายมากราบทูลถวาย ทรงรับพระแสงพาดตะพองช้างต้น พอดีกรมพระราชวังบวรฯ รับสั่งให้ขุนพรหมธิบาล เจ้ากรมพระตำรวจในขวาวังหน้าเข้ามากราบทูลว่ากบฏแตกพ่ายไปแล้ว สมเด็จพระเพทราชาจึงรับสั่งให้ไปจับกุมพวกกบฏ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังหลวง
ภาพประกอบ : ภาพสเก๊ตช์แผนที่กรุงศรีอยุทธยาของเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ชาวเยอรมันที่เดินทางเข้ามาในสยามพร้อมคณะทูตดัตช์เมื่อ ค.ศ. ๑๖๙๐ (พ.ศ. ๒๒๓๓) รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา กรอบสี่เหลี่ยมมุมบนซ้ายของเกาะเมืองคือพระราชวังหน้า สถานที่รับศึกกบฏธรรมเถียร เยื้องไปทางซ้ายบนเล็กน้อยตรงรอยหยดหมึกสีดำคือตำแหน่งของทำนบรอ สถานที่ตั้งทัพของกบฏธรรมเถียร
ฟาน เด็น โฮร์น บันทึกเหตุการณ์กบฏธรรมเถียรไว้ละเอียดกว่าพงศาวดาร และระบุว่าใช้เวลาปราบปรามถึง ๓ วันกว่าจะได้รับชัยชนะ ต่างจากพระราชพงศาวดารส่วนใหญ่ที่นำเสนอภาพการปราบกบฏเสร็จสิ้นภายในวันเดียว
ฟาน เด็น โฮร์น ระบุว่า วันที่ ๒๔ เมษายน เป็นบ่ายวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ ออกขุนทรงพาณิชย์ ผู้เป็นล่าม รีบเดินทางมาที่สำนักงานของ VOC เพื่อรายงานว่า เมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านั้น กรมพระราชวังบวรสถานมงคลและข้าหลวงของพระองค์ถูก “โจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว” จากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ในขณะที่เสด็จประพาสอยู่บริเวณวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากพระนคร ๒ ไมล์ครึ่ง ใกล้กับเพนียดทางเหนือของพระนคร กรมพระราชวังบวรฯ ทรงหลบหนีอย่างลำบากกลับมากราบทูลพระราชบิดา โดยทรงอยู่ในสภาพไม่สู้ดีจากความตกพระทัยและความเหนื่อยล้า
ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระเพทราชาจึงมีพระราชโองการให้ออกญามหามนตรี สมุหพระตำรวจในขวา คุมไพร่พล ๑๒,๐๐๐ นาย ออกไปปราบปรามกบฏ ประตูพระนครทั้งหมดถูกปิด ถนนทุกสายกับพระราชวังหลวงและพระราชวังหน้าถูกคุมกันอย่างแน่นหนา เกิดข่าวลือว่าผู้นำกบฏคือพระอนุชาพระองค์เล็กของสมเด็จพระนารายณ์ที่รอดชีวิต ดัตช์เห็นว่าการโจมตีของกบฏเป็นไปอย่าง “ฉับพลันและคาดไม่ถึง” ทำให้ราษฎรทั่วไปเกิดความตกตะลึง และไม่รู้ว่าควรจะเข้ากับฝ่ายใดระหว่างสมเด็จพระเพทราชาหรือฝ่ายกบฏ
ในเวลา ๕ โมงเย็น ชาวดัตช์ที่สถานีการค้าทางใต้พระนครได้ยินเสียงการสู้รบ มีผู้คนจำนวนมากล่องเรือหนีออกมาจากพระนครจนทั้งแม่น้ำเต็มไปด้วยเรือใหญ่น้อย ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็แทบไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่นอกจากชาวโปรตุเกสที่นำทรัพย์สิน เช่น อัญมณีเงินทองมาฝากไว้ที่สำนักงานของ VOC เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปล้นชิง สมเด็จพระเพทราชามีพระราชโองการให้นายกองโปรตุเกส ๖ นายไปประจำการตามจุดสำคัญและป้อมปราการของพระนคร โดยทรงปล่อยหญิงสาวลูกครึ่งที่มีบิดาเป็นชาวโปรตุเกสและมารดาเป็นคนพื้นเมือง ที่ถูกจับกุมตั้งแต่การ “ปฏิวัติ” ขับไล่ฝรั่งเศสเป็นการแลกเปลี่ยน
.
วันที่ ๒๕ เมษายน การสู้รบยังคงดำเนินอยู่ มีผู้คนหลบหนีออกจากพระนครเป็นครั้งที่สองจน ฟาน เด็น โฮร์น บรรยายว่าเรือที่ล่องมาจากพระนครจำนวนมหาศาลทำให้แม่น้ำสั่นไหวจนเกิดฟองคลื่นเหมือนในทะเล ออกขุนทรงพาณิชย์ตัดสินใจส่งภรรยาของตนที่เคยเป็นนางข้าหลวงของพระอนุชาสมเด็จพระนารายณ์ไปตีเพนียดเพื่อสืบข่าว นางเดินทางไปถึงสถานที่ที่กบฏเคยตั้งอยู่ก่อนหน้านั้นแต่ให้การว่าไม่พบพวกกบฏแล้ว แต่ได้ยินจากชาวบ้านในแถบนั้นว่าพวกเขาเห็นเจ้าบนหลังช้างพริบตาหนึ่งก่อนจะหายตัวไป
.
วันที่ ๒๖ เมษายน ออกญามหามนตรีปราบปรามกบฏได้สำเร็จ สังหารกบฏไป ๑๐๐ คน จับกุมกบฏได้ ๓๐๐ คน และช้าง ๓ เชือก ทั้งหมดถูกส่งไปยังพระราชวังหลวง พวกกบฏที่เหลือต่างหลบหนีลงน้ำหรือเข้าป่าไปทั้งสิ้น
.
ไม่กี่วันถัดมา ดาเนียล บร็อชบูร์ด ศัลยแพทย์หลวงได้ให้ข้อมูลเรื่องผู้นำกบฏที่ตัวเขาได้ยินมาจากสมเด็จพระเพทราชาให้ทราบ จากการสอบสวนกบฏที่ถูกจับกุมได้ให้การว่าผู้นำกบฏเป็นพระภิกษุที่ทำความผิดที่เมืองตะนาวศรีแล้วถูกส่งตัวมาที่กรุงศรีอยุทธยา แต่หลบหนีไปได้ พระรูปนี้อ้างตัวเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ที่หลบซ่อนตัวอยู่และอ้างสิทธิในราชสมบัติ ใช้วิชาอาคมทำให้ “ผู้คนที่โง่เขลา” จำนวนหลายพันคนทั้งที่มีอาวุธและไม่มีอาวุธหลงเชื่อสนับสนุน ในเวลานี้กบฏถูกปราบปรามแล้ว สมเด็จพระเพทราชาทรงมีรับสั่งว่าทรงคาดหวังว่าพระกบฏจะถูกจับกุมในเร็ววัน และยังทรงแย้มพระสรวลพร้อมกับตรัสว่า “จะได้เห็นว่าตายแล้วฟื้นคืนชีพมีจริงหรือไม่”
.
วันที่ ๒๙ เมษายน เวลากลางคืน พระกบฏถูกจับกุมตัวในขณะที่นอนหลับอยู่ในป่า พร้อมกับเด็กคนหนึ่ง (พระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) ระบุว่าธรรมเถียรถูกจับที่สวนดอกไม้วัดสีฟัน พระราชนิพลพงศาวดารกรุงสยามระบุว่าถูกจับที่วัดทนานป่าข้าวสาร) ถูกนำตัวมายังพระราชวัง แล้วให้มัดคอมัดอกไว้กับหลักที่ทางแยก ประจานให้ข้าราชการที่ผ่านไปมามองเห็น
เนื่องจากมีกบฏที่จับได้มีจำนวนมากยากจะควบคุมได้หมด เจ้าหน้าที่จึงเอาไฟนาบฝ่าเท้ากบฏคนสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนี แต่แม้ว่าธรรมเถียรจะถูกคุมตัวอยู่ในพระราชวังถึง ๔ วัน ยังคงมีคนบางกลุ่มยังคงเชื่อว่าพระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ขัดกับพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเพทราชา
เค็มพ์เฟอร์บันทึกจุดจบของธรรมเถียรไว้ว่า หลังจากถูกจับประจานอยู่หลายวันได้ถูกแหวะท้องทั้งเป็น ควักเอาไส้พุงออกมาให้สุนัขกิน
สำหรับกบฏคนอื่นๆ ปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า “...พวกซึ่งเป็นต้นเหตุนั้น ทรงพระกรุณาให้ลงพระราชอาญาถึงสิ้นชีวิตเป็นอันมาก แต่ที่เป็นปลายเหตุนั้น ทรงพระมหากรุณาให้ลงพระราชอาชญาขับเฆี่ยนตีโบยแล้วส่งไปทำสำเภาเข้าคุก เป็นตะพุ่นหญ้าช้างเป็นอันมาก ที่แตกหนีเข้าป่าดงไปก็มาก จนบ้านแขวงเมืองสระบุรีเมืองลพบุรี แขวงขุนละคร ร้างเข้าเสียหลายตำบล”
.
แม้ว่ากบฏธรรมเถียรส่วนใหญ่เป็นไพร่ชาวนาชาวชนบท แต่ไม่ปรากฏว่ามีอุดมการณ์ทางการเมืองในแง่การปฏิวัติของชนชั้นไพร่อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมเพราะหลงเชื่อคำโกหกของธรรมเถียรที่อ้างตัวเป็นเจ้าในราชวงศ์เก่าเพื่ออ้างความชอบธรรมในการแย่งชิงราชสมบัติของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แตกต่างจากกบฏชาวนา (Peasants' Revolt) ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและการปกครอง จนต้องการล้มล้างอำนาจรัฐปัจจุบันเพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ดีขึ้นสำหรับตนเอง
แต่สันนิษฐานอย่างน้อยว่ากบฏธรรมเถียรเข้าร่วมเพราะอาจไม่ได้พอใจสภาพความเป็นอยู่ของตนเองในปัจจุบัน และคาดหวังการปูนบำเหน็จหรือการเลื่อนสถานะทางสังคมของตนเองให้สูงขึ้นหากเป็นฝ่ายชนะในศึกชิงอำนาจ ซึ่งก็พบว่าธรรมเถียรมีการแต่งตั้งตำแหน่งให้ผู้ที่เข้าร่วมมีสถานะสูงขึ้นบ้างดังที่พบในการตั้งตำแหน่งพันชัยธุชเป็นต้น
อย่างไรก็ตามกบฏธรรมเถียรไม่ใช่กองกำลังที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบแบบแผน ดังที่ปรากฏว่าต่างคนต่างหาอาวุธตามมีตามเกิด บางคนก็ไม่มีอาวุธ แม้จะมีจำนวนมากพอสมควรแต่จำนวนหนึ่งได้ถูกกวาดต้อนมาระหว่างทางทำนอง “พวกมากลากไป” ทำให้ถูกราชสำนักที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าปราบปรามอย่างไม่ลำบากนัก
ถึงกระนั้น การที่ธรรมเถียรอ้างตัวเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศได้สั่นคลอนเสถียรภาพทางการปกครองของสมเด็จพระเพทราชาที่เพิ่งครองแผ่นดินไม่นานมากพอสมควร เพราะทำให้ประชากรจำนวนหนึ่งเข้าร่วมกับกบฏ ในขณะที่ประชากรจำนวนมากเกิดความสงสัยว่าผู้สิทธิธรรมในราชสมบัติของราชวงศ์เก่ายังมีชีวิตอยู่ และอาจตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในราชสมบัติของกษัตริย์องค์ปัจจุบันที่แย่งชิงราชสมบัติมาจากการปฏิวัติแย่งชิงอำนาจ
บรรณานุกรม
- กฎหมายตรา ๓ ดวง เล่ม ๑. (๒๕๔๘). กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ.
- แกมป์เฟอร์, เอนเยลเบิร์ต. (๒๕๔๕). ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ (อัมพร สายสุวรรณ, ผู้แปล.). พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
- เดอะ แบส, บาทหลวง. (๒๕๕๐). บันทึกความทรงจำของบาทหลวง เดอะ แบส เกี่ยวกับชีวิตและมรณกรรมของ ก็องสตังซ์ ฟอลคอน (สันต์ ท. โกมลบุตร, ผู้แปล.). พิมพ์ครั้งที่ ๒. นนทบุรี: ศรีปัญญา.
- ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยารวม ๓ เรื่อง. (๒๕๕๓). พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ: แสงดาว.
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐ, คำให้การชาวกรุงเก่า, คำให้การขุนหลวงหาวัด. (๒๕๕๓). นนทบุรี: ศรีปัญญา.
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหมอบรัดเล. (๒๕๔๙). พิมพ์ครั้งที่สอง. นนทบุรี: ศรีปัญญา.
- พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน. (๒๕๕๘). กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).
- ศานติ ภักดีคำ และนวรัตน์ ภักดีคำ. (๒๕๖๑). ประวัติศาสตร์อยุธยาจากจารึก : จารึกสมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ: สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์.
- หมู่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ผูก ๑๗ ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) มัดที่ ๑ ประวัติ นายจิตรถวาย พ.ศ. ๒๔๕๑.
- Bhawan Ruangsilp. (2007). Dutch East India Company Merchants at the Court of Ayutthaya: Dutch Perception of the Thai Kingdom, c 1604-1765, Leiden: Brill.
- Kaempfer, Engelbert. (1729). De Beschryving van Japan: Behelsende een Verhaal van den Ouden en Tegenwoordigen Staat en Regeering van dat Ryk. Gravenhage & Amsterdam: P. Gosse and J. Neaulme and Balthasar Lakeman.
- Royal chronicle of Ayutthaya พระราชนิพลพงศาวดาร กรุงสยาม. (n.d.) Retrived from http://www.bl.uk/manuscripts/FullDisplay.aspx?index=20&ref=Or_11827
หมายเหตุ : บทความทั้งหมดเรียบเรียงโดยผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ ผู้ดูแลเพจขอสงวนสิทธิไม่อนุญาตให้นำข้อมูลที่เผยแพร่ในเพจไปแก้ไข คัดลอก ดัดแปลง ทำซ้ำ เผยแพร่ต่อ และห้ามนำไปแสวงหาผลกำไรทางพาณิชย์โดยเด็ดขาด หากมีความประสงค์จะขอบทความของเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ไปเผยแพร่ต่อด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามต้องได้รับการยินยอมจากผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ในทุกกรณี ยกเว้นแต่การแชร์ (share) ที่สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
โฆษณา