อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าชาวกะเลิงก็ไม่รู้จักเมืองกะตากเช่นเดียวกัน แต่รู้จักเมืองภูวานากะแด้ง ซึ่งอ้างว่าเป็นถิ่นเดิมของตน
เมืองภูวานากะแด้ง หรือบ้านนากะแด้ง ตั้งอยู่เชิงเขาอากแขวงเมืองภูวดล ต่อเขตเมืองดำเกิด คำม่วน การเคลื่อนย้ายของชาวกะเลิงข้ามฝั่งแม่น้ำโขงเข้าสู่นครพนมและสกลนคร เริ่มในช่วงศึกจีนฮ่อที่เมืองเชียงขวาง ทุ่งเชียงคำ พ.ศ.2427 ในครั้งนั้นราชวงศ์ฟองเมืองสกลนครได้คุมเสบียงติดตามแม่ทัพไปทุ่งเชียงคำด้วย ทั้งยังได้รบพุ่งกับจีนฮ่อเป็นสามารถ เจ้าฟ้าหามหงี่เวียนเนียน เจ้าเมืองพูชุนของญวน ต้องการเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสจึงแข็งเมือง แต่สู้ไม่ได้จึงพาสมัครพรรคพวกหนีเข้ามาอาศัยเมืองวังคำ บ้านบ่อคำแฮ แขวงเมืองภูวดล พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่เมืองหนองคาย โปรดเกล้าฯ ให้จมื่นมณเฑียรพิทักษ์ ขึ้นไปพร้อมกับกองรักษาด่านตรวจปักเขตแดนพระราชอาณาเขตสยาม ในจำนวนนี้โปรดเกล้าฯให้ราชวงศ์ฟอง และท้าวคำสายตั้งกองรักษาด่านอยู่ที่บ้านนากะแด้ง เป็นเวลา 6 เดือน เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เรียบร้อยจึงยกทัพกลับสกลนคร
ความวุ่นวายทั้งศึกฮ่อ ศึกญวนรอบ ๆ เมืองภูวดลในช่วงปี พ.ศ.2427-2429 นั้นเป็นสาเหตุทำให้พวกกะเลิงอพยพหนีภัยข้ามโขงมาอยู่ในท้องที่นครพนม ดังปรากฏว่ามีพวกกะเลิงมาแต่โบราณที่บ้านดงเย็น มุกดาหาร บ้านกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม บ้านดงขวาง บ้านโพนงาม บ้านนายอ บ้านดงมะไฟ ในท้องที่สกลนคร (ดังนั้นการที่กล่าวกันว่าพวกกะเลิงชอบอยู่แถบเชิงเขาภูพานจึงไม่ถูกต้องนัก หากแต่ตั้งบ้านเรือนเป็นแนวจากริมฝั่งโขงเรื่อยมา และเข้าจับจองที่ไร่ที่นาซึ่งรกร้างว่างเปล่า แถบเชิงเขาภูพาน) จากบอกเล่าของนางบ่อ นานเพ็ง อายุ 88 ปี ที่บ้านโพนงาม เมืองสกลนคร เล่าให้ฟังว่า “มารดาได้นำตนอพยพจากภูวานากะแด้ง มาอาศัยที่เมืองสกลนครแต่ยังเล็ก ๆ ขณะนั้นเจ้าคุณจันเป็นเจ้าเมือง” ซึ่งหมายถึง พระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ) เจ้าเมืองสกลนคร ระหว่าง พ.ศ.2430-2466 และเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบบมณฑลหลังจากนั้นจึงแต่งงานและตามสามีมาอยู่ที่บ้านโพนงาม ซึ่งมี หลวงพิเดช เป็นตาแสงหรือกำนัน แต่มีที่ทำการอยู่ที่บ้านนายอ ในครั้งนั้นนานๆ ที่จะมีพวกกะเลิงจากเมืองภูวานากะแด้งมาสืบหาพี่น้องให้กลับไปรับมรดกเงินฮางที่ฝั่งลาวด้วย
ลักษณะเด่นประการหนึ่งของกะเลิงโบราณที่มักอ้างถึงกันอยู่เสมอ คือ การสักนกที่แก้ม แต่โดยทั่วไปแล้วคนแก่คนเฒ่าเกือบทุกเผ่ามักนิยมการสัก นับแต่เหนือหัวเข่า ตะโพก เอว ข้อมือ ข้อเท้า โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ดูสวยงาม ดังคำคมหรือผญา สะท้อนให้เห็นความนิยมสักลายของฝ่ายสตรีว่า “ขาวขาวนุ่งผ้าฝ้าย ขาลายมอมนุ่งผ้าเข็นกอบ”
ผ้าเข็นกอบเป็นผ้าทอลวดลายสวยงาม ซึ่งหมายความว่าขาลายนั้นงามกว่าขาว ขาวเหมือนผ้าฝ้าย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการสักนกที่แก้มว่า
“ขาลายแล้วแอ๋วบ่ลายบ่ให้ก่าย แอ๋วลายแล้ว ขันบ่สักนกน้อยงอยแก้วตอดขี้ตา” คือชายใดจะได้ก่ายกอดหญิงจะต้องสักลายที่ขาที่เอวที่แก้มด้วย ซึ่งตรงกับที่สมเด็จพระจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงพวกกะเลิงว่า
“…ผู้ชาวไว้ผมประบ่าและมักสักเป็นรูปนกที่แก้ม”
อย่างไรก็ตามในสมัยที่สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์มาเป็นข้าหลวงมณฑลลาวกาว ได้ทรงประกาศให้ประชาชนเลิกเชื่อในเรื่องนี้ว่า