2 มิ.ย. 2020 เวลา 16:27 • กีฬา
The Story of Air Jordan เรื่องราวที่เป็นมากกว่ารองเท้า (ตอน 3)
อย่างที่เกริ่นมาแล้วในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ว่า รองเท้า Nike Air Jordan มีชื่อเสียงมายาวนานเกิน 30 ปี ได้ถือกำเนิดมาจากความร่วมมือกันระหว่าง นักบาสเกตบอลแชมป์ NBA 6 สมัย ที่ทั่วโลกชื่นชมว่า 'เก่งกาจที่สุดในโลก' ซึ่งนอกจากพาทีม ชิคาโก บูลส์ คว้าแชมป์ ยังขึ้นครองตำแหน่ง MVP ทั้ง 6 ครั้งในตอนนั้นอีกด้วย
ไมเคิล จอร์แดน และ Nike ได้ร่วมกันสร้างรองเท้ากีฬา ชื่อว่า Air Jordan ภายใต้ข้อตกลงบางอย่าง ซึ่งผูกพันกันมายาวไกลถึงป่านนี้ และคาดว่าจะร่วมกันทำธุรกิจกันต่อไปอีกเรื่อยๆ
ย้อนกลับไปในปี 1985
ตอนนั้นคงไม่มีใครคิดว่า แบรนด์ Air Jordan ซึ่งมีสัญลักษณ์รูป Jumpman ที่บ่งบอกความเป็น Michael Jordan จะได้รับการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี
นอกจากนั้น Air Jordan ทุกรุ่น ยังมีเรื่องราวอันชวนติดตาม และทำให้ผู้สวมใส่ Air Jordan มีบางสิ่งที่พิเศษ เข้าถึงความเป็น Unique แบบ Michael Jordan ซึ่งไม่เหมือนใคร
เคยมีคนพูดกันว่า "เราสามารถเห็นนิสัยใจคอ บุคลิกลักษณะ ของแต่ละคนได้ โดยสังเกตจากรองเท้า"
คำกล่าวนี้ ดูลึกซึ้ง แต่จะจริงหรือเปล่า เราคงต้องรอพิสูจน์กันต่อไป
แต่ขณะนี้เรารู้เพียงว่า Air Jordan I ซึ่งออกแบบโดย Peter Moore นั้น ราคาก้าวไกลเกินกว่าราคาวันที่ออกวางจำหน่ายครั้งแรก คือ US $65 ไปไกลมาก
เราอาจหาดูราคารองเท้า Air Jordan กันตามเว็บไซต์ต่างๆ และพบว่าส่วนมากมีราคาเริ่มต้นที่ US $50,000 ซึ่งห่างจากราคาเดิมหลายเท่าตัว
เมื่อมีรุ่นแรก ก็มีรุ่นถัดมา
สำหรับ Air Jordan I สีของมันไม่เป็นที่โปรดปรานสำหรับ จอร์แดน เลยด้วยซ้ำ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า
"ผมเกลียดรุ่นนี้ สีมันเหมือนมารร้าย"
คาดว่า MJ คงหมายถึงสีแดง-ดำ ที่เขาต้องสวมลงแข่งในทุกแมตช์ที่ชิคาโก บูลส์ ลงสนาม และ NBA เองก็ตามปรับเขาครั้งละ US $5,000 ทุกครั้งไป เพราะสีรองเท้าผิดข้อบังคับของสมาคม แต่ Nike หาได้สนใจ หรือเสียดายเงินค่าปรับ กลับถือโอกาสสร้างสตอรี่ให้กับ Air Jordan I ทันที ด้วยคำพูดอันชาญฉลาดว่า
"15 กันยายน 1985 Nike สร้างรองเท้าบาสเกตบอลเพื่อปฏิวัติวงการเสียใหม่ แต่ NBA กลับนำมันออกจากเกมตั้งแต่ 18 ตุลาคม แต่โชคดีนะ ที่ NBA ไม่อาจทำให้พวกคุณหยุดสวม Air Jordan จาก Nike ได้" ฟังพูดเข้านั่น
มันทำให้รองเท้ารุ่นแรก 50,000 คู่ หายวับไปจากชั้นจำหน่ายอย่างรวดเร็ว แค่ปีเดียวที่ออกจำหน่าย Nike ก็มองเห็นพลังที่ Air Jordan จะทะยานไปเบื้องหน้าแบบไม่รู้จบ
อันที่จริงในตอนแรก NBA สั่งแบนรองเท้า Nike รุ่น Air Ship ซึ่งส้นรองเท้า มีคำว่า 'Air Jordan' ประทับอยู่ ซึ่ง MJ ใช้ใส่มาตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น 1984-1985 นั่นต่างหาก และ NBA ก็ดำเนินการปรับต่อเนื่องเรื่อยมา ซึ่งจะว่าไป รุ่น Air Ship มีส่วนคล้าย Air Jordan I มากๆ  จนถือว่าเป็นตัวโปรโตไทป์ก็ว่าได้
แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นมาแบบไหน ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า นี่ไม่ใช่สตอรี่ของ Air Jordan และหากมีโอกาส คงไม่มีใครปฏิเสธการทดลองใส่ Air Jordan ดูบ้างสักครั้งในชีวิต
แล้วคุณล่ะ ... เคยใส่ Nike Air Jordan รุ่นไหนบ้างหรือยัง.... ?
ลองเริ่มต้นที่ Air Jordan I
แต่การจะหารองเท้ารุ่นแรกแท้ๆ ในตอนนี้ ก็อาจจะต้องจ่ายเงินพอๆ กับซื้อรถยนต์หรูมาขับในราคาที่แสนแพง และถึงแม้จะมีการผลิตรุ่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ผู้คนก็ยังหลงใหลได้ปลื้มที่จะใช้รุ่นปี 1985 อยู่ดี และ Air Jordan I ก็กลายเป็นรองเท้าในตำนานที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากมีไว้ประดับหิ้งบ้างเหมือนกัน
1. Air Jordan I (ปี 1985) ราคา US $65 ผู้ออกแบบ Peter Moore
รองเท้าที่โด่งดังในตำนาน ตั้งแต่สมัย ไมเคิล จอร์แดน ยังใหม่มากในวงการ NBA สีของรุ่นนี้ ออกแบบให้เข้ากับสีของทีม ชิคาโก บูลส์ คือ โทน ดำ แดง ขาว
มีสียอดฮิต คือ Black/Red(Bred), Black/Royal(Royal Blue), Black Toe, Chicago
2. Air Jordan ll (ปี 1986) ราคา US $100 ผู้ออกแบบ Bruce Kilgore และ Peter Moore
รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ดูแตกต่างจาก Jordan I เพราะทำในอิตาลีและด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากรองเท้าบูทผู้หญิง จึงทำให้มันดูหรูหรากว่าปกติ และใช้ใส่ในชีวิตประจำวันได้ดีด้วย แล้วพวกเขาก็จงใจไม่ใส่โลโก้ Nike ลงไป และเพื่อสร้างความแตกต่างเลยใช้สีขาวเป็นหลัก
รุ่นนี้มีสีที่ได้รับความนิยมมาก คือ White/Black-Red, Carmelo Anthony PE
แต่น่าเสียดาย...
รองเท้ารุ่นนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม แม้ว่าจะดูหรูหรา และเป็นรุ่นซึ่ง MJ ใส่ตอนคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest สมัยแรกในปี 1987 ด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่ค่อยดังเพราะ MJ แทบไม่ได้ใส่รุ่นนี้ลงแข่งเลย เนื่องจากต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บนั่นเอง
3. Air Jordan lll (ปี 1988) ราคา US $100  ผู้ออกแบบ Tinker Hatfield
เนื่องจากรุ่น ll ดูอืดๆ นิดหน่อย จึงมีการขยับปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ เพื่อให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ Peter Moore และ Rob Strausser ผู้ผลักดันแบรนด์ Air Jordan ได้ลาออกไป การเข้ามารับช่วงงานออกแบบต่อจาก Peter Moore ของ Tinker Hatfield ได้สร้างความชื่นชอบให้ MJ มาก และตัดสินใจไปต่อกับแบรนด์ Air Jordan ทั้งๆ ที่เขาเกือบตัดสินใจไม่ต่อสัญญา  ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะราคาที่เขาได้รับ ทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งในเวลาต่อมากับความสำเร็จของ Air Jordan
รูปลักษณ์ของรุ่นนี้ โดนใจสาวกมากๆ อันประกอบไปด้วยโลโก้ที่เปลี่ยนใหม่จาก Air Jordan ในรุ่น Air Jordan I และ II มาเป็น Jumpman ซึ่งใครๆ หลายคนคาดว่า เป็นท่าดังค์ของ จอร์แดน แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า
"ผมแค่ยืนทำท่าสวยๆ ให้ช่างภาพถ่ายรูป เพื่อให้ดีไซน์เนอร์นำไปออกแบบเท่านั้น"
แถมยังบอกเหมือนเขาเล่นบัลเล่ต์เสียมากกว่า
เมื่อ Jumpman มาแทนโลโก้เดิม แถมประดับข้างรองเท้าด้วยลวดลายหนังช้าง และมองเห็น Air Unit อย่างชัดเจน รูปแบบใหม่นี้ จึงดูเตะตา และมีลายละเอียดเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับฟอร์มการเล่นที่กลับมาใหม่ หลังจากหายจากบาดเจ็บทำให้ฤดูกาล 1987-1988 เป็นปีทองของเขาอีกครั้ง และได้รับรางวัล NBA MVP (NBA Most Valuable Player Award หรือ “รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า” ที่มอบให้กับผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มการเล่นดีที่สุดประจำฤดูกาล นอกจากนี้ เขายังโชว์ลีลาการดังค์จากเส้นจุดโทษอันน่าทึ่งมากๆ ทำให้เขาคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest สมัยที่สองติดมือมาอีก รวมทั้งโฆษณาที่กำกับโดย Spike Lee ทำให้ชื่อเสียงของ ไมเคิล จอร์แดน โด่งดังเป็นพลุแตก ไม่มีใครบนโลกกีฬา ไม่รู้จักจอร์แดน
กระแสของรองเท้ารุ่นนี้ จึงแรงเป็นหลายเท่าตัว ชนิดฉุดไม่อยู่ จนอาจกล่าวได้ว่า Air Jordan III เป็นรองเท้ารุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเวลานั้น โดยเฉพาะสีเทาดำ ซึ่งเป็นสีฮิตติดเทรนด์
4. Air Jordan IV (ปี 1989) ราคา US $100 ผู้ออกแบบ Tinker Hatfield
รองเท้ารุ่นนี้ได้ชื่อว่า แข็งแรงทนทานที่สุด โดยมี Tinker Hatfield ยังรับหน้าที่ออกแบบต่อไปตามเคย คราวนี้ดีไซน์ออกมาเรียบๆ ก็จริงอยู่ แต่เนียบมากและแข็งแรงทนทาน
และเนื่องจากปีนี้เป็นอีกปีหนึ่ง ที่ดีมากๆ ของไมเคิล จอร์แดน จะทำอะไร ก็สุดไปหมด รุ่นนี้จึงมีชื่อตามสตอรี่เพิ่มเติมว่า รุ่นสร้างตำนาน “The Shot” เพราะ จอร์แดน ใส่ทำแต้มสุดท้ายก่อนหมดเวลา 2 วินาที เฉือนชนะ Cleveland Cavaliers ไปแบบฉิวเฉียด ด้วยคะแนน 101-100 ในการแข่งขัน playoff OMG!!! ไม่อยากจะเชื่อเลย
แถมรองเท้ารุ่นนี้ ยังเข้าไปเฉิดฉาย ในภาพยนตร์เรื่อง Do The Right Thing ของ Spike Lee ซึ่งมีฉากเด่นที่ตัวละครใส่รองเท้า Air Jordan IV แล้วโดนเหยียบจนเลอะเทอะ แต่ก็ดังสมใจ
แค่นี้ก็ทำให้รองเท้ารุ่นนี้ถูกกวาดเรียบ และอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คน
สำหรับสียอดฮิตก็มีตามนี้เลยคือ  White/Cement, Black/Cement, Military Blue, Fire Red, Lightning, Thunder, UNDFTD
5. Air Jordan V (ปี 1990) ราคา US $125 ผู้ออกแบบ Tinker Hatfield
ถึงตอนนี้ Tinker เปรียบเป็นผู้รู้ใจของแบรนด์ไปเสียแล้ว และรุ่นนี้ Tinkerได้นำความทันสมัยเติมลงไปอีก จึงมีความเด่นแตกต่างจาก 4 รุ่นก่อน คือมีความเป็นแฟชั่นอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อความโดดเด่นของผู้สวมใส่ มีสีสันจัดจ้านสะดุดตา Tinker นำแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบ P51 Mustang ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาออกแบบในส่วนของรอยหยักตรง midsole ซึ่ง Tinker บอกว่ามันตรงกับสไตล์การเล่นของ MJ ที่สามารถบุกและขึ้นนำคู่แข่งได้เสมอ มีการทำพื้นส่วน outsole เป็นยางสีใสที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก และมีลิ้น (tongue) ที่ทำด้วยวัสดุสะท้อนแสงของ 3M
สียอดฮิตของรุ่นนี้คือ White/Fire Red-Black, White/Black-Fire Red, Black/Metallic Silver, Grape, Laney, Raging Bull Pack
6. Air Jordan VI (1990) ราคา US $125 ผู้ออกแบบ Tinker Hatfield คนเดิม
รองเท้ารุ่นนี้ เป็นการผสมผสานกันระหว่าง Air Jordan รุ่นที่ผ่านมาและเติมเต็มด้วยการใส่แฟชั่นและเพิ่มความเรียบหรูด้วย heel tab ลงไปอีกนิดหน่อย โดย Tinker นำเอารถยนต์ส่วนตัวยี่ห้อ Posche ของ จอร์แดน มาเป็นแรงบันดาลใจ นอกจากนั้น ยังใส่รู 2 รู ตรงลิ้น (tongue) ที่ช่วยให้สวมใส่ง่ายและดูโดดเด่นขึ้นมาก อีกทั้งยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการปะทะได้ดีอีกด้วย ซึ่งดีไซน์นี้ได้รับการตอบรับดีมาก ทำให้รองเท้าบาสแบรนด์อื่นๆ หันมาใส่ใจพัฒนารองเท้าบาสให้มีลักษณะใกล้เคียง Air Jordan บ้าง รุ่นนี้มีสีเทาดำขลิบแดงเป็นสีเด่นประจำรุ่น และสียอดฮิตอื่นๆ ตามนี้คือ  White/Infrared, Black/Infrared, Carmine, Olympic, Defining Moments
7. Air Jordan VII (1991) ราคา US $125 ผู้ออกแบบรายเดิม Tinker Hatfield
รุ่นนี้ค่อนข้างจัดเต็มด้านความแตกต่างจากรุ่นก่อนๆ จึงไม่มีทั้ง Air Unit และ outsole ใสอีกต่อไป อีกอย่างคือ Tinker Hatfield ได้นำเอาศิลปะของชนเผ่าในแอฟริกาตะวันตกมารวมกับอาร์ทแนว pop ร่วมสมัยของชาวแอฟริกัน เมื่อรวมกับเทคโนโลยี Huarache ทำให้รองเท้ารุ่นนี้มีความหวือหวาเฉพาะตัว และใส่สบาย รุ่นนี้มีสีฮิตคล้ายรุ่น VI คือสีดำขลิบแดง
ที่ผ่านมาในฤดูกาล 1990-91 ทีม ชิคาโก บูลส์สร้างสถิติชนะ 61 เกม สูงสุดเท่าที่ทีมเคยทำได้ในขณะนั้น ผ่านเข้าสู่เพลย์ออฟ เอาชนะพิสตันในรอบชิงคอนเฟอร์เรนซ์ และเอาชนะลอส แอนเจลิส เลเกอร์สที่นำโดย แมจิก จอห์นสัน ได้ใน 5 เกมในรอบชิงชนะเลิศ จอร์แดน ได้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าทั้งของฤดูกาลปกติและในรอบสุดท้าย และยังเป็นผู้ทำคะแนนฤดูกาลปกติสูงสุดเป็นสมัยที่ 5 ติดต่อกัน บูลส์ได้แชมป์เอ็นบีเอสมัยที่สองในฤดูกาล 1991-92 จากการชนะ 67 เกมในฤดูกาลปกติ เอาชนะพอร์ตแลนด์ เทรลเบลเซอร์สที่นำโดย ไคลด์ เดร็กซ์เลอร์ (Clyde Drexler) ใน 6 เกม ทำให้จอร์แดนยังได้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าฤดูกาลปกติและรอบสุดท้าย และเป็นผู้ทำคะแนนสูงสุดอีกสมัย ทำให้กระแส Air Jordan ฟีเวอร์ไม่มีตก
นอกจากนั้น ยังได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ MJ ใส่ไปแข่งขันโอลิมปิค 1992 ที่บาร์เซโลน่า  คิดดูแล้วกันว่ามันจะฮิตระดับไหน เมื่อเขาสามารถคว้าเหรียญทองร่วมกับชุด Dream team ของสหรัฐกลับบ้านได้สำเร็จอีกด้วย
สียอดฮิต คือ Hare, Bordeaux, Black/True Red, Cardinal, Olympic
8.  Air Jordan VIII (1993) ราคา US $125 ผู้ออกแบบ Tinker Hatfield
ห่างหายไป 2 ปี Tinker นำแรงบันดาลใจจากอวกาศ มาสอดใส่ในรองเท้า และมีสายรัด Velcro คอย support ข้อเท้า จเพื่อลดอาการบาดเจ็บ รุ่นนี้มีพื้นรองเท้่าที่ช่วยเกาะสนามได้อย่างดีเยี่ยม เป็นรุ่นที่ จอร์แดน ใส่เพื่อทำ NBA Final MVP สมัยที่ 3 ติดต่อกันด้วยแต้มเฉลี่ยในรอบ Finals อยู่ที่ 44 แต้มต่อเกม จึงเป็นอีกรุ่นที่สาวก Air Jordan ชื่นชอบเป็นพิเศษ
สีฮิตติดอันดับคือ White/Black-True Red, Aqua, Black/True Red
9. Air Jordan IX (1993) ราคา $125 ออกแบบโดย Tinker Hatfield
ฤดูกาล 1992-93 เป็นฤดูกาลที่มีความหมายกับ ชิคาโก บูลส์มาก  โดยทีมได้ทำสิ่งที่ทีมอื่นไม่เคยทำได้มาก่อนในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา โดยการเป็นแชมป์สามสมัยติดต่อกัน ทำให้ จอร์แดนได้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่ารอบสุดท้าย พร้อมกับสถิติคะแนนต่อเกมรอบสุดท้ายสูงสุดที่ 41.0 แต้มต่อเกม นอกจากนั้น จอร์แดน ยังทำคะแนนสูงสุดเป็นสมัยที่ 7 เท่ากับวิลต์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) อีกด้วย
แต่ฤดูร้อนปีนั้นเอง ก็เกิดเหตุเศร้าใจขึ้นกับชีวิตของ จอร์แดน เมื่อพ่อของเขาถูกยิงตายในรถเล็กซัสสีแดง
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 1993 เจมส์ จอร์แดน ซีเนียร์ พ่อของ ไมเคิล จอร์แดน ขับรถเล็กซัสสีแดง ทะเบียน UNC00023 ซึ่งเป็นรถที่ลูกชายซื้อให้ไปตามถนนทางตอนใต้ของนอร์ท แคโรไลน่า ระหว่างทางกลับจากงานศพของอดีตเพื่อนร่วมงาน ตำรวจสันนิษฐานว่า เขาเริ่มง่วง และตัดสินใจนอนพักข้างทางเอาแรง และถูกปล้นชิงทรัพย์  พ่อของ จอร์แดน ถูกยิง 1 นัดบริเวณหน้าอกจนเสียชีวิต แต่ร่างของเขาถูกนำไปทิ้งลงหนองน้ำ และถูกพบ 11 วันหลังเกิดเหตุ ส่วนเล็กซัสหรู ถูกพบในที่ที่ห่างไกลออกไป 60 ไมล์
เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่โตครึกโครมทั่วสหรัฐ เพราะ เจมส์ จอร์แดน ซีเนียร์ เป็นถึงพ่อของซุปเปอร์สตาร์คนดังแห่งวงการบาสเกตบอล กรมตำรวจจึงต้องตั้งทีมพิเศษ ค้นหาสาเหตุการเสียชีวิตของ เจมส์ จอร์แดน อย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่นานตำรวจก็สามารถจับตัวผู้ต้องสงสัยได้
แดเนี่ยล กรีน และ แลร์รี่ เดเมอรี่ ตกเป็นผู้ต้องหาฆาตกรรม เจมส์ จอร์แดน และถ้าดูจากประวัติอาชญากรรมของทั้งคู่ซึ่งยาวเหยียดเป็นหางว่าว ไล่ตั้งแต่การโจรกรรมเล็กๆ น้อยๆ ปล้นคนเพื่อชิงทรัพย์ ตลอดจนยกระดับอาชญากรรมมาข่มขืนครูในโรงเรียนมัธยม สิ่งที่ทั้งคู่เคยกระทำ ทำให้เชื่อว่าทั้งคู่เป็นคนทำ
แต่... บางสื่อกลับไม่เชื่อเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของ กรีนและเดเมอรี่ ที่ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น
"ผมไม่ได้ฆ่าพ่อของคุณ”
แดเนี่ยล กรีน หนึ่งในสองผู้ต้องหาเคยพูดกับ จอร์แดนไว้แบบนั้น
จากคำพูดนี้ ทำให้เกิดการตั้งสมมุติฐานว่า ถ้่าทั้งคู่ไม่ได้ฆ่า แล้วใครทำ
มีสื่อบางราย เริ่มขุดคุ้ยและพบว่า ไมเคิล จอร์แดน ชอบเล่นการพนันเป็นงานอดิเรก แถมมีเรื่องเล่าแพลมออกมาด้วยว่า จอร์แดน เคยแพ้พนันกอล์ฟให้แก่ชัค เดลีย์ โค้ชดรีมทีม ตอนที่ไปแข่งโอลิมปิกปี 1992 คำบอกเล่านี้มาจาก ชาร์ล บาร์คลีย์ หนึ่งในตำนานทีมชุดดรีมทีม ซึ่งไปร่วมวงตีกอล์ฟเดิมพันครั้งนั้นด้วย แถมยังกล่าวเพิ่มเติมแบบติดตลกว่า “ไมเคิลเป็นพวกที่ไม่ยอมแพ้ เขาจะลงเดิมพันทุกๆ ครั้งด้วยวงเงินสูงมาก และเขาดูมีความสุข ที่ได้เดิมพัน และจะมีความสุขยิ่งขึ้นถ้าเขาชนะ”
นอกจากนี้ ยังมีคำบอกเล่าจากนักธุรกิจพนันรายใหญ่ ผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยนามผู้หนึ่ง จากซานดิเอโก้ ที่ออกมาพูดว่า “ไมเคิล ติดเงินพนันเยอะมาก น่าจะประมาณ 9 แสนเหรียญ หรือผมว่าน่าจะหลายล้านเหรียญเลยแหละ” แต่คำพูดนี้อาจโคมลอยใส้ร้่าย หวังทำลายชื่อเสียงก็ได้
แต่สื่อที่ชอบขุดคุ้ย ก็ยังคงหาข้อมูลเชิงลึกต่อไป ด้วยการเข้าไปเสาะหาข้อมูลในลาสเวกัส ดินแดนแห่งนักพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“มีการติดต่อลับๆ ให้ไมเคิล จอร์แดน ล็อกผลการแข่งขันบาสเกตบอลรอบชิงชนะเลิศปี 1993 กับฟีนิกซ์ ซันส์ ในเกมนัดที่ 6" ข่าวนี้ระบุว่ามาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ในลาสเวกัสรายหนึ่ง และยังมีการอ้างว่า มีการดักฟังการสนทนาของ จอร์แดน กับปลายสายที่คาดว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลรายใหญ่ในลาสเวกัส ที่ต้องการให้มี 7 เกม ในรอบชิงชนะเลิศ  “ผมต้องการให้คุณทำให้มี 7 เกมให้ได้” คำขอสั้นๆ แต่สื่อความหมายได้ชัดเจนว่า “ทำยังไงก็ได้ให้ทีมแพ้ในเกมที่ 6”
รอบไฟนอลของ NBA ในปีนั้นเป็นการชิงกันระหว่างบูลส์และซันส์ โดย ชิคาโก บูลส์ มีโอกาสที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเมื่อศักดิ์ศรีต้องมาก่อน จอร์แดน ได้ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไป โดยพาทีม บูลส์ คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3
จากข้อมูลต่างๆ ที่สื่อไปสืบค้นและนำมาปะติดปะต่อหลังจากนั้น จึงมองเห็นความเป็นไปได้ว่า “การปฏิเสธการล็อกผล อาจเป็นต้นเหตุให้เจมส์ จอร์แดน ถูกฆาตกรรม โดยมาเฟียจากลาสเวกัส” ไม่ใช่ผู้ต้องหา 2  ราย ที่ถูกตำรวจจับ
แต่เรื่องนี้ไม่ได้รับการยืนยันหรือแก้ไขคดีแต่อย่างใด
"หากคุณบริสุทธิ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันแน่อยู่แล้วที่คุณต้องต่อสู้เพื่อสิ่งนั้น เพราะคุณกำลังต่อสู้เพื่อความจริง และถ้าคุณรู้ว่าความจริงคืออะไร ก็ยิ่งต้องปกป้องมันไว้เพื่อปกป้องชีวิตอันปกติสุขของคุณด้วย" แดเนี่ยล กรีน หนึ่งในสองผู้ต้องหา คดีฆ่าพ่อของ ไมเคิล จอร์แดน ที่เป็นข่าวโด่งดังที่สุดคดีหนึ่งในปี 1993 ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่เขาตัดสินใจอยากรื้อฟื้นการพิจารณาคดีขึ้นมาใหม่
โดยกรีนเล่าให้ผู้สื่ิอข่าวฟังว่า วันนั้นเขาและ แลร์รี่ เดเมอรี่ จัดปาร์ตี้กันอยู่ที่บ้านของแม่ทูนหัว แต่เดเมอรี่ ออกไปตั้งแต่ตอนตีหนึ่งครึ่งของคืนนั้น โดยบอกว่ามีธุระเรื่องยาเสพติดที่ต้องไปทำในวันรุ่งขึ้น และได้ชวนกรีนไปด้วย แต่ตัวเขาปฏิเสธเพราะยังสนุกกับสาวๆ ในงาน แต่ในช่วงเช้ามืด เดเมอรี่ก็กลับมาอีกครั้ง และเขาสังเกตเห็นเพื่อนดูแปลกไป  และเมื่อสอบถามก็ได้ความว่า เดเมอรี่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการยิงคนตาย และขอให้เขาช่วย ทั้งสองคนจึงกลับไปยังที่เกิดเหตุอีกครั้ง และเขาก็เจอศพของ เจมส์ จอร์แดน ทางเลือกของกรีนในตอนนั้น คือ ไม่ยุ่ง หรือช่วยเพื่อนปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้น
กรีนยอมรับว่าตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต  เพราะเขาช่วยเพื่อนขนศพไปทิ้งในบึง และขโมยทรัพย์สิน ซึ่งรวมถึงแหวนแชมป์ NBA ที่จอร์แดนให้เป็นของที่ระลึกกับพ่อของเขา
ในกระบวนการสืบหาหลักฐานมีการพบความผิดปกติเรื่องหนึ่ง คืิอ ผลการชันสูตรศพในตอนแรกชี้ชัดว่า เจมส์ จอร์แดน เสียชีวิตจากแผลกระสุนเพียงนัดเดียวบริเวณอกขวา พร้อมยืนยันว่าไม่พบรูกระสุนที่เสื้อซึ่งผู้ตายสวมใส่ในวันเสียชีวิตแต่อย่างใด แต่ในเวลาต่อมา กลับปรากฎรูกระสุนบนตัวเสื้อ ทนายความฝ่ายกรีนจึงมีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัยว่า มีการบิดเบือนหลักฐานเพื่อให้ลูกความของเขาเป็นผู้ผิด เพราะรูกระสุนที่ไม่มีในตัวเสื้อในตอนแรกดูจะชี้ชัดได้ว่า การยิงดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยฝีมือของมืออาชีพ
แต่กระบวนการสืบหาความจริงที่กรีนอยากให้เกิดขึ้นครั้งใหม่ดูไม่ค่อยได้ผล เนื่องจาก แลร์รี่ เดเมอรี่ ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้ และให้การขัดแย้งไปมา  เดเมอรี่ซัดทอดว่า เขาและกรีนก่อเหตุนี้เพราะหวังชิงรถเล็กซัสของผู้ตาย โดยกรีนเป็นผู้ยิงเจมส์ซึ่งอยู่ในรถ ทว่าในปี 2015 คอนนี่ เบรบอย อดีตบรรณาธิการสื่อท้องถิ่นชื่อ เดอะ แคโรไลน่า อินเดียน วอยซ์ ซึ่งปิดตัวไปแล้ว ออกมาเล่าว่า เธอเคยพูดคุยกับเดเมอรี่หลังเกิดเหตุได้ไม่นาน ซึ่งอีกฝ่ายสารภาพว่า เป็นผู้ยิง เจมส์ จอร์แดน ที่บังเอิญไปเห็นการส่งยาเสพติดของเขาเข้าพอดี โดยที่เจมส์ อยู่นอกรถอีกด้วย
แต่ไม่ว่าใครฆ่า เจมส์ จอร์แดน ก็ตาม เรื่องนี้ ไมเคิล จอร์แดน กลับไม่อยากรู้ โดยเขาเคยพูดเปิดใจกับ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรชื่อดังว่า “ยิ่งรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า สภาพจิตใจที่บอบช้ำอยู่แล้วคงจะยิ่งบอบช้ำหนักกว่าเดิม การที่ไม่รู้ความจริงเรื่องนี้จึงน่าจะเป็นผลดีมากกว่า”
การตายของพ่อ ซึ่งเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับ จอร์แดน ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค จนประสบความสำเร็จ ได้สร้างความรันทดหดหู่ใจให้เขามาก
“มันเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดในการเล่นบาสเกตบอลของผม ผมไม่ได้มุ่งมั่นไปที่เกมบาสเกตบอล … ‘ป๊อป’ (คำที่จอร์แดนมักจะเรียกพ่อเสมอๆ) เป็นทั้งพ่อและเพื่อนที่แสนดีที่สุดของผม” เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ภายหลังการตายของพ่อได้ไม่นาน
ทำให้หลายคนเชื่อว่า นี่คือสาเหตุให้ จอร์แดน หมดกำลังใจและท้อถอย จนไม่อาจทนเล่นบาสเกตบอลต่อไปได้
การสูญเสียพ่อ ซึ่งสนับสนุนเขามาตลอดจนถึงวัย 30 ปี คือ ความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต เขา และวันหนึ่งในเดือน ตุลาคม 1993 จอร์แดน ประกาศหยุดเล่นบาสเกตบอล
ทำให้ ชิคาโก บูลส์ในสมัยนั้นต้องเปลี่ยนไปนำโดย สก็อตตี พิพเพน ซึ่งได้กลายเป็นผู้เล่นชั้นนำคนหนึ่งในลีกอีกคน และได้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าออล สตาร์
การตัดสินใจครั้งนั้นของจอร์แดน ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อวงการบาสเกตบอลเป็นอย่างมาก ยอดคนดูในสนามลดลง ยอดจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับบาสเกตบอลก็ลดลง จนถูกเรียกว่า “Jordan Effect”
สายการผลิตรองเท้า Air Jordan ก็เกือบจะยุติลงตามการตัดสินใจเลิกเล่นบาสฯ ของ จอร์แดน แต่ Tinker Hatfield ยังแอบมีความหวังว่า ไมเคิล จอร์แดน จะกลับมา
Tinker จึงดีไซน์รองเท้ารุ่นนี้ต่อ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าเบสบอลที่ MJ สวมใส่ตอนลงสนามหลังจากเลิกเล่นบาสและไปเล่นเบสบอลแทน จุดเด่นของรุ่นนี้จึงอยู่ที่ outsole ที่พิมพ์ลายตัวอักษรจากหลายภาษาเอาไว้
อาจกล่าวได้ว่า รองเท้ารุ่นนี้เป็นรุ่นแรกของ Air Jordan ที่ MJ ไม่ได้ใส่ลงแข่ง NBA แต่อย่างไรก็ตาม เขาเคยนำรุ่น Air Jordan IX Retro Cool Grey มาใส่ในชุดยูนิฟอร์มของทีม Wizards เมื่อช่วง pre-season ปี 2002 ก่อนที่รุ่น retro นี้จะวางจำหน่ายพอดี
สียอดฮิตของรุ่นนี้ คือ White/Black-True Red, Powder Blue, Charcoal, Cool Grey, Motorboat Jones
10. Air Jordan X (1994) ราคา $125 ออกแบบโดย Tinker Hatfield
ถึงตอนนี้ ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ก็ออกแบบ Air Jordan ไปแล้ว 7 รุ่น ตั้งแต่รุ่นที่ 3 - 9  ถ้าไม่มีเขา Air Jordan อาจจบไปตั้งแต่ครั้งที่ จอร์แดน ประกาศเลิกเล่นบาสเกตบอลเมื่อปลายปี 1993 แล้วหันไปเล่นเบสบอลแทนแล้วก็ได้ และคงไม่ยิ่งใหญ่มายาวนานถึงวันนี้
Tinker จบมหาวิทยาลัยที่ University of Oregon School of Architecture ในสาขาการออกแบบ แต่เนื่องจากคุณพ่อของเขา เป็นโค้ชกีฬาระดับท้องถิ่น ทำให้เขาสนใจกีฬามาแต่เด็ก และเขายังเคยเป็นดาวเด่นด้านกีฬาประจำโรงเรียน Central Linn High School ที่เขาศึกษาอยู่อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบาสเกตบอลหรืออเมริกันฟุตบอล เขาก็เล่นมันได้ดี เขายังเคยได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกรีฑาเยาวชนของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
“ในตอนนั้นความฝันของผมคือการเป็นนักกีฬาอาชีพ” ฮาตฟิลด์ เคยเล่าให้สื่อฟังทำนองนี้
Tinker เกิดและเติบโตในเมืองฮิลส์โบโร รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความรักในการเล่นกีฬา ที่ถูกถ่ายทอดมาจากพ่อ ทำให้เขาฝันจะเป็นนักกีฬาคนเก่งในอนาคต
แต่ฝันของ ฮาตฟิลด์ ไม่เป็นความจริง เมื่อเขาเกิดบาดเจ็บอย่างรุนแรงระหว่างการฝึกซ้อม ถึงขั้นที่ไม่สามารถกลับมาเล่นกีฬาได้ดีเหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่เขาไม่ทิ้งความฝันที่จะทำงานที่เกี่ยวข้องกับกีฬา เมื่อเขาเรียนจบด้านการออกแบบ ในปี 1981 ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ ตัดสินใจสมัครเข้าทำงานกับ Nike บริษัทอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลก และได้บรรจุเป็นพนักงานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
กว่าจะได้มาออกแบบ Air Jordan เขาต้องวนเวียนเป็นพนักงานระดับล่างของ Nike เพื่อเรียนรู้ สร้างประสบการณ์ ผ่านไป 5 ปี Tinker ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น ดีไซนเนอร์ และเริ่มออกแบบ Air Max 1รองเท้ารุ่นแรกของ Nike ที่มีเทคโนโลยีที่มีฟองอากาศโปร่งแสง และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเขาก็ออกแบบ Air Trainer 1 สนีกเกอร์ที่มี John Mcenroe  นักเทนนิสชื่อดังระดับตำนานเป็นพรีเซนเตอร์
“ในตอนนั้นผมยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Air Jordan เลย”
ในช่วงเวลานั้น Air Jordan เพิ่งเปิดตัว Air Jordan I และ Air Jordan II โดยรุ่นแรกออกแบบโดย Peter Moore ส่วนรุ่น II ออกแบบโดย Bruce Kilgore และ Peter Moore
อย่างที่รู้ๆ กันว่า Air Jordan I ขายดีถล่มทลาย ถึงขนาด Nike ยอมจ่ายค่าปรับให้ จอร์แดน $5,000 เหรียญสหรัฐทุกครั้งที่ลงแข่ง NBA  เนื่องจากมันถูกแบนว่าผิดกฏ
แต่สำหรับ Air Jordan II ทุกอย่างกลับต่างออกไป เนื่องจากในปี 1986 ที่ออกวางจำหน่าย ไมเคิล จอร์แดน บาดเจ็บ ต้องพักการแข่งขันเป็นระยะเวลานาน ทำให้เขาแทบจะไม่เคยสวมใส่ Air Jordan II ลงแข่งขันใน NBA เลย นอกจากศึก Slam Dunk Contest ในปี 1987 ส่งผลให้ยอดขายของสนีกเกอร์รุ่นนี้ ขายไม่ดีเท่าที่ควร
ตอนนั้น แบรนด์ Air Jordan กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะ จอร์แดน บาดเจ็บและมีท่าทีไม่อยากต่อสัญญา นอกจากนั้น Perter Moore ผู้ออกแบบ Air Jordan I ก็ลาออกจาก Nike และนั่นคือโอกาสของ Tinker Hartfield ที่จะได้แสดงฝีมือ
“ตอนผมไปพบกับไมเคิล จอร์แดน เป็นครั้งแรก ผมค่อนข้างประหม่า เพราะรู้ว่าเขาไม่ค่อยชอบ Nike เท่าใดนักในตอนนั้น” ฮาตฟิลด์ เล่าผ่านสื่อ
“แต่ทุกอย่างก็ต่างไปจากที่ผมคิด ไมเคิล จอร์แดน เป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง และเขาเป็นคนมีสไตล์มากจริงๆ”
Tinker ไปพบ จอร์แดน ที่ชิคาโก ในขณะที่กำลังเล่นปิงปองอยู่กับกลุ่มเพื่อน และเมื่อรู้ว่า ทิงเกอร์ มาพบเขาเรื่อง Air Jordan III ซุปเปอร์สตาร์ ของ ชิคาโก บูลส์ ก็หันมาสนใจทันที
“ผมอยากได้รองเท้าที่สามารถสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบายทันทีที่เอาออกจากกล่อง และที่สำคัญมันต้องสดใหม่ไม่เคยมีมาก่อน” จอร์แดน บอกความต้องการของตัวเอง
มันดูเป็นโจทย์ที่ดูแสนง่าย แต่ยากและกดดัน ทิงเกอร์ มากๆ   เขาไม่รู้ว่าจะออกแบบ Air Jordan III ยังไงให้ถูกใจ จอร์แดน เพื่อให้เขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับ Nike ต่อไป
“ในตอนนั้นผมอธิบายความกดดันของตัวเองไม่ออกเลย แต่ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมออกแบบออกมานั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากที่แล้วมา”
นั่นคือเหตุผลให้ Air Jordan III ไม่มี Swoosh หรือโลโก้ Nike ที่ทุกคนคุ้นเคย พร้อมใส่โลโก้ใหม่ Jumpman ลงไปแทน นอกจากนั้นยังประดับประดาด้วยลวดลายหนังช้าง ขับความเด่นชัดของ Air Unit ให้มากขึ้น ส่งผลให้ Air Jordan III แตกต่างจาก Air Jordan ที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
“ตอนที่ผมนำดีไซน์ Air Jordan III ไปเสนอ ผมจำได้ว่า จอร์แดน มีรอยยิ้มตลอดเวลา 20 นาที ของการนำเสนอเลยก็ว่าได้ เขาดูถูกใจมาก และตอบคำถามอย่างอารมณ์ดี”
และทั้งหมด…
คือเหตุผลที่ทำไม ทิงเกอร์ ฮาตฟิลด์ จึงเป็นดีไซน์เนอร์คู่ใจ ไมเคิล จอร์แดน มาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เพราะงานออกแบบ Air Jordan III ได้รับการตอบรับแบบคาดไม่ถึง ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำยอดขายถล่มทลาย และปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งใน Air Jordan รุ่นที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าสามสิบปีแล้วก็ตาม
และ ทิงเกอร์ยังคงออกแบบสานต่อแบรนด์ Air Jordan ตั้งแต่รุ่น III ต่อมาอีกเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ถึงแม้ตอนนี้ จอร์แดนจะเลิกเล่นบาสเกตบอลไปแล้วก็ตาม
Air Jordan X ถูกออกแบบโดย Tinker ในช่วงที่ MJ ยังเล่นเบสบอลอยู่ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจจึงไม่ได้ขอความเห็นด้านการสวมใส่จากเขาเหมือนเคย แต่เมื่อ Tinker Hatfield นำดีไซน์ของรองเท้ารุ่นนี้ไปให้ MJ ดูตัวอย่างเป็นครั้งแรก ผลคือ จอร์แดน ไม่ชอบมันเลย และสั่งให้แก้ไขทันที หลังจากปรับเปลี่ยนจนเป็นที่พอใจ Air Jordan X จึงถูกออกแบบให้มีความพิเศษด้วยการร้อยเชือกแบบรองเท้า ghillies (รองเท้าเต้นคล้ายรองเท้าบัลเลต์) และได้มีการพิมพ์เกียรติประวัติที่ MJ ได้รับตั้งแต่สมัย rookie จนถึงปี 1994 ลงบน outsole (ซึ่งส่งผลให้การยึดเกาะแย่ลงมาก)
แต่ในที่สุด เมื่อ MJ ตัดสินใจกลับสู่ NBA อีกครั้งพร้อมประโยคสุดคลาสสิค “I’m back.” และใส่มันลงสนาม  ตำนานบทใหม่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
สียอดฮิตของรุ่นนี้ คือ Chicago, UNC, Steel Grey, Shadow Black
ตำนาน Air Jordan ไม่ได้จบลงแค่ 10 รุ่น การหวลคืนกลับมา NBA อีกครั้งของเขา ยังมีอะไรน่าสนใจอีกมาก คงต้องติดตามในตอนต่อไป
ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเป็นกำลังใจให้ ด้วยนะครับ ขอขอบคุณ 😀
โฆษณา