Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อยากเขียน
•
ติดตาม
3 มิ.ย. 2020 เวลา 09:01 • บันเทิง
[Face off ไขคดีฆาตกรรมปริศนาศพไร้หน้า]
- บทที่ 3 : บ้าน -
“เป็นยังไงบ้างคะคุณนุ”
น้ำเสียงอ่อนโยนจากหญิงสาว ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น และเพ่งมองจนภาพที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆชัดเจนขึ้น ภาพที่อยู่เบื้องหน้าเป็นภาพใบหน้าของผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง ตาสองชั้น คิ้วโก่ง จมูกโด่งพองาม ปากเรียวได้รูป หน้ารูปไข่ แววตาของเธอแฝงความห่วงใย มีน้ำตาคลอเล็กน้อย
“ผม…”
“ปริมเองค่ะคุณนุ จำปริมได้ไหมคะ”
ผมเพ่งมองไปที่ใบหน้าของเธอ
“ผมจำไม่ได้…”
เธอทำหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด จากปฏิกิริยาของเธอตั้งแต่ผมตื่นมา แสดงถึงความรู้สึกพิเศษของเธอที่มีต่อผมอย่างชัดเจน
“คุณคือ…”
“ฉันปริม แฟนของคุณค่ะ จำได้ไหมคะ”
นี่ผมมีแฟนสวยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ให้ตายสิทำไมผมถึงกล้าลืมเธอนะ
“ผมขอโทษ ผมจำไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ปริมเข้าใจ” สีหน้าเธอปลงตก อย่างยอมรับได้ “คุณหมอก็บอกเอาไว้ ว่าต้องใช้เวลา”
“แล้ว เอ่อ คุณปริม ผมขอถามคุณบางอย่างได้ไหมครับ”
“ได้สิคะ”
“คือ ไม่ทราบว่าเราสองคนรู้จักกันมานานแค่ไหนครับ”
“หกปีได้แล้วคะ”
โอ้ รู้จักกันนานหกปี แต่ผมก็ยังจำเธอไม่ได้
“คุณหมอบอกว่าสภาพร่างกายของคุณแข็งแรงดี เย็นนี้ก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ ส่วนในเรื่องของอาการทางสมอง ไว้คุณหมอจะนัดมาเช็คอีกที”
“อ่อ ครับ”
ผมมองไปที่ใบหน้าของเธออีกครั้ง เห็นเธอส่งยิ้มน้อยๆที่แฝงไปด้วยความเศร้า ผมสงสารเธอจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงจำเธอไม่ได้เลย
เย็นวันนั้น คุณปริมช่วยเป็นธุระจัดการให้ผมออกจากโรงพยาบาล และขับรถพาผมไปส่งที่บ้าน ผมเห็นเธอ นึกชื่นชม เธอคงจะเป็นผู้หญิงทำงานเก่ง สไตล์ working woman เธอเป็นผู้หญิงรูปร่างบอบบาง แต่กลับดูคล่องแคล่ว ผิดกับที่เห็นภายนอก
ระหว่างเดินทางกลับ ผมมองไปที่ข้างทาง บรรยากาศดูคุ้นเคย คงเพราะผมผ่านถนนเส้นนี้บ่อยๆ เลยรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมหันไปหาคุณปริมซึ่งกำลังขับรถอยู่ เธอมีสีหน้าเหม่อลอย
“เอ่อ… คุณปริมครับ”
“เรียกปริมเฉยๆก็ได้ค่ะ ปกติคุณเรียกปริมอย่างนั้น”
“ครับ คุณปริม เอ่อ ปริม คือ ผมอยากรู้ว่าคุณเป็นใคร ทำงานที่ไหน อยู่ที่ไหน คุณรู้จักกับผมได้ยังไง เผื่อผมพอจะจำอะไรได้บ้างน่ะครับ”
ปริมหันมามองหน้าผม แล้วหันไปมองถนนต่อ
“ปริม เป็นพนักงานบริษัทkkk ค่ะ อยู่เขตbbb บ้านอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน ส่วนคุณ” ปริมเว้นไปนิด “คุณทำงานที่เดียวกับปริม”
“อ๋อ…เราสองคนเลย ได้รู้จักและคบกันเพราะทำงานที่เดียวกันใช่มั้ยครับ”
“เปล่าค่ะ” ผมขมวดคิ้ว “… จริงๆเรารู้จักกันก่อนหน้านี้” เธออธิบายต่อ
“อ้าว เหรอครับ”
เล่ายังไม่ทันจบ ปริมก็ขับรถเลี้ยวเข้าทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จากนั้นเธอก็เลี้ยวเข้าซอย แล้ววิ่งไปจนสุดซอย และจอดเทียบกับบ้านหลังหนึ่งทางซ้ายมือ
เธอเปิดประตูรถลงไป พร้อมกันผมก็เปิดประตูรถลงมาบ้าง ปริมรีบเดินเข้ามาประคองผม แต่ผมรู้สึกเขินๆ เลยพยายามบอกเธอว่าไม่เป็นไร ผมเดินเองได้ เธอยิ้มแล้วชี้นิ้วไปยังบ้านหลังใหญ่ สีขาว หลังคาสีฟ้า ที่อยู่ทางซ้ายมือที่ติดกับรถของเธอ
“นี่คือบ้านของคุณค่ะ” แล้วเธอก็ชี้นิ้วมาที่บ้านข้างๆ
“ส่วนนี่ บ้านของปริม”
ผมมองตามมือของเธอ ผมพบว่าบ้านของปริมกับบ้านของผมเป็นบ้านที่อยู่ติดกัน คือหมายถึงใช้กำแพงร่วมกันกันเลยทีเดียว นี่คงเป็นเหตุผลที่เธอบอกว่า ผมกับเธอรู้จักกันมาก่อนหน้าที่จะทำงานที่เดียวกัน
“เดี๋ยวคุณพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้เราไปทำงานด้วยกันนะคะ เพราะคุณยังขับรถไม่ได้ และเดาว่าคุณคงจะจำที่ทำงานไม่ได้เหมือนกัน อ้อ” เธอพูดพลางล้วงกระเป๋า “นี่…แว่นคุณค่ะ ปริมเก็บไว้ให้”
ผมยื่นมือออกไปรับ เป็นแว่นกรอบสีดำ ทรงสี่เหลี่ยมธรรมดา
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันเจ็ดโมงเช้าหน้าบ้านนะคะ คุณนุมีอะไรเรียกปริมได้เลยนะคะ”
พูดจบ เธอก็พาร่างบอบบางของเธอผ่านประตูรั้วสีน้ำตาลเข้าไป ผมนึกเสียใจที่ทำไมผมถึงจำผู้หญิงที่ทั้งสวยและแสนดีขนาดนี้ไม่ได้ แต่ก็นึกดีใจที่ถึงแม้ว่าผมจะจำอะไรไม่ได้ แต่เธอก็ยังดูแลผมดีขนาดนี้ เธอคงจะรักผมมากจริงๆ
ผมนึกพลางค้นข้าวของตัวเองที่ทางโรงพยาบาลคืนมาให้ พบพวงกุญแจชุดหนึ่ง เดาว่าน่าจะมีกุญแจบ้านอยู่ในนี้ ผมลองไขประตูอยู่พักใหญ่จึงไขออกแล้วเดินกะเผลกผ่านเข้าประตูบ้านตัวเองเข้าไป ข้างในตัวบ้านเป็นดีไซน์เรียบๆ มีเครื่องเรือน เครื่องใช้ทั่วไป ไม่ได้ตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ผมเห็นมีประตูอยู่ทางซ้ายมือเลยเปิดเข้าไป ผมพบตู้โชว์ทำจากไม้ข้างในมีจานชาม และตุ๊กตากับโมเดลการ์ตูนญี่ปุ่นเล็กๆ ตั้งอยู่เต็มตู้ไปหมดตั้งอยู่ในสุดของห้อง ส่วนตรงกลาง มีโต๊ะกลมเป็นโต๊ะกระจก มีแจกันดอกไม้เหี่ยวๆตั้งอยู่ตรงกลาง เคียงคู่กับเก้าอี้หวาย ดีไซน์เหมือนกับบ้านพวกตระกูลผู้ดีบางบ้าน เหมือนกับว่าผมพยายามให้มีเครื่องเรือนดีๆตั้งไว้ในห้อง แต่กลับขาดทักษะการตกแต่ง ซึ่งทำให้ดูไม่ค่อยเข้ากัน ผมคิดว่าห้องนี้คงจะเป็นห้องรับแขก น่าแปลกที่แม้ผมจะจำไม่ได้ แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยข้าวของทุกๆชิ้นอย่างประหลาด
ผมออกมาจากห้อง แล้วเดินกะเผลกเข้าไปข้างในทางขวามือเห็นเป็นโต๊ะ เก้าอี้ คล้ายๆกับโต๊ะรับประทานอาหาร มีเก้าอี้ประมาณ สี่ห้าตัว ข้างๆมีอ่างคล้ายๆกับอ่างล้างจาน และมีที่วางแก้ววางจาน นี่คงจะเป็นห้องครัว ผมไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง แต่เดินเลยไปเห็นมีบันได ผมค่อยๆเดินขึ้นไป ด้วยความที่ใส่เฝือกอยู่เลยเดินลำบากเล็กน้อย ผมเจอประตูห้องสองห้อง ผมตัดสินใจเปิดประตูห้องที่อยู่ตรงหน้าก่อน
ข้างในเป็นหิ้งพระ มีพระหลายรูปตั้งและวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่ฝาผนังมีรูปขาวดำ เป็นภาพถ่ายครึ่งตัวของหญิงกับชายวัยกลางคน ผมเห็นปุ๊บก็จำได้ทันที
พ่อกับแม่ผม
ใช่ ผมเพิ่งนึกออก พ่อกับแม่เสียไปหลายปีแล้ว พ่อเสียด้วยโรคชรา ส่วนแม่เสียเพราะป่วยด้วยโรคร้าย ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย ว่าถึงแม้จะความจำเสื่อม แต่ก็ยังจำพ่อกับแม่ได้
น่าแปลก ที่ห้องนี้ดูสะอาดสะอ้านถ้าเทียบกับห้องอื่นที่ผมเห็น นี่ผมเป็นคนธรรมะธรรมโมขนาดนี้เลยเหรอ
ผมมองทั่วๆแล้วจึงค่อยๆเดินออกมาจากห้อง จากนั้นผมก็เปิดประตูห้องที่อยู่ด้านซ้ายมือ ซึ่งห้องนี้เป็นห้องนอนของผมตามที่คาดไว้
ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าห้อง ผมรู้สึกเหมือนมีลมพัดมาวูบหนึ่ง ผมนึกแปลกใจในตอนแรก แต่แล้วผมก็เห็นม่านสีเทาอ่อนๆปลิวเบาๆ เลยรู้ว่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ผมเดินเข้าไปเห็นเตียงนอนถูกผ้าคลุมเตียงสีเทา คลุมไว้อย่างเรียบร้อย และมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีโน้ตบุ๊คสีดำ และเอกสารต่างๆตั้งไว้ ผมเดาว่าคงเป็นงานกระมัง
......
ผมเดินไปที่โต๊ะนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเปิดโน้ตบุ๊คขึ้นมา ผมรู้สึกคุ้นเคยกับการใช้มันมาก แต่แล้วก็มีพาสเวิร์ดขึ้นมา
“ทำยังไงดีล่ะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ให้ตายเถอะ ผมจำไม่ได้แม้กระทั่งพาสเวิร์ดโน้ตบุ๊คของตัวเอง
แล้วผมก็นึกอะไรออก ผมลองล้วงกระเป๋าตังค์ที่ทางโรงพยาบาลคืนมาให้ออกมาจากกระเป๋าตัวเอง แล้วหาบัตรประชาชน ผมลองเช็คไปที่วันเดือนปีเกิด อืม..วันที่ 28 มิถุนายน 2525
ผมลองใส่ 28062525 ไปดู แล้วกด enter
ปรากฏว่าเข้าไม่ได้ ผมลองสลับที่ใส่ 25250628 ก็เข้าไม่ได้ ผมนึกเอะใจหรือจะเป็น ค.ศ. 1982 กันหว่า ผมลองใส่ทั้งปีเกิดเปล่าๆ รวมทั้งสลับที่หน้าหลัง ก็เข้าไม่ได้เลย
ผมเซ็งจัด พอพยายามจะนึกก็เหมือนจะปวดศีรษะขึ้นมา ผมตัดสินใจไม่นึกอะไรต่อ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยถามข้อมูลจากปริมเพิ่มเติมก็แล้วกัน ผมค่อยๆเดินกะหย็องกะแหย็งไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องอาบน้ำ สระผม ถูสบู่ จนสะอาด แล้วพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาหยิบชุดนอนใส่ น่าแปลก ผมจำห้องนี้ไม่ได้ แต่กลับหยิบทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกต้องคล่องแคล่ว ราวกับมันเป็นสัญชาตญาณ
ผมรู้สึกสบายตัวขึ้น แต่ก็รู้สึกเพลียๆ คงเป็นเพราะผมนอนมากไปตอนอยู่โรงพยาบาล ผมค้นโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวที่ใส่ก่อนอาบน้ำพบว่ามันแบตหมด ผมเห็นที่ชาร์จมือถือวางอยู่บนโต๊ะ ผมจึงคว้ามันมาแล้วเสียบกับปลั๊กไฟสักพัก ผมลองเปิดเครื่อง ปรากฏว่ามีข้อความประมาณ สี่สิบข้อความเตือนว่าสายไม่ได้รับ ผมลองกดเข้าไปดู
......
เมนูสายโทรเข้า มีขึ้นชื่อ ปริมประมาณ ยี่สิบสาย แต่ผมไม่ได้รับสายเธอ พอเลื่อนลงมาเป็นชื่อเอก โทรเข้ามาประมาณสิบกว่าสาย แต่ผมไม่ได้รับสายเขาเช่นกัน ผมเข้าไปดูที่ไลน์ เห็นปริมโทรไลน์มาด้วยอีกห้าหกสาย พร้อมข้อความ
คุณนุ ทำไมติดต่อไม่ได้เลยเป็นอะไรหรือเปล่า
อยู่ที่ไหน ปริมเป็นห่วงคุณมากนะคะ โทรกลับด้วยค่ะ
คุณนุ รับสายด้วยนะคะ
ฯลฯ
ผมอ่านข้อความแล้วรู้สึกว่าเธอคงเป็นห่วงผมมาก ดูจากเวลาที่เธอโทรเข้ามาและเวลาที่ไลน์มา เป็นช่วงเวลาก่อนผมโดนรถชนพอดี (เห็นหมอบอกว่าผมโดนหามเข้าโรงพยาบาลมาเวลานั้น) แล้วในเมื่อเป็นช่วงก่อนโดนรถชน ทำไมผมถึงไม่รับสายเธอกันนะ?
ผมเข้าไปในไลน์ของเอก เห็นเป็นข้อความเสียงเข้ามายาวๆราวๆ สิบวิ ผมกด แล้วเอาหูแนบฟัง
“เฮ้ย ไอ้นุแกอยู่ไหนวะ ข้าโทรหาแกเป็นสิบๆครั้งแล้วแกไม่รับสายเลย นี่ปริมก็โทรมาถามหาแก แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าแกอยู่ไหน ถ้ายังไงติดต่อกลับด่วนนะเว้ย”
ผมนึกตาม เกิดอะไรขึ้นกับผมวันนั้นกันนะ ทำไมผมถึงไม่รับสายใคร แต่ดูท่าแล้วปริม กับเอกน่าจะอยู่ในกลุ่มที่สนิทกับผมที่สุด เพราะนอกนั้นดูเหมือนจะไม่มีใครโทรหาผม ผมเริ่มปวดหัวจี๊ดๆ เลยวางโทรศัพท์ลง มือควานหายาที่โรงพยาบาลให้มา ผมหยิบยามาใส่ปากแล้วดื่มน้ำตาม จากนั้นพอหัวถึงหมอน ผมก็ผล็อยหลับไป
………………………………………………………………………………………………
“ผู้กองครับ รอผมด้วยครับ!” จ่านพวิ่งกระหืดกระหอบออกมาหาภูวไนยที่กำลังเตรียมขึ้นรถ
“อ้าว จ่านพ ไหนว่าวันนี้ไม่ว่างยังไงล่ะ”
“พอดีผมเคลียร์งานทางนั้นเสร็จทันพอดีน่ะครับ” จ่านพตอบทั้งๆที่ยังหอบอยู่
“เรียกว่าเบี้ยวงานทางนู้นมามากกว่าล่ะมั้ง” ภูวไนยพูดยิ้มๆ
“อ่าว ผู้กองครับ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมน่ะคดีที่สำคัญที่สุดต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง” จ่านพพูดพลางทำท่าทางยืนตรงแข็งขัน
ภูวไนย ส่ายหน้ายิ้มๆ รู้ถึงความกะล่อนของลูกน้องดี
“เอาเถอะ ไปสอบปากคำกัน”
……………………………………………………………………………………………….
ร้านกาแฟใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง
“ผมว่า ผมเล่าเรื่องที่ต้องเล่าไปหมดแล้วนะ คุณตำรวจ”
พันโทเดชา เหมะโยธิน เป็นผู้พันที่มีชื่อเสียง และเคยออกสื่อทางโทรทัศน์มากมาย กำลังพูดกับคนตรงหน้า น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“ใจเย็นๆครับท่าน ผมเองเพิ่งได้รับผิดชอบคดีนี้มา แล้วก็อ่านสำนวนคดีไปแล้ว แต่ยังมีหลายจุดที่สงสัย เลยอยากขออนุญาตสอบปากคำเพิ่มเติมน่ะครับ”
ผู้พันเดชาถอนหายใจ “ก่อนนี้ที่ผมให้ปากคำ ตำรวจก็ซักผมละเอียดยิบ ผมก็บอกทุกสิ่งทุกอย่างไปตามที่รู้”
“แต่ในส่วนของคุณนายเบญจพิศ ผู้เคราะห์ร้ายคนที่สองของคดี ซึ่งเป็นภรรยาของท่าน มันมีจุดที่แปลกอยู่นะครับ”
ผู้พันเดชาหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมโน้มตัวลงมาข้างหน้า
“แปลกตรงไหน”
“ท่านบอกว่า ในวันที่เกิดเหตุ ท่านกับคุณนายเบญจพิศออกไปทานอาหารข้างนอกบ้านด้วยกัน”
“ใช่ แล้วไง”
“แล้วท่านก็บอกว่า ท่านกับคุณนายทานอาหารกันอยู่ที่ร้านอาหาร เมื่อทานเสร็จ เธอขอตัวเข้าห้องน้ำ แต่ว่าเธอเข้าห้องน้ำนานมาก ไม่กลับมาซะที ท่านเลยลุกเข้าไปดูที่ห้องน้ำหญิง แต่ปรากฎว่าเธอก็หายไป”
“ถูก”
“หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจขับรถกลับบ้าน โดยที่ไม่คิดจะตามหาที่อื่นอีก”
“ก็แล้วมันแปลกยังไง”
“ก็ทำไม พอเธอหายไป ท่านถึงไม่รีบตามหาตามที่ต่างๆ หรือแจ้งเจ้าของร้านว่า มีคนหายไป มีทางออกตรงไหนบ้างมั้ย หรือมีใครเห็นเธอบ้างมั้ย ปกติถ้าจู่ๆมีคนหายไป คนทั่วไปก็น่าจะทำอย่างนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่า ผมกับเธอมีปากเสียงกันนิดหน่อย ผมเลยคิดว่าเธอคงงอน เลยแกล้งทำเป็นเข้าห้องน้ำ แต่จริงๆแล้วหนีกลับบ้านไปก่อน”
“ทำไมท่านถึงคิดว่าเธองอน แล้วหนีกลับบ้านไป เธอเคยเป็นแบบนี้หรือ”
“คุณตำรวจ คุณไม่รู้หรอกว่า ภรรยาผมขี้งอนขนาดไหน เมื่อก่อนเราเคยไปเที่ยวไปตั้งแคมป์ด้วยกันบนเขา เราเกิดทะเลาะกันคืนนั้น พอวันต่อมา เธอก็หายไปจากเต้นท์ ผมแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้ค้นหาบริเวณนั้นทั้งหมด โทรศัพท์ไปเธอก็ปิดเครื่อง ผมกะว่าถ้าไม่เจอก็จะแจ้งตำรวจ แต่พอผมขับรถกลับบ้านไปปรากฏว่า เธอกำลังนั่งดูโทรทัศน์สบายใจเฉิบ นี่ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ครั้งอื่นๆก็เป็นเหมือนกัน ไม่ว่าจะตอนไปเที่ยวทะเล เที่ยวเกาะ เธอเป็นแบบนี้บ่อยมากจนผมเริ่มจะชิน”
“นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ท่านคิดว่า ครั้งนี้ภรรยาท่านก็คงงอนหนีกลับบ้านเหมือนเดิม”
“ถ้าคุณเป็นผม คุณจะคิดว่ายังไงล่ะ” ผู้พันย้อนถาม
ภูวไนยไม่ตอบ “ท่านบอกว่า วันนั้นท่านไม่โทรตามเธอ ทำไมถึงไม่โทรตาม”
“ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน อยากให้เธอรู้บ้างว่าผมก็เบื่อที่เธอเป็นแบบนี้”
“หลังจากนั้น พอท่านกลับบ้านก็ไม่พบภรรยาอยู่ที่บ้าน แต่ท่านก็ไม่โทรตามทันที กว่าจะโทรก็ดึก แล้วในมือถือ ก็ยืนยันเวลาโทรเข้าของท่านตอนนั้นจริงๆ” ภูวไนยเน้นเสียง
“ผมก็คิดว่า เธอคงงอนรอให้โทรหาค่อยกลับเข้าบ้าน รอบนี้ผมอยากสั่งสอนเธอบ้างเลยไม่โทร”
“มีใครเป็นพยานยืนยันที่อยู่ให้ท่านได้บ้าง ว่าท่านอยู่ที่บ้านน่ะครับ”
“คุณตำรวจ พูดแบบนี้ไม่ให้เกียรติผมเลยนะ ” ผู้พัน พูดเสียงแข็ง
“ผมจำเป็นต้องถาม ไปตามรูปคดีน่ะครับ”
“ตามรูปคดี คุณกำลังสงสัยผม ผมเป็นผู้เสียหาย ผู้ตายเป็นภรรยาของผม ถึงผมจะไม่เชื่อมือพวกตำรวจ แต่ถ้าคุณมีเวลาสืบ และคิดเรื่องบ้าๆ อย่างการสงสัยผมว่าผมเป็นฆาตกรฆ่าภรรยาตัวเอง คุณเอาเวลาไปจับไอ้ฆาตกรนั่นดีกว่า” ผู้พันพูดด้วยอารมณ์โมโห แล้วยืนขึ้น “คุณกลับไปได้แล้ว ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” พูดจบก็เดินจากไปทันที
ภูวไนยหันไปทางจ่านพที่ยังนั่งนิ่ง
“ได้อัดไว้มั้ยจ่า”
“ทุกคำพูดครับผู้กอง” จ่านพพูดพลางหยิบเครื่องอัดเสียงออกมาจากแจกันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
“ว่าแต่ ทำไมรอบนี้เราต้องแอบอัดเสียงด้วยล่ะครับ”
“ก็สำนวนคดีเก่าที่ผมอ่าน มันแปลกน่ะสิที่มีเฉพาะของผู้พันที่ไม่มีไฟล์เสียงให้ฟัง ผมเลยไปสอบถามตำรวจที่รับผิดชอบคดีก่อนผม เห็นบอกว่าผู้พันปฏิเสธการให้บันทึกเสียง ซึ่งคดีนี้จริงๆแล้วดังมาก สื่อพยายามสัมภาษณ์ผู้พัน แต่แกกลับพยายามเลี่ยงที่จะให้สัมภาษณ์ ได้แต่บอกว่าแกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วก็ขอร้องสื่อมวลชนว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก”
“แปลกจังนะครับ”
“นั่นน่ะสิ” ภูวไนยครุ่นคิด
“เท่าที่รู้ พวกคนรับใช้ในบ้านของผู้พันส่วนใหญ่ขอลาพักร้อน นอกนั้นคนรับใช้ที่ยังอยู่ในบ้านก็ไม่มีใครเห็นว่าผู้พันอยู่ในบ้านหรือเปล่า ตลอดจนช่วงเวลาที่คุณนายเบญจพิศถูกฆ่าด้วยครับ”
“พวกคนในร้านอาหารที่ผู้พันกับคุณนายไปทานด้วยกัน ก็ไม่มีใครเห็นแน่ชัดว่าสองคนนี้เค้ามีปากเสียงกันจริงๆหรือเปล่า” ภูวไนยเสริม
“ผู้กองกำลังสงสัยผู้พันอย่างที่เขาว่าจริงๆใช่ไหมครับ”
“ผมก็สงสัยในส่วนที่ยังไม่กระจ่างทุกส่วน เพราะต่อให้เราสงสัยผู้พัน ผมก็ยังไม่เห็นเหตุจูงใจว่าทำไมเขาต้องฆ่าเหยื่อคนแรกกับคนที่สาม”
จ่านพนิ่งเงียบคิดตาม
“ผมว่า เราคงต้องไปที่เกิดเหตุเก่าๆ เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติมแล้วล่ะ”
พูดจบ ภูวไนยก็ชวนจ่านพขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
……………………………………………………………………………………………
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
[Face off ไขคดีฆาตกรรมปริศนาศพไร้หน้า]
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย