5 มิ.ย. 2020 เวลา 08:31 • ไลฟ์สไตล์
การเหยียดสีผิวในอเมริกา (Racism in America)
ช่วงนี้ทุกคนคงได้เห็นข่าวเกี่ยวกับ Goerge Floyd คนอเมริกันผิวดำที่ถูกตำรวจผิวขาวทำการจับกุมจนเสียชีวิต เกิดขึ้นที่อเมริกาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ทำให้เกิดการประท้วงซึ่งขณะนี้เป็นวันที่ 10 เข้าไปแล้ว และได้ลุกลามจนกลายเป็นการจราจลในหลายๆรัฐ มีการเผาร้านค้า บุกเข้าไปขโมยของและทำความเสียหายอย่างกว้างขวาง มี national guards ออกมายืนคุ้มกันอยู่ใน Washington DC หรือในบางรัฐที่มีการจราจล ก็ต้องบอกว่าคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์อย่างนี้ในอเมริกาซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ...
การเหยียดสีผิวเกิดขึ้นในหลายๆประเทศทั่วโลกมานานหลายศตวรรษแล้ว ในอเมริกาเขาเชื่อกันว่าการเหยียดสีผิวเกิดขึ้นตั้งแต่สมัย Colonial Era ซึ่งประมาณต้นๆศตวรรษที่ 16 ช่วงที่มีการล่าอาณานิคม ซึ่งคนดำที่ถูกต้อนมาส่วนใหญ่จะมาจากแอฟริกาก็จะมีฐานะเป็นทาส จนกระทั่งมีการเลิกทาสโดยประธานาธิปดี Abraham Lincoln ในปี 1865 แต่การเหยียดสีผิวก็ยังดำเนินต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้
นีน่าขอแชร์ประสบการณ์ที่เคยเจอเหตุการณ์ที่ถูกเหยียดผิวตอนช่วงที่อยู่ที่อเมริกามาให้พอเป็นประสบการณ์กันนะคะ ถามว่าคนอเมริกันดูถูกหรือเหยียดคนเอเชียหรือเปล่า คำตอบคือ ใช่ แต่นีน่ามีเพื่อนคนอเมริกันที่มาจากนิวเจอร์ซี่ เขาบอกว่าคนอเมริกันจะรู้สึกว่าคนเอเชียฉลาด ซึ่งคนเอเชียที่ทำให้คนอเมริกันรู้สึกแบบนี้ก็คงไม่ใช่คนเอเชียทุกคน แต่เป็นคนเอเชียที่มีการศึกษา ทำงานและมีตำแหน่งงานที่ดี ซึ่งก็ถือว่าเป็นมุมมองลึกๆที่ได้มาจากเพื่อนสนิทคนอเมริกัน …
เชื่อว่าคนไทยทุกคนเวลาที่อยู่ประเทศอเมริกาจะต้องเจอคำถามยอดฮิตจากคนอเมริกันกันทุกคน พอคิดออกไหมคะว่าคำถามนั้นคืออะไร … เก่งมากคะ คิดว่าทุกคนทายถูก คำถามนั้นคือ "คนไทยยังขี่ช้างอยู่ไหม" นีน่าก็โดนคำถามนี้ตอนที่นั่งเรียนอยู่ในห้อง แถมมีอีกคำถามหนึ่งคือ "ธรรมดาแต่งตัวแบบนี้หรือเปล่า" … เจอคำถามแล้วถึงกับอึ้ง ก็ถามเขาว่า ยูหมายความว่าอย่างไร? เชื่อว่าคนไทยบางคนในตอนนี้ก็ยังคงเจอคำถามแนวๆนี้อยู่ แรกๆก็รู้สึกโกรธนิดๆเหมือนกัน แต่พออยู่ไปอยู่มาก็เข้าใจว่าคนอเมริกันบางคนไม่เคยออกจากประเทศของเขาเลย สิ่งที่เขาเห็นและรู้เกี่ยวกับเมืองไทยก็คือที่เห็นในทีวี (ซึ่งก็จะเห็นคนไทยขี่ช้างกัน) เลยไม่เข้าใจว่าโลกข้างนอกเขาไปถึงไหนกันแล้ว
ช่วงที่เจอหนักๆจะเป็นช่่วงที่เกิด September 11 ที่ตึก World Trade ถล่ม ช่วงนั้นจะเห็นถึงความไม่เป็นมิตรเลย คนต่างชาติที่เหมือนคนอินเดียหรือ middle east ก็จะออกจากบ้านไม่ได้ ในอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่มีคนอินเดียอยู่หนึ่งคน เขาไม่กล้าออกไปทำงานเลยเป็นเดือนๆ ซึ่งที่ทำงานก็ไล่เขาออกไม่ได้เพราะก่อนหน้านั้นมีศาสตราจารย์คนอินเดียที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยถูกคนขาวที่โกรธแค้นฆ่าตาย ที่นีน่าเจอเองคือตอนไปจอดรถเติมน้ำมัน ก็มีคนขาวกลุ่มหนึ่งขับรถผ่านมา พอเห็นพวกเราก็ตะโกนไล่ บอกให้กลับประเทศไป ต้องบอกว่าเกิดมาไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน หน้าชาเลย โชคดีที่มีเพื่อนอเมริกันคนขาวนั่งอยู่ในรถด้วย เพื่อนอเมริกันคนนี้ก็เลยช่วยตะโกนกลับไปว่าให้พวกนั้น shut up แล้วบอกว่าพวกเราเป็นคนไทย แต่ต้องบอกว่าไม่สนุกเลยในการอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดและไม่รู้ว่าเราอาจจะซวยเมื่อไหร่ก็ได้
ตอนแรกๆที่ทำงานที่อเมริกา ก็เป็นคนต่างชาติคนเดียว ถึงเราจะพูดภาษาเขาได้ แต่ก็จะมี accent หรือสำเนียง และบางคำเราก็ออกเสียงไม่ชัดเหมือนเขา ก็จะมีเพื่อนบางคนที่แซว แต่เราจะรู้ว่าแซวด้วยความเอ็นดูหรือจะมีบางคนที่แซวเราด้วยความรู้สึกดูถูกเล็กๆ ก็รู้หรอก หรือนีน่ามีหัวหน้าอยู่คนหนึ่งซึ่งเวลาแนะนำจะชอบแนะนำว่า "Nina from Taiwan" คือแยกไม่ออกว่า Taiwan กับ Thailand ต่างกันอย่างไร จนสุดท้ายหลายครั้งมากจนเพื่อนๆในทีมแท็กทีมกันช่วยตะโกนว่า "She is from THAILAND!" … ก็แนะนำว่าอย่าไปใส่ใจในทุกเรื่อง พยายาม positive หรือมองบวก ไม่อย่างนั้นจะทำให้เราอยู่อย่างไม่มีความสุข
นีน่าเองก็มีเพื่อนคนดำหลายคน เคยมีหัวหน้าที่เป็นคนดำด้วย ต้องบอกว่าตัวเราเองไม่มีปัญหาอะไรกับคนดำเลย ลึกๆจะรู้สึกด้วยว่าคนดำน่ารัก มีความใสซื่อเล็กๆด้วยซ้ำ (แต่ไม่ทุกคนนะ) โดยทั่วไปคนขาวจะเห็นคนดำว่าเป็นคนขี้เกียจ ชอบโวยวาย ซึ่งก็มีบ้าง อย่างที่เห็นชัดเวลาไปซื้อของ ยกตัวอย่าง เช่น Walmart, Target เวลาได้คนดำที่เป็นคนคิดเงินก็จะเห็นว่าเขาทำงานช้า ดูขี้เกียจๆ ชอบพูดโน่นพูดนี่มากกว่าจะทำงาน เวลารีบๆก็ยอมรับว่าจะไปหาแถวที่ไม่ใช่คนดำเพราะเรารู้สึกว่าจะช้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย ตอนนี้โตแล้วก็มาคิดได้ว่า ทุกชาติทุกภาษาก็มีทั้งคนขยันและคนขี้เกียจ เราไม่ควรตราหน้าว่าใครเป็นอย่างไร รวมทั้งนีน่ามีหัวหน้าที่เป็นคนดำอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่ฉลาด น่ารัก มีน้ำใจ ให้โอกาสคน และให้คำแนะนำที่ดีๆมากมาย ซึ่งก็ยังคิดถึงอยู่และรู้สึกขอบคุณทุกครั้งเวลาได้เอาคำแนะนำดีๆที่ให้มาใช้
เร็วๆนี้เห็นข่าวบางข่าวพูดว่าคนเอเชีย หรือ คนจีน ดูถูกคนดำ ก็รู้สึกว่ากำลังมีความพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็นตอนนี้ จากคนขาวคนดำ เป็นคนเอเชียกับคนดำ อย่าไปหลงกลนะ นีน่าเป็นคนเอเชียอยู่ในประเทศอเมริกามานาน ต้องบอกว่าไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ คนดำเองที่รู้จักก็ออกจะเอ็ดดูคนเอเชียด้วยซ้ำไป ถ้ามี อันนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนเองแล้ว อย่าไปสนับสนุนหรือแชร์ข้อความต่อ เพราะไม่อยากเห็นความแตกแยกของเชื้อชาติเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งมันก็ไม่เป็นความจริงเลย
ก่อนจะกลับเมืองไทยก็เจอเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งลึกๆก็รู้ว่าโดนแกล้ง คือ
กำลังขับรถอยู่ในโซนขอบๆ down town ตอนนั้นทำงานอยู่แล้วกำลังจะขับแซงคันหน้า ก็เลยเร่งขึ้นมานิดหน่อย โดยตำรวจคนดำที่ขับตามมาสักพักเรียกให้หยุดและเขียนใบสั่งให้เลย อยู่ที่อเมริกามาตั้งนาน ไม่เคยโดนใบสั่งเลย เคยโดนเรียกเหมือนกัน โดยตำรวจคนขาว แต่ตำรวจที่นี่เขาจะน่ารัก เราจะพูดกับเขาดีๆว่ารีบเพราะอะไร ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้ขับน่าเกลียดนัก เขาจะให้คำตักเตือนแล้วปล่อยไป แต่ครั้งนี้ต้องบอกเลยว่าทั้งท่าทาง คำพูด รู้เลยว่าโดนแน่ๆ มาจากการเหยียดผิว ยังจำได้ว่าตอนนั้นก็แอบคิดในใจว่า คนดำก็เจอมาแบบนี้ ทำไมถึงทำกับเราแบบนี้ น่าจะเข้าใจความรู้สึกนะ แล้วที่เจ็บใจมากๆก็คือความเร็วที่โดนประมาณ 42 miles/hour (ในโซนขอบ down town แถวนั้น ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ 40 miles/hour) คือเกินมาแค่ 2 miles เห็นใบสั่งแล้วพูดไม่ออกเลย ซึ่งก่อนหน้านั้นที่เคยโดนเรียกมา ต้องบอกว่าควรจะโดนใบสั่งมากกว่าอีก เพราะขับเร็วมากกว่าด้วยซ้ำ
สุดท้ายก็ต้องไปขึ้นศาล แต่เพราะเป็นครั้งแรก ศาลเลยให้เลือกว่าจะจ่ายใบสั่งหรือไปเข้าคลาสเรียน 1 วันแทน แแล้วเขาจะเอา record ออกให้ ก็เลยต้องไปนั่งเรียนทั้งวัน ต้องบอกว่าน่าเบื่อมาก ไปสายก็ไม่ได้ ออกก่อนก็ไม่ได้ คนสอนต้องให้อยู่จนถึงวินาทีสุดท้ายถึงจะให้ผ่าน
พูดถึงเรื่องโดนตำรวจเรียก ต้องขอแชร์เพื่อเป็นความรู้นิดนึงนะคะ เขาจะใช้คำว่า "pull over" ซึ่งแปลว่าให้จอดข้างทาง สิ่งที่เราควรทำคือให้ขับช้าๆแล้วจอดที่ข้างทางอย่างปลอดภัย พอรถนิ่งแล้วให้เอามือทั้งสองข้างวางไว้ที่พวงมาลัยเฉยๆ ห้ามหยิบโน่นหยิบนี่ หรืออยู่ไม่นิ่ง เพราะเวลาตำรวจเดินมาที่รถเรา มือข้างหนึ่งเขาจะจับปืนที่เอวเอาไว้ ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันตัว ถ้าเขานึกว่าเราทำอะไรแปลกๆ เขาอาจจะควักปืนออกมาได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะคะ ต้องเอามือวางที่พวงมาลัยไว้นิ่งๆ พอตำรวจเดินมาแล้วเขาจะสั่งให้เราเอากระจกลง เราก็ค่อยๆเอากระจกลง ส่วนใหญ่เขาจะขอ "driver license and registration" ซึ่งก็คือใบขับขี่กับทะเบียนรถ
เราก็ทำแบบช้าๆนะคะ บอกเขาว่าอยู่ในกระเป๋า อยู่ที่เก๊ะหน้ารถ เรากำลังจะเอื้อมมือไปเอาให้นะ พยายามทำอะไรช้าๆและบอกตำรวจก่อนว่ากำลังจะทำอะไร
บทความนี้ก็ยาวเกินความตั้งใจอีกแล้ว แต่ต้องบอกว่าคนดำในอเมริกาก็โดนเยอะจริงๆ เข้าใจถึงความรู้สึกเลยว่าเวลาขับรถออกไปข้างนอกหรือทำอะไร คนดำเขาจะมีความกลัวลึกๆเวลาโดนตำรวจเรียก กลัวจะโดนแกล้งสารพัด ในชีวิตจริงก็ต้องยอมรับว่ายังมีอยู่จริงๆ ก็ประมาณ 155 ปีมาแล้วที่มีการเลิกทาสในอเมริกา แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีให้เห็นเป็นระยะๆ เคยมีคนพูดว่า ถ้าเรายังแบ่งแยกทุกอย่างในชีวิต เช่น สีขาวคือสีที่บริสุทธิ์ สีดำคือสีที่สกปรกหรือสีแห่งความเศร้า หรือการแบ่งแยกเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิต เรื่องเหล่านี้ก็คงจะไม่มีทางหมดไปในโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น คำถามที่ควรจะมีให้กับตัวเราเอง คือ "เราจะคิดหรือจะทำอย่างไร" คงไปบังคับใครไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า สังคมที่เราบ่นว่า ก็มาจากตัวเราทุกคนนั่นเอง (We blame society, but we are society) เพราะฉะนั้น อยากอยู่ในสังคมแบบไหน ก็ทำแบบนั้น เปลี่ยนที่ตัวเองก่อน ไม่ต้องรอใคร แล้วสังคมที่เราอยู่ก็จะเปลี่ยนเอง
Until next time ...
สนใจอ่านบทความก่อนหน้านี้ กดที่ links ข้างล่างนี้เลยคะ
1. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 1 https://www.blockdit.com/articles/5d7ca38eb352790fa6a95472
2. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 2 https://www.blockdit.com/articles/5d7f3aa9494e230e3f4a669c
3. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 3
4. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 1 https://www.blockdit.com/articles/5d8c419a4b1ade063b4555ed
5. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 2 https://www.blockdit.com/articles/5da5a63df5f84f5ec19f625a
6. คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Ep. 1
7. คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Ep. 2
8. CoVID 19 กับความคิดของคนอเมริกัน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา