เมื่อถึงวันที่เมืองจะเคลื่อนตัวเรียงกัน พระศิวะทรงสั่งให้สร้างรถศึกอันมีพระแม่ปฤถวีหรือผืนดินเป็นตัวรถศึก พระสูรยะหรือดวงอาทิตย์กับพระจันทร์เป็นล้อรถ พระพรหมาทรงเป็นสารถี เขาพระสุเมรุเป็นคันศร วาสุกินาคเป็นสายธนู พระวิษณุทรงเป็นลูกศร พระอัคนิทรงเป็นหัวลูกศร และพระวายุทรงอยู่ในขนนกที่อยู่ด้านหลังของลูกศร ส่วนเหล่าเทวดาองค์อื่นทรงอยู่ในส่วนต่างๆ ของรถศึก ในขณะที่พระศิวะทรงกำลังยิงลูกศร เหล่าเทวดาก็ดีใจมากที่ตนมีส่วนช่วยในการทำลายเมืองของเหล่าอสุรและคิดว่าพระศิวะทรงไม่สามารถทำได้หากไม่มีพวกตน
พระศิวะทรงทราบความคิดของเหล่าเทวดา พระศิวะจึงทรงไม่ยิงธนูและทำเพียงแค่การยิ้ม ทันใดนั้นเมืองของเหล่าอสุรก็ถูกไฟเผาทันทีทันใด พระพรหมาทรงอ้อนวอนพระศิวะว่าเหล่าเทวดาคิดผิดไปแล้ว พระศิวะทรงควรให้อภัยและยิงลูกศรออกไป มิเช่นนั้นเหล่าเทวดาจะมีชื่อเสียไปตลอดว่าเป็นผู้ทำให้รถศึกในครั้งนี้ไม่มีความหมาย พระศิวะจึงทรงยิงลูกศรใส่เมืองที่ลุกไหม้อยู่แล้ว เมื่อพระศิวะทรงนั่งบนรถศึกก่อนจะมุ่งหน้าไปสู่สงคราม รถศึกไม่สามารถมุ่งหน้าไปได้ พระวิษณุทรงแปลงกายเป็นกระทิงแล้วทรงลากรถศึกไปยังสนามรบแล้วจึงไปสถิตเป็นธงรูปกระทิงบนยอดรถศึกของพระศิวะ
หลังจากทำลายเมืองทั้ง3เมืองของเหล่าอสุรแล้ว พระศิวะทรงเริ่มตาณฑวะ-นฤตยะบนเศษธุลีของเมืองอสุร ซึ่งเรียกว่า”ตรีปุระ นาษะ นารตนะ” เหล่าเทวดาจึงเข้าใจว่า
1) พระศิวะทรงสามารถเอาพลังของใครหรือสิ่งใดมาใช้ก็ได้ เพราะมันเป็นพลังของพระองค์ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว
2) ถึงแม้ว่าพรที่ได้รับคือการที่ต้องยิงธนู1ดอก1ครั้งเมืองจึงจะถูกทำลาย แต่พระศิวะก็ทรงมีอำนาจสูงสุดเหนือพรนั้น
3) พระศิวะไม่ทรงต้องการรถศึกอันโอฬาร, คันศรที่มาจากเขาพระสุเมรุ, ลูกศรที่มาจากพระวิษณุ, ฯลฯ พระองค์ทรงสามารถสร้างและทำลายทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องทำลายขยับพระเนตร
การยิ้มและเผา การกระทำนี้ของพระศิวะในทางตมิฬเป็นสิ่งสวยงามที่เรียกว่า”สิรินตุปปุรเมริตะ เปรุมาน” ที่แปลว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้หัวเราะและเผาเมืองทั้ง3เมือง
ส่วนมยาสุร ผู้เป็นศิวสาวก นันทิได้ไปบอกให้มยาสุรรีบหนีไปจากเมืองของอสุร3พี่น้อง มยาสุรจึงหนีไปได้ก่อนที่เมืองที่ตนสร้างขึ้นจะถูกทำลายลงไป