7 มิ.ย. 2020 เวลา 15:03 • ข่าว
รถไฟความเร็วสูง สัญชาติไทย
นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มีมติอนุมัติโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง
เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย
(ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา)
ภายใต้กรอบวงเงิน 179,412 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 11 ก.ค.2560 จะพบว่าตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา การดำเนินโครงการฯมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในการประมูลงานโยธารถไฟความเร็วสูงทั้ง 11 สัญญารอบนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์การ ‘รุกคืบ’ ของ ‘บริษัทจีน’ ซึ่งเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้รับเหมาไทย และได้มีการ ‘ดัมพ์’ ราคาประมูลลงมาสู้กับผู้รับเหมาของไทย จนสามารถคว้าสัญญางานโยธามาได้ 2 สัญญา
1
ได้แก่ สัญญา 4-2 งานก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ ช่วงดอนเมือง-นวนคร โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า SST ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ซิโนไฮโดร จำกัด จากจีน, บริษัท สหการวิศวกร จำกัด ,และบริษัท ทิพากร จำกัด เป็นผู้ชนะประมูลไปด้วยราคา 8,626 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 26.55%
และสัญญา 4-3 งานก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ ช่วงนวนคร-บ้านโพ กลุ่มกิจการร่วมค้า CAN ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอ็นจิเนียริ่งคอร์ปอเรชั่น จำกัด จากจีน, บริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด และบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ชนะประมูลที่ราคา 11,525 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 15.34%
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีเริ่มการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) โดยมีนายหวัง เสี่ยวเทา รองประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ ผู้แทนสาธารณรัฐประชาชน ร่วมในพิธี เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2560 ที่มาภาพ : thaigov.go.th
นายอังสุรัสมิ์ อารีกุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่า การเข้ามาของบริษัทจีน โดยเฉพาะบริษัทที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลระดับมณฑลของจีนอย่างน้อย 30% ถือว่าสร้างผลกระทบให้ผู้รับเหมาไทยอย่างมาก และจะพบได้ว่าบริษัทจีนที่ร่วมกับพันธมิตรไทยเข้าประมูลงานฯ สามารถเสนอราคาได้ต่ำมาก
และแม้ว่าการประมูลงานโยธาโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ-นครราชสีมา ร.ฟ.ท.จะเป็นประมูล แต่ปรากฏว่าสเปกของวัสดุต่างๆ เช่น เหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างยกระดับ กำหนดโดยฝ่ายจีน ซึ่งตรงนี้ทำให้ผู้รับเหมาไทยเสียเปรียบ กระทั่งล่าสุดผู้รับเหมาไทยต้องต่อรองเพื่อขอใช้เหล็กไทยที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน แต่ก็ยุ่งยากกันพอสมควร
การรถไฟแห่งประเทศไทย
นายอังสุรัสมิ์ ยังระบุว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การประมูลงานมีการแข่งขันสูง คือ ในช่วงที่เปิดประมูลงานโยธาโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นนี้ เป็นช่วงที่รัฐบาลแทบไม่มีการเปิดประมูลงานใหม่ๆเลย ทำให้ผู้รับเหมาไทยหลายรายต้องเข้ามาตะลุมบอนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายประมูลโครงการดังกล่าว
นายอังสุรัสมิ์ ทิ้งท้ายว่า “ในเมื่อการลงทุนโครงการนี้เป็นเงินกู้ของไทย น่าจะให้ผู้รับเหมาไทยได้แข่งขันกัน และเศรษฐกิจไทยจะได้หมุนเวียน และถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่การประมูลงานโยธารถไฟความเร็วสูง ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย รัฐบาลจะสนับสนุนให้บริษัทรับเหมาไทยเข้ามาดำเนินการ”
การรุกคืบเข้ามาของ ‘บริษัทจีน’ โดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะทำให้การประมูลโครงการมีการแข่งขันราคากัน ‘ดุเดือด’ ขึ้น แต่ก็สะท้อนให้เห็น ‘นัยยะ’ ของการพึ่งพิงด้านเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนได้เป็นอย่างดี
คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีคมนาคม
กล่าวว่า วงเงินลงทุน 179,412 ล้านบาท
ในเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 252.5 กม.
ฝ่ายจีนตกลงที่จะแบ่งการลงทุนก่อสร้างให้ผู้รับเหมาไทย 75% หรือ 134,559 ล้านบาท และยืนยันว่าจะใช้วัสดุก่อสร้าง
ที่ผลิตในประเทศไทยรวมทั้งเหล็กข้ออ้อยด้วย
วงเงินที่เหลืออีก 25% เป็นการว่าจ้างรัฐวิสาหกิจจีนตามสัญญามูลค่า 44,853 ล้านบาท
คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีคมนาคม ประชุมทางวีดิโอรอบพิเศษกับจีน  เพื่อเจรจาต่อรองเรื่อง การถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้วิศวกรไทย ใช้ผู้รับเหมาก่อสร้างไทย การใช้วัสดุก่อสร้างไทยเมื่อวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560
ตัวเลขที่ฟังแล้วน่าตกใจก็คือ
วิศวกรจีนต้องการเงินเดือน 800,000 บาท !!!!
ซึ่ง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกฯ
แถลงในเวลาต่อมาว่า ฝ่ายไทยได้ต่อรองให้ต้องมีหนังสือรับรองจากสถานทูต ดูจากผลการเจรจาครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า
การเจรจาที่ผ่านมาไทยเสียเปรียบทุกเรื่อง ไม่รู้ คุณอาคม รัฐมนตรีคมนาคม ไปเจรจาแบบไหน จึงทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบมากมายอย่างนี้ ผลประโยชน์ของชาติทั้งนั้น
เมื่อจีนตกลงยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้ฝ่ายไทยแล้ว ปัญหาที่ตามมาก็คือ ฝ่ายไทยมีความพร้อมแค่ไหน ในการ รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีน เพราะยังไม่เห็นรัฐมนตรีหรือโฆษกสำนักนายกฯพูดถึงเรื่องนี้เลย ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะฝ่ายรับก็ต้องเตรียมคนให้พร้อมด้วย เพื่อรับการถ่ายทอด
‘ไกร ตั้งสง่า’ ส่งจ.ม.เปิดผนึกถึง’นายกฯ’ ค้านค่าออกแบบรถไฟไทย-จีนแพงเว่อร์หมื่นล้าน วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560
นายไกร ตั้งสง่า วิศวกรอาวุโส ทำจดหมายเปิดผนึกถึง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
คัดค้านการใช้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
มาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557
ในการเร่งรัดโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน มีเนื้อหาดังนี้
ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้มาตรา 44 เพื่อดำเนินการออกแบบและก่อสร้างโครงการรถไฟไทยจีน เพื่อผลักดันโครงการนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วในสมัยที่ท่านเป็นรัฐบาล
แต่ขณะเดียวกันผลจากโครงการนี้อาจนำมาซึ่งผลกระทบ และสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงให้กับประเทศไทย อันได้แก่
1. ขาดระบบการบริหารงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ดี โครงการรถไฟไทยจีนเป็นโครงการขนาดใหญ่มากที่จะต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มากด้วยประสบการณ์ ช่วยกันทำงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน มีคุณภาพและลุล่วงตามกำหนดเวลา เช่น การให้มีที่ปรึกษาเจ้าของงาน Project Management Consultant (PMC) , ที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้าง Construction Supervision Consultant (CSC) , ที่ปรึกษาอิสระเพื่อตรวจสอบงาน Independent Consultant Engineer (ICE) การที่อ้างว่าใช้เจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทยและเจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมช่วยกันทำงานนี้จึงไม่น่าใช่ด้วยความใหญ่มากของขนาดของโครงการ
2. ขาดการตรวจสอบโครงการในเชิงคุณภาพของโครงการ เนื่องจากโครงการนี้ ออกแบบโดยวิศวกรสถาปนิกจีนใช้ผู้รับเหมาจีน คุมงานโดยวิศวกรจีน จึง ขาดความเป็นอิสระในการตรวจสอบ เชิงคุณภาพ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทยในการเหมาเบ็ดเสร็จให้ประเทศจีน ที่เป็นกลุ่มจากประเทศเดียวกันอันจะเป็นผลให้ประเทศไทยเสียเปรียบในกรณีเกิดข้อพิพาทกันขึ้น
3. ขาดการตรวจสอบในด้านราคาค่าก่อสร้าง เพราะไม่มีการแข่งขันที่เป็น Intetnational Bidding เนื่องจากรัฐบาลมอบให้จีนเป็นผู้ทำงานนี้โดยตรง แม้ว่าจะมี เจ้าหน้าการรถไฟแฟ่งประเทศไทย( ร.ฟ.ท.) ช่วยจีนในการทำราคากลาง แต่ก็ยังไม่สะท้อนราคากลางที่เป็นจริง เนื่องจากไม่มี PMC CSC และ ICE อีกทั้งได้รับการยกเว้นพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง 2560 การอ้างราคาค่าก่อสร้างของจีน จึงไม่สามารถตรวจสอบราคากลางได้ เพราะจีนเป็นผู้กำหนดนโยบายด้านราคา
4. ขาดระบบตรวจสอบ ความโปร่งใสของโครงการ เนื่องจากไม่มีการแข่งขันไม่มีการประมูล จึงไม่สามารถเปรียบเทียบทั้งราคาและคุณภาพ กับประเทศอื่นได้ การอ้างว่ารัฐบาลจัดให้มีข้อตกลงคุณธรรม Integrity Pact เพียงพอที่จะตรวจสอบโครงการได้แล้ว จึงไม่น่าจะใช่ เพราะการตรวจสอบต้องมีข้อมูลพื้นฐานทั้งราคาและคุณภาพที่เป็นมาตรฐาน ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากนิติบุคคลที่สาม ด้วยเหตุดังกล่าวองค์กรต่อต้านทุจริตคงไม่เป็นผู้รับรองให้แก่โครงการนี้
5. ขาดการตรวจสอบนิติบุคคลและบุคคลที่ทำงานโครงการนี้ เพราะได้รับการยกเว้นจากมาตรา 44 แม้ว่าจีนจะมีความสามารถในการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง แต่ในหลักสากล เป็นกฎหมายในการประกอบวิชาชีพทั่วโลกที่จะต้องตรวจคุณสมบัติของวิศวกร สถาปนิก ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการออกแบบคุมงาน ว่ามีความรู้ความสามารถและต้องได้ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพจากประเทศนั้นๆ เนื่องจากเป็นงานที่รับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน การที่รัฐบาลอ้างว่าความรับผิดชอบทั้งหมด เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจีน นั่นคือ มุมมองของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนจีน แต่ตามกฏหมายไทยความรับผิดชอบในหน้าที่ออกแบบและก่อสร้างมีตั้งแต่นิติบุคคลและบุคคลทั่วไป หากมีปัญหาจากการออกแบบก่อสร้างในโครงการนี้จึงไม่สามารถเอาผิดกับสถาปนิกวิศวกรจีนได้เลย เพราะได้รับความคุ้มครองเอกสิทธิ์ในการไม่ต้องมีใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพ ซึ่งต่างกับวิศวกรสถาปนิกต่างชาติอื่น ที่มาทำงานปฏิบัติวิชาชีพในประเทศไทย ซึ่งต่างเคารพในกฎหมายไทยอย่างเข้มงวด
6. ขาดการสนับสนุน ให้เป็นไทยแลนด์ 4.0 เนื่องจากเป็นโครงการที่จีนออกแบบ จีนก่อสร้าง จีนคุมงาน ใช้รางรถไฟของจีน รถไฟของจีน ไม่มีการมองอนาคตประเทศไทยในการต่อยอดสำหรับเป็นต้นแบบโครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการอื่น ที่จะมีต่อไปในอนาคต เช่น การวางรากฐานกำหนดนโยบายในการคิดเพื่อวิศวกรไทยสถาปนิกไทยสามารถทำเองได้ ทั้งในการออกแบบและผู้รับเหมาไทยก่อสร้างเองได้ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงในอนาคต ว่า 10 ปีจากนี้ ไทยต้องสามารถทำเองได้เป็นส่วนใหญ่
ข้อกำหนดเหล่านี้ รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบเต็มรูปแบบ ขึ้นกับรัฐบาลว่าจะบรรจุอยู่ใน Terms of Reference ว่าให้จะเข้มข้นขนาดไหน เป็นประโยชน์กับประเทศไทยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้โครงการนี้เป็นต้นแบบในการพัฒนาขีดความสามารถของคนไทย ทหรือจะปล่อยให้เป็นเช่นปัจจุบันในการเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
7. ขาดการเคารพกฎหมายในประเทศไทย เพราะมาตรา 44 ให้ยกเว้นกฏหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ร.บ.สถาปนิก พ.ร.บ.วิศวกร กฎหมายสิ่งแวดล้อม
และกฎหมายอื่นๆ ที่ทุกประเทศ ต้องเคารพในกฎหมายท้องถิ่น ในประเทศนั้นๆ ไม่ว่าท่านจะมีสัญชาติใดเชื้อชาติใด การกระทำที่มีการเลือกปฏิบัติให้จีนเหนือกฎหมายไทยดังกล่าว อาจถือว่าเป็นการทำลายอธิปไตยของประเทศไทยหรือไม่
1
จึงขอเรียกร้องวิงวอนให้ท่านโปรดพิจารณาไตร่ตรอง ในการใช้มาตรา 44 เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศไทย ในการบูรณาการและสร้างนโยบายรถไฟความเร็วสูงแห่งชาติในอนาคต ด้วยการให้จีน เคารพในกฎหมายไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย และต่อลูกหลานชาวไทย
ผศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน อาจารย์คณะวิศวฯจุฬา ได้เขียนถึง เงื่อนไขการถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง ที่ รัฐบาลจีนกำหนดให้บริษัทต่างชาติปฏิบัติ ในช่วงที่จีนเริ่มตนรถไฟความเร็วสูง ผมขออนุญาตนำมาถ่ายทอดต่อนะครับ มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ
1. จะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีหลักสู่ประเทศจีน
2. ราคาที่เสนอต้องสมเหตุสมผล
3. EMU (รถไฟฟ้า) ที่ผลิตขึ้นจะต้องทำเป็นยี่ห้อจีน
บริษัทผลิตรถไฟความเร็วสูงชั้นนำของโลก
- ซีเมนส์ จากเยอรมนี
- อังสตอม จากฝรั่งเศส
- บอมบาร์ดิเอร์ จากแคนาดา
- คาวาซากิ จากญี่ปุ่น
ต่างยอมรับข้อเสนอจีนหมด ตั้งแต่รถไฟความเร็วสูงรุ่นแรกความเร็ว 200 กม. ต่อชั่วโมง จนถึง 300 กม. ต่อชั่วโมง
ปัจจุบันจีนสร้างรถไฟความเร็วสูงวิ่งได้ 350 กม. ต่อชั่วโมงเองแล้ว
กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และต้องทำเป็นระบบ
โดย อ.ประมวลได้ เสนอแนะข้อควรคำนึง 10 ข้อ
กรณีการรัฐบาลเดินหน้าสร้างรถไฟความเร็วสูง
ว่า "มิตรสหายท่านหนึ่ง ส่งข้อความมาถามว่า ในระหว่างที่
อาจารย์ประมวลเดินทอดน่อง หมดอาลัยตายอยากอยู่ที่ประเทศจีน มีอะไรอยากฝากไปพูดคุยให้ใครๆ ในประเทศไทยได้ฟังบ้าง
1. ไม่ได้ขัดขวางการทำโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง
(แม้อาจจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ไม่เคยขัดขวางนะครับ)
2. การทำโครงการ ต้องพิจารณาผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ในหลายมิติ ไม่ใช่เฉพาะเพียงรายได้จากค่าโดยสาร
การพัฒนาพื้นที่ หรือแม้แต่ความสะดวกสบายในการเดินทาง
หรือใครบางท่านจะเรียกว่า Social Impact อะไรก็แล้วแต่ …. สาระสำคัญอยู่ที่ “คนส่วนใหญ่” ต้องได้ประโยชน์จากโครงการ
3. คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ทำอย่างไร “คนส่วนใหญ่” จึงจะได้ประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง?
4. เมื่อพิจารณาถึงคนส่วนใหญ่ จึงต้องพิจารณา ทั้งประโยชน์ทางตรง และประโยชน์ทางอ้อม ต่อประชาชนส่วนใหญ่
5. การพัฒนาโครงการ โดยโฟกัสเพียงรายได้
จากค่าโดยสาร ความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง
หรือการทำ TOD (Transit Oriented Deveopment)
จะไม่สร้างประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ เพราะจะตกอยู่กับเพียงคนที่มีรายได้พอต่อการเดินทาง และนายทุนที่ลงทุนในพื้นที่
และกิจกรรมที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้่ ไม่ได้เพิ่มความสามารถใดๆ ให้กับประเทศ ตรงกันข้าม หากเรามองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน โครงการนี้จะเป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะประสบภาวะขาดทุน
จนรัฐต้องใช้เงินภาษีของทุกคนเข้าไปอุ้มชูอันเนื่องจากการประมาณการจำนวนผู้โดยสารที่ผิดพลาด หรือ การพัฒนา business model ที่ไม่สมเหตุผล
(แบบเดียวกับโครงการรถไฟฟ้าสีๆ ที่เราเห็นๆ กันอยู่ มีโครงการไหนที่ demand forecast ตรงหรือใกล้เคียงบ้าง?)
เงินของคนส่วนใหญ่ จะกลายเป็นถูกใช้ไปเพื่อการอุ้มชูโครงการเหล่านี้ โครงการละหลายๆ ล้าน รวมกันหลายๆ โครงการ จะเป็นเงินเท่าไร ?
6. การสร้างประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ จึงต้องพิจารณาไปที่
จะสร้างผลกระทบในระยะยาว + เสริมสร้างความสามารถให้กับประเทศได้อย่างไร นานาชาติใช้เครื่องมืออะไรในการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ?
ถ้าท่านอื่นๆ คิดถึงเครื่องมืออื่นๆ ได้ ก็โปรดนำเสนอออกมา
7. การผูกโยงไปหาการพัฒนาอุตสาหกรรม เนื่องจากอุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในทางเทคโนโลยีของประเทศ ของบุคคลากร เนื่องจากจะผูกโยงกับการศึกษา และ การวิจัยและพัฒนา
8. เน้นย้ำว่า อุตสาหกรรมที่พูดถึง ไม่ใช่เพียงอุตสาหกรรมการก่อสร้าง แต่ต้องหมายรวมไปถึงอุตสาหกรรมการผลิต
ไม่ว่าจะเป็นการประกอบ การผลิตชิ้นส่วน วัสดุศาสตร์
โลหวิทยา อิเลกทรอนิกส์ ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ การสื่อสาร ฯลฯ ซึ่งหลายอย่างอาจเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย การฝากเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถไฟฟ้าไว้กับกลุ่มวิศวกรที่ไม่เข้าใจเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่อาจมีความชำนาญในด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง หรือวิศวกรรมโยธา
จึงอาจกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม มากกว่าจะเป็นคำตอบ อุตสาหกรรมระบบราง ต้องการความร่วมมือจากวิศวกรหลากหลายสาขา ไม่จำเพาะเพียงวิศวกรรมโยธา
9. การรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จะต้องไม่จบแค่เพียงเทคนิคการก่อสร้าง การฝึกอบรม การส่งคนไปเรียนหนังสือ แต่จะต้องพัฒนาความสามารถในการผลิตให้กับประเทศด้วย
10. นี่คือโอกาสที่ประเทศไทย จะผูกรวมความต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เข้ากับอุตสาหกรรมการผลิตรถไฟฟ้า (ทั้งรถไฟดีเซล รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน และรถไฟฟ้าความเร็วสูง) เข้ากับนโยบาย Thailand 4.0
" ผมเห็นด้วยกับ รศ.ดร.คมสัน มาลีสี ประธานสภาคณบดี
คณะวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย 61 มหาวิทยาลัย
ที่เสนอให้รัฐบาลต่อรองกับจีน ให้จีนเข้ามาลงทุน
ตั้งฐานการทดสอบอุปกรณ์ระบบรางรถไฟความเร็วสูงในประเทศไทย โดยให้ อาจารย์ที่สอนวิชาระบบราง
เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้วย การถ่ายทอดเทคโนโลยีจึงจะเกิดขึ้นจริง และเป็นประโยชน์ต่อชาติในระยะยาว ถ้าเรื่องแค่นี้รัฐบาลยังวางแผนจัดการไม่ได้
ก็อย่าไปเพ้อฝัน จะวางแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เลยครับ "
โฆษณา