8 มิ.ย. 2020 เวลา 01:21 • ไลฟ์สไตล์
จุดเปลี่ยนของชีวิต..
"ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิดกราบทูลว่า <<ใจของคนอิสราเอล ได้คล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว>> แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า <<จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลมสักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ>> ข้าราชการของพระราชาจึงกราบทูลพระราชาว่า <<ดูเถิด ข้าพระบาทพร้อมที่จะกระทำตามสิ่งซึ่งพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาทตัดสินพระทัยทุกประการ>> พระราชาก็เสด็จออกไปพร้อมกับคนในราชสำนัก ของพระองค์ด้วย เว้นแต่นางสนมสิบคนได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง พระราชาก็เสด็จออกไป พลทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ ไปและเสด็จประทับที่บ้านสุดท้าย... ฝ่ายดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางกันแสงพลางมีผ้าคลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับ พระองค์ก็เอาผ้าคลุมศีรษะเดินไปพลางร้องไห้พลาง"
2 ซามูเอล 15:13-17, 30 TH1971
มันเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกคือกษัตริย์ดาวิดของอิสราเอล เขาทอดทิ้งนางสนมทั้งสิบคนไว้ที่พระราชวังและเดินเท้าเปล่าออกเดินทางตอนที่หนีอับซาโลมลูกชายที่ก่อการกบฏ..
อย่างแรกคือทำไมเขาหนี เพราะถ้ามองจากกำลังพลที่มีความสามารถและยังเลือกอยู่ข้างเขาเองน่าจะเหนือกว่า แต่พอมองจากบันทึกต่อๆมาจึงได้รู้ว่าเขารักลูกคนนี้มาก ดาวิดไม่ได้โทษลูกที่กบฏแต่ดาวิดได้สำนึกแล้วกับสิ่งที่เขาเคยทำความผิดไว้ก่อนหน้าตอนที่เขาใช้อำนาจความเป็นกษัตริย์ไปเอาภรรยาของนายทหารมาล่วงประเวณี และต่อมาเพื่อจะปกปิดความผิดเพราะฝ่ายหญิงท้อง ก็เลยคิดหาทางออกด้วยวิธีการต่างๆ และจบลงที่ฆ่าสามีของฝ่ายหญิงทั้งๆที่เป็นลูกน้องของตัวเอง แล้วก็เอาเมียของเขามาโดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวอะไรเลยว่าผิดกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป จนกระทั้งมี
นาธัน คนของพระเจ้าเข้ามาตักเตือน ตอนนั้นเขาจึงพึ่งจะได้รู้สึกและสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป
หลังจากนั้นต่อมาในครอบครัวของเขาก็มีปัญหารุนแรงเกิดขึ้นเยอะมาก เริ่มจากพี่ชายข่มขืนน้องสาวคนละแม่ แล้วน้องชายอีกคนคืออับซาโลมก็เลยฆ่าพี่ชายคนนี้ล้างแค้น และเป็นผู้ซึ่งกบฏต่อดาวิดในเวลาต่อมาแล้วตัวเองก็ถูกทหารของดาวิดฆ่าตายในที่สุด
คือกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกๆทั้งหมด ดาวิดโทษตัวเองว่าเป็นจุดเริ่มต้น การที่รักความสะดวกสบายติดตามแต่กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ใช้อำนาจไปกับสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลร้ายมายังลูกๆของเขาแบบนี้ ตอนที่อับซาโลมกบฏ ดาวิดจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับผลร้ายและในใจมันมีแต่ความสงสารลูกผู้ได้รับผลเท่านั้น ดาวิดจึงเลือกที่จะหนีออกมาทิ้งนางสนมทั้งสิบคือทิ้งสิ่งที่ตนเองเคยหมกมุ่นกับการตอบสนองกิเลสตัณหาของตัวเองไว้ที่พระราชวัง เขาเลือกที่ไปตัวเปล่าและเดินเท้าเปล่าด้วย ตอนโดนชิเมอีมาไล่ตะโกนด่า(ตามภาพ)ก็ไม่สู้อะไรด้วย คือดาวิดเลือกที่จะยอมรับเอาความเจ็บปวดแบบตรงๆ เขาเชื่อว่าพระเจ้ากำลังให้บทเรียนที่สำคัญกับเขา จึงไม่อยากที่จะหลบเลี่ยงอีกต่อไป เพราะความหายนะมันเริ่มเข้ามาในชีวิตในครอบครัวของเขาก็นับจากวันที่เขาขึ้นมาเป็นกษัตริย์และหยุดออกรบไม่ใช่หรือ? แต่กับวันเวลาก่อนหน้าตอนที่เขายังอยู่ในถิ่นทุรกันดารกับบรรดาพวกผู้ติดตาม ดูเหมือนจะยากลำบากแต่เขาได้มีโอกาสพึ่งพาและติดสนิทกับพระเจ้า ได้เห็นการดูแลปกป้องจากพระเจ้าในแต่ละวันๆ แต่สิ่งนี้มันเริ่มเลือนหายไปตอนที่เขาเริ่มขึ้นเป็นกษัตริย์และหยุดที่จะออกรบไม่ใช่หรือ..
มันก็เลยได้สะท้อนมองย้อนกลับมายังชีวิตของตัวเองแบบนี้ครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าครับ และมีประสบการก็เยอะด้วยกับการเลี้ยงดูของพระเจ้าในชีวิต กับช่วงเวลาที่ยากลำบากมันเหมือนจะขาด เหมือนจะไปต่ออีกไม่ได้แล้ว แต่ก็ได้เห็นว่ามันมีทางออกให้อยู่เสมอมาจนถึงทุกวันนี้นับเริ่มตั้งแต่วันที่ผมยังไม่เคยได้รู้จักกับพระเจ้าเลยด้วยซ้ำ
ผมเริ่มรู้จักกับพระเจ้าตอนอายุได้สามสิบครับ พอรู้จักได้สิบปีก็ถูกตั้งให้เป็นอาจารย์มีสมาชิกหลายคนยอมรับและติดตาม แต่จิตใจผมก็เริ่มที่จะสูงขึ้นและใช้อำนาจตำแหน่งที่มีเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง สุดท้ายก็แอบลักลอบล่วงประเวณีกับสมาชิกและยอมลงจากตำแหน่งเพื่อเลือกฝ่ายหญิงคนเดียวแลกกับคนอีกมากมายที่ต้องการผู้มาคอยจูงนำชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขา ตอนนั้นผมคิดอะไรแบบนี้ไม่ได้ กำลังหน้ามืดตามัวอยู่กับความสุขทางเนื้อหนังครับ ก็หันกลับออกไปมุ่งทำมาหากินสร้างฐานะเพื่อตัวเองอีก.. แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดครับ กับการเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางธุรกิจ สุดท้ายไปต่อกันไม่ได้กับฝ่ายหญิงก็ขอแยกทางเพราะเห็นแล้วว่าผมช่วยอะไรเขาไม่ได้ ตอนนั้นผมก็มืดแปดด้าน.. เอายังไงต่อดีกับชีวิต คิดถึงพระเจ้าแต่ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะช่วยยังไง.. (อ่านต่อ)
โฆษณา