9 มิ.ย. 2020 เวลา 05:15 • กีฬา
“อัศวินลูกหนัง”แห่งแอนฟิลด์
“อัศวินลูกหนัง”แห่งแอนฟิลด์
22 กุมภาพันธ์ 1991.........เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศอำลา ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ เป็นข่าวดังไปทั่วโลก
ตอนนั้นผมอายุแค่ 14 กำลังเขี่ยรูปลอกอย่างเมามัน พี่ชายเดินมาบอกว่า “อ่านหนังสือพิมพ์เมื่อกี้ ดัลกลิช ลาออกแล้ว!!!!!!!!!!”
ผมยังตะลึงกับคำนี้มาจนถึงทุกวันนี้……………..
หลังจากผลเสมอในเกมนัดรีเพลย์ เอฟเอ คัพ รอบ 5 กับ เอฟเวอร์ตัน 4-4 ทำให้เขาตัดสินใจไปจากแอนฟิลด์
มันคือจุดเริ่มต้นแห่งความตกต่ำของสโมสรก็ว่าได้
ผมว่ามันใช่ นี่คือ beginning in the end ของจริง!!!
เคนนี่ ดัลกลิช คือสมบัติอันล้ำค่าอย่างประเมินไม่ได้สำหรับสโมสร
จากนักเตะสู่ผู้จัดการทีมและเป็นตำนานตลอดไป จนได้รับเกียรติให้ตั้งชื่อสแตนด์ของสนาม
บาดแผลจากฮิลล์สโบโร่ ทำให้ ดัลกลิช รับความกดดันต่อไปไม่ไหว และจากนั้นสโมสรก็ดูจะไม่ไหวเหมือนกัน
ดัลกลิช เป็นมาทุกอย่างที่คน ๆ คนหนึ่งจะเป็นได้ นั่นคือเป็นทั้งผู้เล่น เป็นทั้งผู้จัดการทีม รวมถึงเคยเป็นทั้ง"ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม"แบบ "ทู-อิน-วัน"ของ ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ บนวัย 34 ปี
ปีแรกก็ได้ดับเบิ้ลแชมป์ โดยเฉพาะวันกำชัยแชมป์ดิวิชั่น 1 ปี 1986 เขาเป็นคนยิงประตูชัยในเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถิ่นของเชลซี พาทีมได้แชมป์อย่างสุดคลาสสิค
.........ทุกอย่างเหมือนบังเอิญไปหมด มันเป็นความบังเอิญแบบพอดี เหมือนกับพระเจ้าขีดเส้นให้เป็นแบบนี้ เมื่อ ดัลกลิช “ข้ามขั้น” และ”ขึ้นชั้น”มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแบบเหลือเชื่อในช่วงซัมเมอร์ ปี 1985
โศกนาฏกรรมที่เฮย์เซลล์ ทำให้ “อังเคิลโจ” โจ เฟแกน ต้องลาออกจากทีม เนื่องจากทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์นัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ.....................ที่เฮย์เซลล์
คำจัดความจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ ....The Day That Football Died....
29 พฤษภาคม 1985 อีกหนึ่งวันแห่งความอื้อฉาวที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล..........
บันทึกเอาไว้ว่า แฟนบอล 39 คน แบ่งเป็นชาวอิตาลี 38 และเบลเยี่ยมอีก 1 คน ต้องสังเวยชีวิตหลังจากที่กำแพงถล่มลงมาทับ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม
ในเกมนัดชิงยูโรเปี้ยนคัพ ระหว่าง “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า และแชมป์ 4 สมัย กับ “ม้าลาย” ยูเวนตุส
หรือ จูเวนตัส ในตอนนั้น
เรื่องมาจากว่า การจัดที่นั่งทางยูฟ่าให้กับเจ้าภาพเข้าชมโดยไม่เชียร์ทีมใด เหมือนกับเป็นการ เปิดช่องว่างและโอกาสให้แฟนบอลชาวเบลเยี่ยมนำตั๋วผีออกมาขาย เพื่อเก็งกำไร
ภายหลังได้มีการสอบสวนได้ความว่า ที่นั่งสำหรับแฟนบอลที่เป็นกลางตรงนั้น………
ผู้ที่ถือตั๋วกลายเป็นของแฟนบอลชาวอิตาเลี่ยนทั้งหมด
ก่อนเกม 1 ชั่วโมง ความรุนแรงปะทุขึ้นเมื่อแฟนบอลทั้งสองฝ่ายตะโกนด่ากันไปมา และจากรายงานบันทึกว่า มีการขว้างปาจากฝั่งยูเว่ก่อน แต่ฝ่ายที่บุกก่อนคือลิเวอร์พูล
เจ้าหน้าที่สนามควบคุมไม่อยู่ แฟนยูเว่ก็รีบหนีไปทางกำแพง ก่อนที่สนามที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1920 และโทรมสุดๆ เกิดพัง
ทับร่างแฟนบอลเสียชีวิตอยู่ตรงนั้นอย่างหดหู่
เกมจำเป็นที่จะต้องแข่งขันกันต่อ ทั้งที่ ลิเวอร์พูล ปฏิเสธลงเล่นไปแล้ว แต่ ยูฟ่า ไม่ต้องการให้ถูกปรับแพ้ และสั่งให้ลงเล่น
ยูเวนตุส คว้าแชมป์ด้วยการคว้าชัยชนะ 1-0 แต่กลับไม่มีใครอยากจดจำผลการแข่งขันอะไรเลย
ลูกตัดสินก็มาจากจุดโทษที่ก้ำกึ่ง และเป็นลูกฟาวล์นอกเขตโทษด้วยซ้ำ แต่ไม่มีใครประท้วง และ “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ สังหารเข้าไป
โจ เฟแกน ที่คุมทีมเป็นปีที่ 2 รับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมหนนี้ไม่ได้ ประกาศว่า ตัวเขาตัดสินใจลาออก ทั้งที่ปีแรกพา ลิเวอร์พูล เป็น3แชมป์ นั่นคือ ยูโรเปี้ยน คัพ, ดิวิชั่น 1 และลีกคัพ
รัฐบาลอังกฤษมีการเสนอในระหว่างการประชุมสภาว่า "ให้ยกเลิกการแข่งขันฟุตบอล เพื่อคงไว้ซึ่งหน้าตาของอิงลิชชน"
ยังดีที่ "หญิงเหล็ก" แธตเชอร์ ผู้นำอังกฤษไม่บ้าจี้ตามนั้น พร้อมประกาศด้วยว่า ขอประกาศสงครามกับฮูลิแกนลูกหนัง
หากจะถามถึงความดัง(ในเชิงลบ)ของฮูลิแกนที่โลกรู้จัก
ก็คือเหตุการณ์นี้.....ที่เฮย์เซล!!!!!
จากเหตุดังกล่าว ทีมฟุตบอลอังกฤษ ถูกแบนไม่ให้เตะบอลถ้วยยุโรป 5 ปี ส่วน ลิเวอร์พูลต้นเรื่องโดนไป 6 ปี ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าฟุตบอลระดับแชมป์ยุโรปอย่างสิ้นเชิง.......
นับถอยหลังไป 10 ปีก่อนหน้านั้น ทีมจากอังกฤษ ครองถ้วยบิ๊กเอียร์ได้ถึง 7 สมัย นั่นคือ ลิเวอร์พูล 4 สมัย, “สิงห์สั่งป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2 สมัย และ แอสตัน วิลล่า 1 สมัย
อีก 3 ครั้งหลุดไปอยู่ในมือ บาเยิร์น, ฮัมบูร์ก และยูเว่ คนละครั้งเท่านั้น
เมื่อทีมอังกฤษไม่อยู่ แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ กลายเป็นเก้าอี้ดนตรี........5 ปีที่ไม่มีทีมเมืองผู้ดีลงเล่น ทีมที่เป็นแชมป์คือ สเตอัวร์ บูคาเรสต์ จากโรมาเนีย, เอฟซี ปอร์โต้ จากโปรตุเกส และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น จากเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะเข้ายุคของ เอซี มิลาน เบิ้ลไป 2 สมัย
เงินทุนก้าวไปยัง อิตาลี ที่รู้จักกันดีในการยุคที่ “โกยเงินลีร์ ดีกว่าเงินปอนด์”
บอลอังกฤษจมปลัก ถึงขั้นย่ำแย่แบบสุด ๆ คนเริ่มเข้าสนามน้อย เพราะกลัวเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน กระทั่งการกลับไปเตะยุโรปอีกครั้ง ในยุค 90 และได้ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก มาชุบชีวิต
เปลี่ยน “ดิวิชั่น 1”ให้เป็น”พรีเมียร์ลีก”
เปลี่ยน”สนามรบ”ให้เป็น”สนามการค้า”โดยแท้!!!!
แถมบรรดา”ฮูลิแกน”แม้จะยังไม่หมดไป
แต่ก็ค่อย ๆ สลายไปตามกาลเวลา........
........ด้วยเหตุนี้ ทำให้บันทึกตลอดกาลในยุคของ “คิง เคนนี่” คุมทัพ ลิเวอร์พูล นั้น ไม่ได้มีโอกาสคุมทัพสู้ศึกบอลยุโรปแม้แต่เกมเดียว!!!
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 มีนาคม 1951
เด็กชาย เคนเน็ธ มาไธสัน “เคนนี่” ดัลกลิช เกิดที่ดัลมาร์น็อค ย่านอีสต์เอนด์ ของเมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์
ก่อนจะได้รับการบันทึกว่า เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดของย่านนี้ในกาลต่อมา
เขาเป็นลูกของ บิล ชีพวิศกรยานยนต์ น่าแปลกตรงที่บ้านอยู่ใกล้กับสนามฟุตบอลของ กลาสโกว์ เซลติค
แต่ บิล เชียร์ กลาวโกว์ เรนเจอร์ส และ เคนนี่ ก็เชียร์ทีมเดียวกับพ่อ
การย้ายบ้านไปที่มิลตัน กระทั่ง เคนนี่ ดัลกลิช อายุ 15 ปี ย้ายไปอยู่ที่แฟลตย่านโควาน ยิ่งใกล้กับ ไอบร็อกซ์ พาร์ค สนามเหย้าของกลาวโกว์ เรนเจอร์ส ชนิดที่ว่า เปิดหน้าต่างก็เห็นสนามซ้อม
ทุกอย่างทำท่าจะเป็นจริงขึ้นมา เมื่อ เคนนี่ คว้าแชมป์บอลนักเรียนได้สำเร็จ และขึ้นไปติดทีมชาติสก็อตแลนด์ ชุดยู-15
อย่างไรก็ตาม การรอคอยไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้น
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่คุณรอ......
กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ไม่เคยติดต่อจะเซ็นสัญญากับเขาเลย
ดัลกลิช โชว์ฟอร์มดีกับทีม “สก็อตติช สคูลบอยส์” หรือ Scottish u-15 national team ด้วยการยิง ไอร์แลนด์เหนือ คนเดียว 2 ประตูในเกมที่กำชัย 4-3 แล้วก็มีหนึ่งทีมที่สนใจดึงตัวเขาไปทดสอบฝีเท้า
ไม่ใช่ใครอื่น ลิเวอร์พูล นี่แหล่ะ!!!
บิลล์ แชงคลี่ย์ ปรมาจารณ์ลูกหนังได้รับรายงานจากทีมแมวมอง จึงปฏิบัติการณ์ดึงหนุ่มน้อยดัลกลิช วัย 15 ปี มาฝึกซ้อมกับทีมเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1966
เขามาพร้อมกับ จอร์จ อดัมส์ มุ่งตรงจากกลาสโกว์ แล้วลงที่สถานีรถไฟไลม์ สตรีท มีโอกาสโชว์ฝีเท้ารวมทั้งสิ้น 10 วันด้วยกัน
ไม่แปลกที่ แชงคลี่ย์ จะประทับใจ
บันทึกเอาไว้ว่า วันที่ 20 สิงหาคม 1966 เป็นวันแรกที่ เคนนี่ ดัลกลิช สวมชุดลิเวอร์พูล ในวันนั้นทีมลิเวอร์พูล ชุด บี ลงสนามเจอกับ เซาธ์พอร์ต เกมจบด้วยสกอร์ 1-0 แม้ว่าเขาจะยิงไม่ได้ แต่ “ท่านแชงค์” ประทับใจเด็กคนนี้ยิ่งนัก
เช่นเดียวกันกับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็เทียบเชิญให้ไปทดสอบฝีเท้า ในยุคนั้น รอน กรีนวู้ด เป็นผู้จัดการทีม เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์เช่นเดียวกัน
แต่ในท้ายที่สุด เคนนี่ ดัลกลิช แห่งกลาสโกว์ ยูไนเต็ด ทีมระดับนักเรียน เลือกที่จะไปอยู่กับ กลาสโกว์ เซลติค ในเดือนพฤษภาคม 1967 ด้วยสัญญาชั่วคราว หรือ provisional contract
เหตุผลในการเซ็นสัญญาครั้งนี้ก็คือ ดัลกลิช ไม่ต้องห่างจากบ้านด้วยวัยยังไม่เต็ม 16 ขวบ ยังอาศัยทำงานเป็นช่างไม้เพื่อหาเงิน ซึ่งตอนนั้นเขายังไม่ได้รับเงินเดือนจากเซลติค
แม้จะเป็นแฟนเรนเจอร์ส แต่ถ้าอยู่ เซลติค จะได้รับการโค้ชจากสุดยอดฝีมืออย่าง จ็อค สตีน
อีกทั้ง เซลติค คือเบอร์ 1 ของยุโรป!!! พวกเขาเพิ่งครองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ได้สำเร็จ เป็นทีมแรกของสหราชอาณาจักร ในปีเดียวกัน พร้อมทำสถิติเป็นทีมที่มีนักเตะเชื้อชาติเดียวคือ สก็อตแลนด์
หลังจากการเซ็นสัญญา เขาได้ถูกส่งตัวไปร่วมทัพกับ คัมเบอร์นัลด์ ยูไนเต็ด
เพียงแค่นัดแรก เขาซัดคนเดียว 4 ประตู และปิดฤดูกาลแรกกับ คัมเบอร์นัลด์ ด้วยการยิงไปถึง 37 ลูก
เคนนี่ ดัลกลิช ต้องการที่จะเทิร์นโปร แต่ จ๊อค สตีน อยากที่จะให้เขาบ่มฝีเท้ากับ คัมเบอร์นัลด์ ต่อไปอีกสักปี แต่ พ่อของดัลกลิช ได้เข้าไปเคลียร์กับ จ๊อค สตีน ด้วยตัวเอง
สุดท้าย ดัลกลิช ได้อยู่กับ เซลติค ก่อนที่จะประเดิมนัดแรกให้กับ เซลติค เมื่อ 25 กันยายน 1968 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงไปในชัยชนะเหนือ แฮมิลตัน 4-2
10 ปีในฐานะนักเตะของเซลติค เขากวาดรางวัลความสำเร็จมากมาย นั่นคือ แชมป์ลีกสก็อตติช 4 สมัย, แชมป์สก็อตติช คัพ 4 สมัย และสก็อตติช ลีกคัพ 1 สมัย ลงเล่นไปทั้งสิ้น 322 นัด ยิงได้ 167 ประตู
ในช่วงเป็นดาวรุ่ง จ็อค สตีน ให้ ดัลกลิช เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ ก่อนจะขยับขึ้นมาเล่นกองหน้า ถือเป็นการเพิ่มทักษะการครองบอล และการไปกับบอลให้ได้พัฒนาขึ้น
ทำให้ เคนนี่ ดัลกลิช เป็นกองหน้าตัวต่ำ ที่อันตรายที่สุดและเก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในยุโรป สมัยนั้นเขาอายุได้ 26 ปี
ท้ายที่สุดแล้ว “กฎของแรงดึงดูด” ก็ทำให้ ดัลกลิช กลายมาเป็นตำนานของลิเวอร์พูลจนได้
คู่กันแล้ว...จะแคล้วกันได้ไง!!!
ในกาลต่อมา ดัลกลิช ได้รับเกียรติยศขั้นสูงสุดกับการได้รับการประดับยศให้เป็น “เซอร์” ในปี 2017
เป็น “อัศวินลูกหนัง” คนแรกในประวัติศาสตร์ของแอนฟิลด์
หลายคนบอกว่า ควรค่า และหลายคนบอกว่า ควรที่จะได้นานแล้ว
ทำไม......ทำไมถึงคิดแบบนั้น
เปิดสถิติ เปิดบันทึกตัวเลข คือสิ่งที่ไม่เคยโกหกใคร นับจาก “คิง เคนนี่” ย้ายจาก “ม้าลายเขียวขาว” กลาสโกว เซลติค มาร่วมทัพ “หงส์แดง” ในช่วงฤดูร้อน ปี 1977 ด้วยสนนราคา 440,000 ปอนด์
ถือว่าคุ้มค่าทุกเพนนี
ดัลกลิช มาเพื่อทดแทนการขาดหายไปของ “ไมห์ตี้ เมาส์” เควิน คีแกน ตำนานหมายเลข 7 ที่ขอย้ายไปหาความท้าทายใหม่ที่ “สิงห์เหนือ” ฮัมบูร์ก ในเยอรมนี
จากนั้นมาถึงยุคของ ดัลกลิช ที่ประสบความสำเร็จล้นหลาม
ย้ำกันอีกทีว่า สมัยเป็นนักเตะด้วยการเป็นแชมป์ลีกสูงสุด 5 สมัย, ยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัย, ซูเปอร์คัพ 1 สมัย, แชริตี้ชิลด์ 4 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย ก่อนจะรับงานเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ปี 1986 ได้แชมป์แชริตี้ชิลด์
จากนั้นพาทีมเป็นดับเบิ้ลแชมป์ในปีแรกของการทำงานด้วยเป็นแชมป์ลีกสูงสุด และเอฟเอ คัพ
จากนั้นเป็นกุนซือก็พาทีมเป็นแชมป์ลีกสูงสุดอีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ อีก 2 สมัย และแชร์ริตี้ชิลด์ อีก 3 สมัย และตัดใจอำลาทีมในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1991
ก่อนจะกลับมารับงานอีกครั้งในเดือนมกราคมปี 2011 และพาทีมได้แชมป์ลีกคัพ ปี 2012
รวมลงเล่นให้ทีม 515 นัด ยิงได้ 172 ประตู และคุมทีม 381 นัด ชนะ 223 เสมอ 94 แพ้ 64 ยิงได้ 732 เสีย 332 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยชนะ 58.53
ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลของสโมสรอีกด้วย
สำคัญสุด ๆ ก็คือ สโมสรร่วมสร้างประวัติศาสตร์เปลี่ยนชื่ออัฒจันทร์จากเดิม “เซนเทนเนรี่ สแตนด์” กลายมาเป็น “เคนนี่ ดัลกลิช สแตนด์” เมื่อ 14 ตุลาคม 2017
เพื่อเป็นเกียรติให้กับ “คิง เคนนี่” เคนนี่ ดัลกลิช ยอดนักเตะ-กุนซือในตำนานของสโมสร ไปอีกนานเท่านาน................
โชคดีเหลือเกิน ที่ผมได้อยู่บนพื้นที่ตรงนั้นด้วย...................ในวันเปิด “เคนนี่ ดัลกลิช สแตนด์”
หนึ่งในคำกล่าวันอำลาของ “คิง เคนนี่” ก็คือ "I may have left Liverpool Football Club but Liverpool Football Club will never leave me.”
ลงท้าย “คิง เคนนี่” ก็มาช่วยทีมอีกครั้ง และพาทีมได้โทรฟี่แชมป์ “ลีกคัพ” ซึ่งก็ใบล่าสุดของสโมสร ก่อนจะครองเจ้ายุโรป ก็เมื่อปี 2012 นั่นเอง..........
ดัลกลิช มาในรอบนี้ได้ซื้อตัวนักเตะมาหลายต่อหลายคน อาทิ หลุยส์ ซัวเรซ, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง, แอนดี้ แคร์โรลล์, ชาร์ลี อดัม และสำคัญสุด ๆ ก็คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
กัปตันชุด King of Europe ซีซั่นนี้
จดเอาไว้ใน”ไดอารี่”จนกลายเป็น”สตอรี่”สีแดง ว่า ศุกร์ 22 กุมภาพันธ์ 1991 คือวันที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสโมสร และฟุตบอลอังกฤษ ไปตลอดกาล........
FRIDAY February 22 1991 is a date that changed Liverpool Football Club for ever..........
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โลกลูกหนังต้องจดจำ และมันสร้างความช็อคให้กับเดอะ ค็อป ทั่วโลก
นักบอลก็เช่นกัน....................
เมื่อ 8 ปีก่อน ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ เอียน รัช กับ จอห์น บาร์นส์ แบบสุดเซอร์ไพรส์ เป็นวันที่ผมไม่มีวันลืมเลือน
จากที่เคยเห็นเคยดูอยู่ในทีวี แน่นอนว่ามันตื่นเต้น(WakeUp Dancing) อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่แปลกใช่มั๊ย.....เพราะด้านซ้ายคือ เอียน รัช ด้านขวาคือ จอห์น บาร์นส์ เป็นสุดยอดนักเตะแห่งตำนานของลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ
ประเด็นสำคัญก็คือ ได้สัมภาษณ์ความรู้สึกนักเตะลิเวอร์พูล ที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับ “คิง เคนนี่”
เอียน รัช คือคู่หูต่างวัย ที่มาเข้าขากับ เคนนี่ ดัลกลิช แบบเป็นปี่เป็นขลุ่ย แบบไม่ต้องมองตาก็รู้ใจ แน่นอนที่สุดทั้งคู่คือ อัจฉริยะ
อย่างไรก็ตาม เอียน รัช ได้โอกาสลงสนามในชุดสีแดงเพลิงครั้งแรกในชีวิต
เขาสวมหมายเลข 7 ไม่ได้สวมหมายเลข 9 ตามบันทึกของ “ลิเวอร์พูล ฮีสตอรี่”
ซึ่งเป็นหมายเลขประจำตัวของ เคนนี่ ดัลกลิช
อันสืบเนื่องมาจากว่า เคนนี่ ดัลกลิช บาดเจ็บที่ข้อเท้า ทำให้เขาพลาดการลงสนามครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี นัดนั้น ลิเวอร์พูล ต้องยกพลบุกไปเยือนพอร์ทแมน โร้ด ของ “ม้าขาว” อิปสวิช ทาวน์ โดยใช้ เอียน รัช เล่นกองหน้าคู่กับ เดวิด จอห์นสัน
สูตรถนัดจาก 4-4-1-1 จึงกลายเป็น 4-4-2
จากนั้นทั้งคู่กลายเป็นคู่หัวหอกที่สุดยอดของทีมคู่หนึ่งตลอดกาล แม้วัยจะต่างกันกว่า 10 ปี
“เขาเป็นคนที่ทำให้ผมมีทิศทางที่ดีมากในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มันเหลือเชื่อมากที่เขาเหมือนกับรู้ว่า ผมจะวิ่งไปตรงไหนเวลาอยู่ในสนาม เมื่อบอลออกจากเท้าของเขา มักจะทำให้ผมได้เปรียบคู่แข่งอยู่เสมอ ผมโชคดีมากที่ได้เล่นกับเขา”
เอียน รัช บอกว่า รอนนี่ มอแรน พ่อบ้านของทีมเดินมากับทุกคนหลังจาก เคนนี่ ดัลกลิช เข้ามาทำหน้าที่บอสใหญ่ของทีมว่า จากนี้เราจะไม่เรียกเขาว่า เคนนี่ ดัลกลิช แต่ต้องเรียกเขาว่า “เจ้านาย” มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่เราทุกคนยินดีที่เป็นเขา
ในวันที่ เอียน รัช ตัดสินใจย้ายไปเล่นกับ ยูเวนตุส เขาไปบอกกับ เคนนี่ ดัลกลิช ว่า อยากจะออกไปพิสูจน์ตัวเองที่ต่างแดน
คำตอบแรกที่ได้จาก “คิง เคนนี่” ก็คือ........อะไรนะ!!!!!!!!
“จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย” รัชชี่ บอก “เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดว่า เข้าใจในการตัดสินใจ และขอให้โชคดี”
กองหน้าจอมสังหารประตูระดับสถิติสโมสร 346 ลูก บอกว่า เคนนี่ ดัลกลิช รักฟุตบอลมาก และต้องการจะลงสนาม โดยเขาแอบคิดว่า สักวันจะต้องใส่ชื่อตัวเองลงสนามอีกครั้งแน่ ๆ
แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง!!!
"ในปี 1990 เรามีทีมที่ดีมาก นักเตะเราเป็นนักเตะชั้นยอดมากมายถึง 15 คน มันเกิดขึ้นจากการบริหารของ เคนนี่ ดัลกลิช ซึ่งเขาบอกกับพวกเราว่า ถ้าไม่จำเป็น ดัลกลิช จะไม่เล่นฟุตบอลอีกแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็กลับมาเล่น โดยเฉพาะเดือนมกราคมที่เราต้องการคะแนน และเราจะเป็นแชมป์"
ในวันที่ เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออกนั้น เอียน รัช บอกว่า มันเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือน และทุกคนช็อคมากกับเรื่องดังกล่าวนี้
“ผมไม่มีทางลืมเรื่องนี้แน่นอน ไม่มีทางเลย มันเลวร้ายมาก เราช็อคมาก เมื่อ เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออก เราทราบเรื่องนี้ในห้องแต่งตัว มันช็อคความรู้สึก ทำให้ทุกคนสับสนว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่ที่แน่ ๆ เราเสียผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดของเราไปแล้ว"
ทางด้าน จอห์น บาร์นส์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อไหร่ก็ตามทีพูดถึงเรื่องนี้ เราช็อคมาก ไม่มีใครในห้องแต่งตัวอยากจะเชื่อเรื่องนี้ เรากำลังไปเตะกับ ลูตัน ทาวน์ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น
“ ผมงงมากตอนนั้นผมกำลังกลับไปบ้านที่วัตฟอร์ด และกำลังจะตามไปสมทบกับทีม ผมกำลังกินข้าวกับที่บ้าน พอได้ข่าว มันเป็นเรื่องที่ช็อคมากโดยเฉพาะผม เพราะ เคนนี่ ดัลกลิช เป็นคนซื้อผมมาเอง มันเกิดปัญหามากขึ้นในสโมสรขึ้นมาทันที เนื่องจากเรากำลังลุ้นแชมป์”
ดัลกลิช ออกมาวันนั้น ทำให้หลายทีมยิ่งใหญ่ขึ้นมาจนถึงวันนี้
…………..น่าแปลกตรงที่ เคนนี่ ดัลกลิช นำทัพสยบ เอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ทั้งสองสมัย บดบังรัศมีคู่ปรับร่วมเมืองในช่วงเรืองรอง
แต่เมื่อจะทำสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดก็มาพลาดพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน
อีกทั้งการคุมทีมลิเวอร์พูล ในยุคเรืองรองเป็นเกมสุดท้ายในชีวิต
ดัลกลิช ก็ดวลกับ เอฟเวอร์ตัน!!!
บีแหลมสิงห์
โฆษณา